โยว่อีส่ายหน้า “ผมพูดตรงๆก็ได้ ความรู้สึกที่คุณอามีต่อแม่ผม ผมรู้ผมเห็น ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเป็นพ่อผม ผมก็จะสนับสนุนอากับคุณแม่ ถึงแม้ตอนนี้อาจะยอมแพ้แล้ว แต่ว่า ผมคิดว่าอาคงตัดใจจากแม่ไม่ได้ แล้วก็จะไปหาแม่ด้วย ใช่ไหมครับ?”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ตั้งใจเรียนหนังสือดีกว่า อย่าเอาแต่คิดไปเรื่อย” ซังอวินตบไหล่โยว่อีเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดว่าที่โยว่อีคิดผิด ความจริงในใจก็ไม่ต่างอะไรกับที่โยว่อีพูด
อีกอย่าง ช่วงนี้ที่สำนักเกิดเรื่อง เขาก็ควรกลับไป แล้วไปเยี่ยมเยียนคนรู้จักด้วย
มองเห็นเฉินเฉียวเดินไปไกลแล้ว ซังอวินเดินอยู่ข้างนอก มองเครื่องบินที่บินอยู่บนฟ้า จากนั้นก็ถอนหายใจยาวแล้วค่อยจากไป
พอเฉินเฉียวขึ้นเครื่องแล้วก็หรี่ตาลงนอน
เหมิงเหมิงก็ทำตามด้วย โยว่อีทั้งนั่งอยู่ข้างๆมองคุณแม่กับน้องสาวที่นอนหลับ จึงแอบเหนื่อยใจ
ยังดีที่เขามาด้วย ไม่งั้นพวกเธอสองคนคงโดนคนอื่นลักพาตัวไปแล้ว วางใจไม่ได้จริงๆ
ตอนที่ลงเครื่อง เวลาก็ค่อนข้างดึกแล้ว
สูดอากาศที่คุ้นเคย จากนั้นโยว่อีก็ถอนหายใจ
เฉินเฉียวอุ้มเหมิงเหมิงไว้ เอาแต่มองวอกแวก เหมือนกำลังหวังอะไรบางอย่าง
ในมือโยว่อีถือกระเป๋าเดินทาง แล้วอีกข้างก็โบกรถ
ถึงแม้เฉินเฉียวไม่ให้โยว่อีบอกซังหลินจวินเรื่องที่เธอกลับมา แต่โยว่อีก็คุยกับพ่อตลอด เพราะฉะนั้นเขาเลยรู้ ตอนนี้พ่อเขายังอยู่โรงพยาบาล
“แม่ครับ เกิดเรื่องกับเพื่อนพ่อ ตอนนี้เราจะไปโรงพยาบาลหรือว่าจิ้งหยวนครับ” โยว่อีคิดไปมา เลยโยนคำถามนี้ให้เฉินเฉียว
พอได้ยินคำว่าจิ้งหยวน สายตาเฉินเฉียวก็มึน ยังดีที่เธอดึงสติกลับมาเร็ว แล้วตัดสินใจว่า “ไปโรงพยาบาลก่อน”
“ได้ครับ” จากนั้นก็ยกของไปไว้ที่หลังรถ
ครั้งนี้โยว่อีนั่งข้างหลังกับเฉินเฉียว
ตัวของเฉินเฉียวกับโยว่อีค่อนข้างผอม อุ้มเด็กไว้แล้วนั่งข้างหลังก็ไม่ได้เบียดกันมาก
ตอนที่ลงรถเมื่อถึงโรงพยาบาล โยว่อีก็รีบวิ่งไปถามทางห้อง203
พอรู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว จึงเดินนำทาง
เฉินเฉียวอุ้มเหมิงเหมิงไว้ แล้วตามโยว่อีไปติดๆ เห็นท่าทางที่ทะมัดทะแมงของเขา ในใจก็เอ็นดู
เขายังไม่ถึงสิบขวบ แต่รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
ท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้เป็นเพราะเธอไม่อยู่เคียงข้างเขาหรือเปล่า
เด็กที่พรากจากพ่อแม่ จะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กที่ครอบครัวสมบูรณ์
ตอนนี้เฉินเฉียวรู้สึกโชคดี ซังหลินจวินโผล่มาตอนนี้ยังไม่สาย ไม่งั้นเหมิงเหมิงก็อาจจะเป็นเด็กโตเร็วอีกคน
“ที่นี่ครับแม่ ให้ผมเคาะประตูก่อนไหมครับ?” โยว่อีพาเธอไปที่ห้อง203 พอถึงหน้าประตูจึงเอ่ยถาม
“แม่เคาะเอง เรื่องแค่นี้ แม่ทำได้” ระหว่างทางลูกดูแลตัวเองตลอด ในใจเฉินเฉียวเลยละอายใจ
เธอยื่นมือไปเคาะประตูเบาๆ ไม่กี่วินาทีต่อมา ในประตูก็มีผู้หญิงน่าตาน่ารักเปิดประตู
เธอขมวดคิ้วถาม “คุณเป็นใคร เคาะประตูห้องพี่ชายฉันทำไม?”
เห็นผู้หญิงเดินออกมา เฉินเฉียวก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
ไม่รู้ทำไม มองเห็นผู้หญิงคนนี้ขอบตาแดง เหมือนเพิ่งร้องไห้ เฉินเฉียวก็อยากเอาทิชชู่ออกมาเช็ดน้ำตาให้เธอ
ความรู้สึกมาอย่างกะทันหัน จนเฉินเฉียวรับมือไม่ได้
เจียงฉยงฉยงเห็นคนหน้าประตูไม่พูดอะไรเลย ในใจเลยไม่ค่อยสบอารมณ์
ตั้งแต่ที่พี่ชายเกิดเรื่อง อารมณ์ของเธอก็ร้อนกว่าเดิม เหมือนคนตรงหน้าที่ไม่ตอบ เธออยากจะปิดประตูใส่ด้วยซ้ำ
“เฉียวเฉียว” อยู่ๆก็มีคนเดินออกมาอีก นั่นก็คือซังหลินจวิน
อยู่ๆเขาก็เห็นเฉินเฉียว ในใจดีใจมาก แต่ก็ไม่ลืมถาม “เฉียวเฉียว ทำไมอยู่ๆเธอถึงกลับประเทศล่ะ”
“เธอคือเฉียวเฉียวที่นายพูดถึง?” พอเจียงฉยงฉยงที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินซังหลินจวินเรียกแบบนี้ เลยชี้เฉินเฉียว แล้วมองเขาด้วยสายตาไม่ค่อยดี
ซังหลินจวินเห็นเธอชี้เฉินเฉียว ในใจเลยไม่สบอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะอี้ฟานยังสลบอยู่ แล้วเธอก็เป็นคนที่อี้ฟานแคร์ เขาคงจะจัดการเธอไปแล้ว เขาพยายามหักห้ามอารมณ์แล้วเอ่ย “เธอคือเฉินเฉียว เป็นเฉินเฉียวเพื่อนรักของเธอ เกิดเรื่องกับเฉียวเฉียวแล้วเสียโฉม ถึงแม้หน้าตาเธอจะเปลี่ยน แต่ยังไงเธอก็เป็นคนเดิม”
“จริงเหรอ?” เจียงฉยงฉยงมองสำรวจเฉินเฉียว
ในใจเฉินเฉียว ตอนที่เห็นสายตาที่ไม่เชื่อของผู้หญิงตรงหน้า ในใจเหมือนมีเข็มมาแทง รู้สึกเจ็บปวดมาก
เธอคิดว่า คนคนนี้ต้องเป็นคนที่เธอเคยแคร์มากแน่ๆ ไม่งั้นในใจจะรู้สึกเสียใจได้ยังไง
มองไปที่เธอ เฉินเฉียวหักห้ามความขมขื่นไว้แล้วพยักหน้า “ฉันคือเฉินเฉียว ถึงแม้ไม่รู้ว่าเป็นเฉินเฉียวที่คุณเคยรู้จักหรือเปล่า แต่ตอนที่เห็นคุณ ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะฉะนั้น ฉันคิดว่าฉันน่าจะใช่”
เฉินเฉียวไม่ได้พูดอย่างมั่นใจ เพราะเธอความจำเสื่อม ไม่มีทางเชื่อทุกอย่างที่คนอื่นพูด
เธออยากใช้ใจตัวเองดู แล้วก็หวังว่าคนอื่นจะทำเหมือนเธอ
เจียงฉยงฉยงมองเฉินเฉียวตรงหน้าที่น่าตาสวยสะดุดตา ในใจก็รู้สึกอย่างอธิบายไม่ถูก
คุ้นเคย แปลกหน้า สับสนไปหมด
เธอคิดว่า เธอยอมเชื่อว่าเธอคือเฉินเฉียว
เพราะใจของเธอไม่มีทางโกหกเธอ
แต่ว่า เธอยังไม่รู้จะทำตัวยังไงกับเฉินเฉียวที่เปลี่ยนหน้า เลยก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “เข้ามาเถอะ”
เธอถอยหลัง นี่แสดงว่าเธอยอมรับเรื่องที่เธอเปลี่ยนหน้าแล้ว
เฉินเฉียวเดินเข้าไปในห้องพักฟื้น มองเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียง อยากจะถามว่าอาการเป็นยังไงบ้าง
แต่เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่สนิทกัน แล้วไม่ได้ถาม
สถานการณ์ในห้องอึดอัดมาก เฉินเฉียวอยู่ไปสักพัก ซังหลินจวินจึงจับมือเธอไว้ แล้วพูดกับเจียงฉยงฉยงที่นั่งอยู่นิ่งๆ “เดี๋ยวฉันพาเฉินเฉียวกลับไปก่อน วันนี้เธอเพิ่งกลับประเทศ วางของที่นี่ก็ไม่ค่อยโอเค ถ้าที่โรงพยาบาลมีปัญหาอะไรก็ไปหายวี้เฟย เขาจะช่วยเธอเอง”
เจียงฉยงฉยงพยักหน้าให้
ตอนที่เฉินเฉียวกับซังหลินจวินเดินไปที่ประตู เฉินเฉียวก็หันกลับไปมองเจียงฉยงฉยงที่ยังนั่งอยู่ เลยเห็นว่าทีแรกสายตาเธอที่ยังมองไปที่เตียง ตอนนี้กลับมองมาที่เธอ เธอพยักหน้ากับเธอแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
ตอนที่เธอหันกลับไป เลยไม่เห็นเจียงฉยงฉยงที่มีน้ำตาเพราะรอยยิ้มของเธอ
เจียงฉยงฉยงรู้สึกหวั่นไหว เธออดไม่ได้จนต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้