“กินโจ๊กของเธอเถอะ” ซังหลินจวินใช้ตะเกียบส่วนรวมคีบปาท่องโก๋ยัดใส่ปากเธอ
พอซูเฉียวเห็นแบบนี้จึงแอบบ่น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่ที่นี่ ทำไมเธอต้องตื่นเช้า แถมยังซื้ออาหารเช้าให้เขาอีก ไม่สำนึกบุญคุณจริงๆ
พยายามยัดปาท่องโก๋ในปากลงไป ซูเฉียวเห็นโยว่อีที่เอาแต่จ้องเธอ เลยใช้ตะเกียบคีบให้เขาด้วย
โยว่อีเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบขอบคุณ “ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ซูเฉียวรีบเอ่ย ในใจแอบคิดว่า นี่สิวิธีที่ถูกต้อง
ไม่เหมือนคนที่ยัดปากคนอื่น ไม่ดีจริงๆ
ซังอวินนั่งอยู่ข้างๆ บอกเห็นพวกเขาเข้ากันได้มาก ในใจเลยเหมือนจมอยู่ในน้ำแข็ง
ที่เขาทำทุกวิถีทาง สุดท้ายผลเป็นแบบนี้เหรอ
เขาไม่ยอม
“ซังหลินจวิน ที่แกมาครั้งนี้เพราะเรื่องบริษัทที่อิตาลี หรือว่ามีงาน? มานานขนาดนี้ บริษัทไม่มีปัญหาเหรอ?” เขานึกถึงประเด็นนี้ เลยทำให้ซังหวินจวินดึงสติกลับมาจากซูเฉียวกับโยว่อี
และเขาก็รู้เลยว่า ที่เขาพูดหมายความว่าอะไร
มือเขาวางอยู่บนโต๊ะ แล้วเคาะเบาๆ
จากนั้นก็หันไปที่เขา แล้วเอ่ยพูดอย่างเยือกเย็น “รอทำความเข้าใจเรื่องทุกอย่างก่อน ถึงจะเป็นเวลาที่ฉันจะไป แกอยากให้ฉันไปขนาดนั้น คงไม่ใช่ว่ากลัวฉันรู้อะไรหรอกมั้ง”
สายตาของทั้งสองเผชิญหน้ากัน สถานการณ์อึดอัด น่ากลัวมาก
ทันใดนั้น เหมิงเหมิงก็ลงจากเก้าอี้ แล้ววิ่งไปหาซังอวิน แขนทั้งสองข้างกอดแขนเขาไว้แล้วเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย “วันนี้คุณลุงมาช้า ไม่สนใจเหมิงเหมิง เหมิงเหมิงโกรธ”
เธอพูดไปด้วย แล้วเลียนแบบในทีวี เปลี่ยนมากอดอก แล้วเชิดหน้าขึ้น
ทีแรกซังอวินที่ยังอารมณ์ไม่ดีก็หลุดยิ้มเพราะเหมิงเหมิง จึงบีบจมูกเล็กๆของเธอแล้วเอ่ย “เหมิงเหมิงพูดถูก งั้นเหมิงเหมิงจะลงโทษคุณลุงหรือเปล่า”
“แน่นอน ลงโทษให้วันนี้คุณลุงพาหนูออกไปเที่ยว” เหมิงเหมิงพูดอย่างตั้งใจ แต่ในสายาก็มีความดีใจที่ปิดบังไว้ไม่อยู่
“ได้เลย” ซังอวินยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
มองเห็นเหมิงเหมิงกับซังอวินสนิทกันขนาดนั้น ถึงแม้ซังหลินจวินยังไม่แน่ใจว่าเป็นลูกเขา ในใจเขาก็ไม่สบายใจแล้ว
โยว่อีเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของคุณพ่อ เลยเอ่ยแทรก “เหมิงเหมิงอยากออกไปเที่ยว งั้นไปด้วยกันเถอะ พี่ก็ไม่ได้ไปเที่ยวนานแล้ว”
“ได้ค่ะได้ค่ะ ไปด้วยกัน” เหมิงเหมิงพูดอย่างดีใจ แล้วใช้ดวงตาที่กลมโตมองคุณแม่
พอซูเฉียวเห็นแล้ว จึงต้องพยักหน้าให้
ทั้งๆที่เพิ่งไปเล่นที่สวนสาธารณะ แล้วยังเจอกันอีก ทำไมคนสองคนนี้ถึงลืมเร็วขนาดนั้น
ถึงแม้จะออกไปด้วยกัน แต่เรื่องกลับไม่ราบรื่น
ที่บริษัทซังอวินโทรมา ซังหลินจวินก็มีธุระจะออกไป สุดท้ายแล้ว จึงเหลือแค่เหมิงเหมิงกับโยว่อีที่มองสบตากัน
ซูเฉียวจึงหยิบกระดานวาดรูปไปตั้งที่ระเบียง
วิวข้างนอกดีมาก เธอเลยพาโยว่อีไปวาดรูปที่ระเบียง
โยว่อีมีพรสวรรค์มาก ภาพที่วาดออกมาก็เสมือนจริงมาก
แค่แต่ก่อนเอารูปให้เขาวาด
แต่ครั้งนี้วาดวิวจริงๆ
เหมิงเหมิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูคุณแม่กับพี่ชายวาดรูป เวลาผ่านไปช้ามาก เธอเลยง่วงแล้วหาว
ซูเฉียวอธิบายเรื่องที่ต้องระวังในการวาดให้โยว่อี เลยเห็นว่าเหมิงเหมิงหลับข้างๆแล้ว
เธอไม่ได้รบกวนโยว่อีที่ตั้งใจวาด อุ้มเหมิงเหมิงขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน
เวลาเดียวกันซังหลินจวินก็มาเองผลตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาล มองเห็นผลตรวจในมือ ใจเขาว้าวุ่นมาก
พอเห็นผลแล้ว เขาก็รู้สึกใจหายมาก
เขารีบโทรหาอวี้เฟย สั่งให้เขาสืบเรื่องที่เกี่ยวกับซูเฉียว
ตัวเขาเองก็รีบกลับไป
“ทำไมในบ้านมีแค่เราคนเดียว” ซังหลินจวินเห็นห้องรับแขกที่ว่างเปล่า พอเดินไปที่ระเบียง จึงเห็นโยว่อีที่กำลังผสมสี กำลังวาดรูปอยู่
โยว่อีที่ได้ยินเสียงคุณพ่อ จึงหันไป วางของในมือลง แล้วยืดเส้นยืดสาย “คุณครูซูพาเหมิงเหมิงไปนอนครับ พ่อเป็นอะไรครับ ทำไมสีหน้าแปลกๆ”
ใบหน้าซังหลินจวินมีความดีใจ เพราะว่ากี่ปีนี้ไม่ค่อยยิ้ม เลยดูเกร็งๆ โยว่อีเห็นแล้วเลยรู้สึกแปลกๆ
ซังหลินจวินเอาผลตรวจในมือให้โยว่อี
“นี่อะไรเหรอครับ?” โยว่อีรับไปดูแล้วเอ่ยถาม
แต่พอเห็นผลตรวจดีเอ็นเอในนั้นแล้ว เขาก็รู้ทันที
“พ่อครับ หรือว่าคุณครูซูคือพี่เฉียว?” เขาประหลาดใจ เพราะใครๆก็รู้ดี สามปีนี้ คุณพ่อไม่เคยค้างคืนข้างนอก
ยิ่งเพราะว่าเขาเกิดอุบัติเหตุรถชน เลยเฝ้าเขาตลอด
เพราะฉะนั้นเรื่องลูกเก็บ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
บวกกับตอนที่พี่เฉียวจากไปเวลาใกล้เคียงกับเหมิงเหมิง จึงไม่ต้องคิดคำตอบเลย
ถ้าเป็นแบบนี้ เกิดอะไรกับพี่เฉียว ทำให้ถึงเปลี่ยนหน้าล่ะ
ตอนนั้นรู้แค่ว่าพี่เฉียวเสีย โยว่อีที่ไม่รู้อะไรมาก ตอนนี้เลยหงุดหงิดเพราะว่ารู้น้อยเกินไป
แต่ว่า ในใจเขาก็รู้สึกดี ไม่น่าล่ะตอนที่เขาเจอซูเฉียวถึงรู้สึกดีกับเธอ ที่แท้เพราะเธอคือพี่เฉียวนั่นเอง
ซังหลินจวินพยักหน้า ยืนยันกับสิ่งที่เขาคิดแล้ว
“ใช่ นี่เป็นผลตรวจดีเอ็นเอของพ่อกับเหมิงเหมิง เพราะฉะนั้นซูเฉียวก็คือเฉินเฉียว”
“แพล่ง~”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของแตก ซึ่งดังมาจากข้างหลังพวกเขา
พอซังหลินจวินหันไป จึงเห็นเฉินเฉียวที่มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ สีหน้าซีดขาวมาก
เขาเดินไปพยุงตัวเธอไว้
เฉินเฉียวมองเขาอย่างต่อต้าน “เมื่อกี้ที่คุณพูดหมายความว่ายังไง”
ซังหลินจวินเห็นว่าเธอไม่เชื่อ จึงหยิบผลตรวจดีเอ็นเอจากโยว่อี แล้วเดินไปยื่นให้เธอ
“ขอโทษนะ ฉันรู้ว่าแอบเอาดีเอ็นเอเหมิงเหมิงไปตรวจมันไม่ดี แต่ว่าถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ งั้นฉันก็ต้องพลาดจากพวกเธอสิ เพราะฉะนั้นเฉียวเฉียว เรื่องนี้ ฉันไม่รู้สึกเสียใจ”
เฉินเฉียวมองผลตรวจทั้งน้ำตา จ้องมองเขาไปสักพัก ค่อยเอ่ยด้วยเสียงแหบ “ฉันอยากรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
ซังหลินจวินค่อยโล่งอกไปที ตอนที่เขาบอกเธอ ความจริงในใจก็กังวลว่าถ้าเธอรู้แล้วจะโทษเขา