ใช่ที่ไหนล่ะ เอกสารนี้ฉันเป็นคนแปล คุณไม่ได้ดูเลย คุณเชื่อใจฉันมากเกินไป”เฉินเฉียวรู้สึกเสียใจมากที่เข้ายอมแบกรับเรื่องทั้งหมดเอง
“วันหลังไม่ต้องให้ฉันแปลเอกสารพวกนี้แล้วนะ ฉันมีแต่จะทำให้คุณลำบาก”ครั้งนี้เธอโดนจังๆ ในใจอยากจะถอนตัว
ซังหลินจวินประคองหน้าของเธอและให้เธอมองหน้าเขาตรงๆและพูดทีละคำ: “เฉียวเฉียวในใจของผมคุณทำได้ดีพอแล้วคุณไม่เคยเรียนภาษาอิตาลีมาก่อนและเรียนจริงๆจังๆแค่สามปีนั้นคุณฟังพูดอ่านเขียนได้คล่องก็ถือว่าเก่งแล้ว พูดตรงๆตอนผมเรียนภาษาอิตาลีใช้เวลานานกว่าคุณอีก ”
เพื่อให้เธอมีความสุขซังหลินจวินก็พยายามอย่างเต็มที่เช่นกัน
เฉินเฉียวไม่ค่อยได้ยิน ซังหลินจวินพูดถึงข้อบกพร่องของตัวเอง
เธอถามอย่างสงสัย: “คุณใช้เวลานานแค่ไหน บอกฉันหน่อย”
“ ผมรู้นะคุณอยากฟังเรื่องน่าอายของผม”ซังหลินจวินบีบปลายจมูกของเธอและเมื่อเธอหลบเขาก็จับเธอไว้ในอ้อมแขนไว้แน่นและพูดว่า “แม้ว่าผมจะมีผลการเรียนที่ดีมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กแต่ผมก็ไม่ได้เก่งภาษา อายุแปดถึงสิบแปดปี ผมถึงสามารถจำพวกนี้ได้”
“ นั่นก็น่าทึ่งเช่นกัน”ดวงตาของเฉินเฉียวรู้สึกสบายใจ แต่ถ้าเป็นเธอคงต้องใช้เวลาพอ ๆ กันในการฝึกฝนภาษาหนึ่งให้กลายเป็นภาษาแม่
แน่นอนเมื่อเฉินเฉียวพูดแบบนี้เธอไม่รู้ว่า ซังหลินจวิน เรียนหลายวิชาไม่ใช่แค่วิชาเดียว จนกระทั่งผ่านไปนานหลังเกิดเรื่อง เธอถึงนึกออก
เมื่อ เฉินเฉียวทำงานในตอนบ่ายแม้ว่า เฉินเฉียวจะจริงจังและรอบคอบ แต่ความรู้สึกเศร้าโศกเธอก็ยังคงซ่อนอยู่ในดวงตาเธอ
เมื่อย้อนกลับไปในตอนเย็นเพื่อที่จะทำให้เฉินเฉียวมีความสุขซังหลินจวิน จึงพาเธอไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อกับข้าวโดยบอกว่าเขาจะทำอาหารให้เธอในตอนเย็นเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษสำหรับวันนี้
แม้ว่าเฉินเฉียวจะรู้สึกว่าคนที่ควรจะขอโทษจริงๆน่าจะเป็นเธอ แต่เห็นเขาท่าทางมีความสุข เธอก็ไม่ได้พูดอะไร
ซังหลินจวินหยิบปลาที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาวางไว้บนเขียงเฉินเฉียว และป้ามั่วยืนดูอยู่ข้างๆ
ป้ามั่วกังวลมากและพูดว่า “นายท่านค่ะ ให้ฉันทำให้เถอะค่ะ”
มองเจ้านายที่มือถือมีด อีกมือจับปลาไว้ แล้วหั่นหัวปลาอย่างงงๆ
ป้ามั่วอดทนดูไม่ได้ เดินกลับไป
เฉินเฉียวหัวเราะอย่างมีความสุข เธอเดินไปที่ข้างหลังเขา มือนุ่มๆของเธอวางบนมือเขา พูดด้วยรอยยิ้ม: “มันไม่ได้หั่นแบบนี้ มาฉันจะสอนคุณเอง ”
เธอจับมือของเขาถือมีดและหั่นตามแนวนอน
ตัดหัวปลาออก ซังหลินจวินที่เคลิ้มกับการที่โดนเธอกอดได้สติ
เมื่อเห็นหัวปลาที่ถูกสับออกดวงตาสีขาวๆนั้นทำให้เขาสั่น
เขาสลัดอารมณ์ที่ซับซ้อนในใจและหันไปสนใจมือของเฉินเฉียว
จนกระทั่งปลานึ่งเสร็จซังหลินจวินก็ยังไม่ได้สติ
เมื่อมองไปที่ตัวปลาสีแดงๆเผ็ดๆซังหลินจวินถามเธออย่างเป็นห่วง: “คุณไม่กลัวเผ็ดหรอ ใส่พริกเยอะขนาดนี้ ”
เขาจำได้ว่าเธอกลัวเผ็ดมาก
แค่เผ็ดนิดเดียวต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย
กินเผ็ดมากไปขนาดนี้จะปวดท้องได้
เฉินเฉียวยื่นตะเกียบออกไปคีบแล้วชิมพยักหน้าด้วยความพึงพอใจหลังจากพบว่ารสชาติเข้มข้นและเผ็ด
จากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดอย่างสดใสว่า“ ไม่กลัว ชีวิตจะขาดเผ็ดได้ยังไง เปรี้ยวหวานขมเผ็ด ฉันชอบที่สุดก็รสเผ็ดกับรสขม
ซังหลินจวินขมวดคิ้วและมองไปที่เธอที่ใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างจากเมื่อก่อน ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าเธอคิดเฉินเฉียว เขาคงเกรงว่าเธอจะไม่ใช่คนๆเดียวกันซะแล้ว
การใช้ชีวิตแบบไหนก็ตามสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของบุคคลได้อย่างสิ้นเชิง
ความยากจนอาจจะเปลี่ยนได้ด้วย แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีซังอวิ๋นดูแล เรื่องอื่นๆซังหลินจวินอาจจะไม่เชื่อใจเขา แต่สำหรับเรื่องที่เขาดูแลเฉินเฉียว เชื่อว่าเขาก็ไม่ได้ด้อยเลย
เมื่อเห็นดวงตาที่ซับซ้อนของซังหลินจวิน เฉินเฉียวกระพริบตาไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
อย่างไรก็ตามเธอเริ่มถอนมือออกและพูดกับเขาว่า: “ฉันช่วยคุณครั้งเดียวนะ ที่เหลือคุณทำเอง”
เฉินเฉียวเดินไปด้านข้างและล้างมือให้สะอาดจากนั้นนำอาหารไปเสิร์ฟที่ห้องโถง และเดินไปหาป้ามั่วที่ดูเขาทำอาหาร
สำหรับอาหารทุกจานด้านหลังเขาทำตามที่เธอพูด
สีสันอาหารที่ออกมาจากกระทะ ทุกคนล้วนชอบ
ตอนที่กินข้าว เฉินเฉียวกินอาหารที่ซังหลินจวินทำด้วยมือของตัวเอง คีบด้วยคำใหญ่ๆ
เมื่อเห็นว่าเธอกินเอากินเอาซังหลินจวินก็พอใจมากและพูดว่า “อร่อยมากเลยหรอ”
เฉินเฉียวไม่สนใจเขาและเพิ่มความเร็วในการคีบอาหาร
จู่ๆซังหลินจวินก็ใช้ตะเกียบคีบมา
เฉินเฉียวยังไม่ได้พูดอะไร ก็เห็นเขากลืนลงไป
จากนั้นท่าทางสีหน้าของเขาก็ปลี่ยนไป สีหน้าเหยเก
เห็นเฉินเฉียวที่ยังคงคีบอาหารอยู่ ซังหลินจวินก็แย่งตะเกียบเธอมา ไม่ให้เธอกินอีก
สีหน้าเขาดูไม่ได้เลยพลางพูด: “รสชาติเค็มมากๆ กินแล้วปวดท้องจะเป็นยังไง ไม่ต้องกินแล้ว”
เขาถือจานไว้ในมือทั้งสองข้างเขาเดินออกจากห้องนั่งเล่นและเทอาหารทั้งหมดลงถังขยะ
เมื่อกลับมาบนโต๊ะเหลือเพียงปลาที่ยังพอกินได้
“ ผมให้ป้ามั่วทำอาหารให้คุณกินดีกว่านะ”ซังหลินจวินเห็นว่าเธอยังไม่อิ่ม ก็พูดอย่างปวดใจ
“ไม่ต้องหรอก ฉันเกือบจะอิ่มแล้ว”เฉินเฉียวคีบหน้าลงในชามข้าว กินไปพูดไป
เมื่อเห็นเธอไม่เหมือนแต่ก่อน ซังหลินจวินตาเป็นประกายแล้วรีบเดินออกไป
ในตอนกลางคืนหลังจากที่เฉินเฉียวหลับไป ซังหลินจวินก็หันไปด้านข้างและมองไปที่ใบหน้าที่หลับใหลของเธออย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าใบหน้านี้จะไม่เป็นธรรมชาติเหมือนเมื่อก่อน แต่มันก็ทำให้ใจเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ซังหลินจวินรู้อยู่ในใจว่าไม่ใช่ใบหน้าเดิม แต่เป็นเธอคนนั้น
แม้ว่าตอนนี้เธอจะมีนิสัยเหมือนเด็กแต่เขาก็ชอบเธอจริง ๆ และความรักนี้ก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น
เคยไหมมีคนๆนึงทำให้รู้สึกว่าแค่รักมันไม่พอ เพราะคุณไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าคุณจะรักเธอไปได้ไกลแค่ไหน
ซังหลินจวินลืมไปว่าเขาเคยได้ยินประโยคนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีเพียงประโยคนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอได้
เฉินเฉียวผมรักคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วคุณล่ะเมื่อไหร่จะรักผมมากขึ้น
ซังหลินจวินกอดเธอแน่นขึ้นและจูบลงบนหน้าผากของเธอในที่สุดเขาก็หลับไป