เห็นสีหน้าอ่อนโยนของเฉียวเฉียวมองเธออย่างเป็นห่วง เจียงฉยงฉยงก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป หลังจากที่พี่ใหญ่ฟื้นขึ้นมา ก็ถูกเขาปฏิบัติด้วยอย่างเฉยเมยจนรู้สึกพังทลาย กอดเฉียวเฉียวแล้วร้องไห้ไม่หยุด
เฉียวเฉียวลูบหลังเจียงฉยงฉยงอย่างปวดใจ กล่อมเธอด้วยความอ่อนโยน “อยากร้องก็ร้องเถอะนะ ไม่ว่าจะเสียใจมากแค่ไหน แค่ร้องมันออกมา มันจะดีกว่าทุกอย่าง”
ทั้งสองคนนั่งโซฟาในห้องรับแขก กอดกันแน่นนานสักพัก จนกระทั่งเจียงฉยงฉยงหยุดในที่สุด จมูกแดงขึ้นเพราะร้องไห้นานเกินไป และเสียงก็แหบพร่าและมีความสะอื้น
ร้องไห้สักพัก อารมณ์ก็ดีขึ้นมาอย่างที่คิดไว้ เจียงฉยงฉยงหัวเราเบาๆ มือเรียวบอบบางลูบคอเฉียวเฉียว พบว่ามันเปียกจากที่เธอร้องไห้เมื่อครู่นี้ ใบหน้าก็แดงขึ้นมาทันที พูดอย่างรู้สึกผิด “เฉียวเฉียว ฉันทำเสื้อผ้าเธอเปื้อน”
เฉินเฉียวมองรอยเปียกที่เห็นไม่ชัดหาไม่ตั้งใจดู กล่าวอย่างไม่จริงจัง “ไม่เป็นอะไร แค่อารมณ์เธอดีขึ้น ทำลายเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นก็ไม่เป็นอะไรเลย”
แม้ว่าความทรงจำเฉียวเฉียวยังไม่ฟื้นคืน แต่ในใจเจียงฉยงฉยงก็ยังคงปฏิบัติกับเธอดีเป็นพิเศษเหมือนที่ผ่านมา
อีกแง่หนึ่งก็นึกถึงพี่ใหญ่ความจำเสื่อมอย่างควบคุมไม่ได้ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูญเสีย “เฉียวเฉียว ฉันไม่คิดเลยว่าจะเสียพี่ใหญ่ไปจริงๆ ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องในวันนี้ตั้งนานแล้ว ฉันจะไม่ลังเลตั้งแต่แรกแน่นอน”
เฉินเฉียวฟังเธอพูดเงียบๆ จากนั้นก็ถามอย่างสับสนเล็กน้อย “พี่ชายเธอฟื้นแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
เจียงฉยงฉยงฝืนยิ้ม “ใช่ เขาฟื้นแล้ว แต่เขาลืมฉันไปแล้ว”
น้ำเสียงเธอสงบนิ่งเหมือนเยาะเย้ยตัวเอง ใบหน้าบอบบางไม่มีความสดใส “เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันไม่ควรคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนในทีวีใช่ไหม เป็นคนเดียวที่ถูกเขาลืมแล้วมีความสุข”
เฉินเฉียวไม่รู้จะพูดกับเธออย่างไรกับหัวข้อความจำเสื่อม ยังไงแล้วคนที่อยู่ในกลุ่มความจำเสื่อม เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะพูด
แค่มองเจียงฉยงฉยงมีสภาพสูญเสียรู้สึกแย่แบบนี้ เธอก็นึกถึงตอนที่อยู่อิตาลีอย่างอดไม่ได้ สีหน้าตอนนั้นที่รู้ว่าตัวเองคือเฉินเฉียวของซังหลินจวิน
เมื่อตั้งใจนึกย้อนกลับไป ที่จำได้บนใบหน้าเขาก็คือความชื่นชมยินดีเป็นพิเศษ
เขาในตอนนั้นดีใจอะไรขนาดนั้น
เพราะกังวลว่าเจียงฉยงฉยงจะเกิดอุบัติเหตุ เฉินเฉียวจึงนอนเป็นเพื่อนเจียงฉยงฉยงทั้งคืน
ในห้องพักที่ปิดไฟ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร ลืมตานอนไม่หลับด้วยกัน
วันต่อมาขณะที่ซังหลินจวินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟาชั้นล่าง ได้ยินเสียงเฉินเฉียวลงข้างล่าง ใบหน้าที่เคยขาวสดใสตอนนี้ขอบตาคล้ำที่ชัดเจน เดินไปโอบเอวเธอ ขมวดคิ้ว น้ำเสียงฟังอารมณ์ไม่ออก “เมื่อคืนเธอหลับไม่สนิทเหรอ เพราะฉันไม่อยู่กับเธอหรือเปล่า ก็เลยนอนไม่หลับ”
“พอได้แล้ว ซังหลินจวิน คุณรีบปล่อยฉันเถอะ” เห็นคนในห้องรับแขกมองพวกเขาสองคนด้วยความสนใจ หน้าเฉินเฉียวก็แดงก่ำ
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ก็รู้สึกอ่อนแอเล็กน้อยเพราะรอยคล้ำที่เห็นได้ชัดบนใบหน้า
ซังหลินจวินรู้ว่าพูดแล้วจะทำให้เฉินเฉียวโมโห ก็หยุดหัวข้อทันที จากนั้นก็มองเจียงฉยงฉยงที่ยืนด้านหลังเฉินเฉียว พยักหน้าให้อย่างสุภาพ แล้วพาเฉินเฉียวไปข้างโต๊ะอาหาร
หลังจากทานอาหารด้วยกันเสร็จแล้ว ซังหลินจวินเห็นเฉียวเฉียวและเจียงฉยงฉยงอาลัยอาวรณ์กันมาก รู้ว่าทั้งสองอยากอยู่ด้วยกัน จึงถอยออกมาอย่างหาได้ยาก พูดขึ้น “เฉียวเฉียว วันนี้เธอไม่ต้องไปบริษัทกับฉัน วันนี้ไม่มีธุระอะไร เธอพักผ่อนอยู่บ้านให้เต็มที่”
เฉินเฉียวก็มองออกแน่นอน หลินจวินก็เพื่อให้เธออยู่เป็นเพื่อนเจียงฉยงฉยงได้อย่างเต็มที่ถึงได้พูดออกมาอย่างเอาใจใส่ เพียงแค่พยักหน้า
เจียงฉยงฉยงพูดขึ้น “เฉียวเฉียว ฉันรู้เธอเป็นห่วงฉัน แต่วันนี้เธอไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก วันนี้ฉันต้องกลับไปที่บริษัท อาจจะยุ่งมาก”
ถึงใบหน้าเจียงฉยงฉยงมีรอยยิ้ม ดูเหมือนผ่อนคลายลงแล้ว แต่เฉินเฉียวก็ยังไม่วางใจ
ถ้าเป็นเธอ เธอจะยิ่งรู้สึกแย่กว่า เฉินเฉียวจึงสะบัดความคิดนี้ทิ้งกะทันหัน เดินไปหาเจียงฉยงฉยง อยากจะโน้มน้าวเธอ แต่สุดท้ายก็โน้มน้าวไม่ได้อย่างหมดหนทาง
จนกระทั่งนั่งตำแหน่งทำงานของตัวเอง เฉินเฉียวก็ยังสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซังหลินจวินเอามือเคาะโต๊ะเธอ หลังจากดึงสติเธอกลับมา ก็พูดอย่างหมดหนทาง “ยังคิดเรื่องเจียงฉยงฉยงอยู่สินะ”
พูดถึงเจียงฉยงฉยง เฉินเฉียวก็ดึงซังหลินจวินมาแล้วเริ่มบ่นโดยไม่สนว่าที่นี่คือห้องทำงาน “เฮ้ นี่คุณว่าเจียงฉยงฉยงจะทำยังไงต่อไป พี่ชายใหญ่เธอความจำเสื่อมไปแล้ว เหมือนความสัมพันธ์กับครอบครัวจะไม่ค่อยดีนัก เธอต้องบริหารบริษัททุกวัน ถึงเธอจะเป็นร่างเหล็ก ก็ทนใช้พลังงานแบบนี้ไม่ไหวหรอก คุณคิดหาวิธีหน่อย พยายามทำให้เจียงอี้ฟานความทรงจำกลับมาให้เร็วที่สุด”
ซังหลินจวินก็หมดหนทางอย่างมาก “อาการโดยละเอียดของอี้ฟานขึ้นอยู่กับหมอที่รักษา แต่ฉันคิดว่าพ่อแม่เขาตอนนี้กำลังขวางฉันอยู่ ดังนั้นถึงจะเจอกันแล้ว สิ่งที่เขาพูดก็เชื่อถือไม่ได้เต็มที่”
“หรือต้องเห็นเจียงฉยงฉยงเสียใจแบบนี้ต่อไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้? ” เฉินเฉียวรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่ความกังวลของเธอที่มีต่อเจียงฉยงฉยงมันทำให้เธอเพิกเฉยสิ่งนี้
พูดไปพูดมา จริงๆ ประเด็นหลักที่สุดคือให้เจียงอี้ฟานนึกขึ้นได้เองจะดีที่สุด แต่เรื่องความจำเสื่อมประเภทนี้ หากรุนแรงก็จะจำไม่ได้ตลอดชีวิต หากไม่รุนแรงก็ต้องใช้เวลา
สรุปแล้ว เวลาคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของทุกอย่าง
เห็นเฉินเฉียวขมวดคิ้วนิดๆ ซังหลินจวินก็คลายคิ้วเธอ แล้วพูดขึ้น “เรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องสนใจ มีเวลาก็คิดว่าจะเดินทางไปประเทศไหนแต่งงานดีกว่า”
เฉินเฉียวกัดปาก พูดขึ้นอย่างหมดคำจะพูด “ทำไมคุณยังคิดเรื่องนี้เนี่ย เรื่องเจียงฉยงฉยงยังไม่แก้ไขฉันจะมีอารมณ์ไปได้ยังไง”
“และคุณก็ไม่มีเวลาด้วย” ประโยคสุดท้าย เฉินเฉียวพูดเสียงเบามาก
แต่ไม่ว่าจะเบาแค่ไหน ทั้งห้องทำงานมันก็ใหญ่มาก พวกเขาสองคนแนบชิดกันเหนียวแน่น ซังหลินจวินไม่พลาดประโยคนี้อยู่แล้ว
เขายิ้มอย่างเอาอกเอาใจอย่างเห็นได้ชัด “เพื่อเธอ ฉันจะหาเวลาให้”
เขาพูดจนเฉินเฉียวหน้าแดงใจเต้น รีบผลักเขาออกไป แสร้งทำเป็นอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ
ซังหลินจวินรู้ว่าเธอเขินอาย ก็ไม่ได้บังคับเธอ
แค่ในใจซ่อนรอยยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เธอก็ยังเหมือนเดิม เขินอายเพราะคำพูดของเขาเป็นครั้งคราว
มันน่าแซวเธอไม่หยุดจริงๆ
ปล่อยเฉินเฉียวที่หัวใจแปรปรวน นึกถึงเจียงอี้ฟานที่ถูกพ่อแม่หลอกโดยไม่รู้อะไรเลย ซังหลินจวินก็เม้มปากแน่นอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำนัก ครุ่นคิดขึ้นมา
เพียงแค่ความคิดเขาถูกทำลายลงเพราะโทรศัพท์
“ฮัลโหล เขาฟื้นแล้ว อืม นายอยากไปเยี่ยมเหรอ ได้สิ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาย นายควรไปสักครั้ง ให้ฉันไปเป็นเพื่อนเหรอ ขอโทษที ฉันยุ่งมากที่บริษัท”
เฉินเฉียวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองซังหลินจวินที่กำลังคุยโทรศัพท์บนเก้าอี้ทำงาน
บทที่ 279 นี่คือเรื่องจริง
จากนั้นก็สงสัยอย่างลึกลับว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ยังไงแล้วท่าทีหลินจวินในตอนนี้ก็ผ่อนคลายมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
หลังจากซังหลินจวินวางสาย ก็เห็นเฉินเฉียวนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ กะพริบตาจ้องเอกสาร ทำท่าทางจริงจังมาก
แต่เห็นกับตาว่าเมื่อครู่เธอแอบฟังไปด้วย และยื่นปากเล็กไปด้วย เขาไม่เชื่อแน่นอนว่าตอนนี้เธอกำลังอ่านเอกสารอย่างจริงจัง
ใช้มือลูบผมเธอ แนบหูเธอแล้วหัวเราะเบาๆ “เฉียวเฉียว ตอนนี้ฉันมีธุระนิดหน่อย ต้องออกไปข้างนอก ไม่นานจะกลับมา”
เฉินเฉียวปล่อยมือเขา ทำหน้าเรียบเฉยแล้วพึมพำ “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินพวกคุณคุยกันหรือไง? ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่ไป ยังบอกว่าจะไปหน้าตาเฉย เฮอะ”
เธอทำเสียงอู้อี้ ไม่สนใจเขา แล้วพยักหน้าตามใจ
ซังหลินจวินเห็นเธอเข้าใจผิดจริงๆ ก็รีบอธิบายอย่างตรงไปตรงมาทันที “เมื่อกี้เยี่ยนเฟิงโทรมา เขารู้ว่าอี้ฟานฟื้นแล้ว อยากไปเยี่ยมเขา แต่เขาก็รู้ว่าอี้ฟานเกิดอุบัติเหตุเพราะช่วยเขาขวาง คนในตระกูลเจียงจึงไม่สนใจเขาเท่าไร เขากังวลว่าเขาไปแล้ว จะไม่เห็นแม้แต่เงา จึงเรียกให้ฉันไปกับเขาด้วย ตอนแรกฉันไม่อยากไป แต่นึกถึงที่เธอเป็นห่วงเจียงฉยงฉยง เลยตั้งใจจะไปโรงพยาบาลถามหมอที่รักษาอี้ฟานเพื่อถามเกี่ยวกับอาการป่วยเขาสักหน่อย เลยตัดสินใจจะไป”
ถึงแม้จะเขินอายเล็กน้อยเพราะหลินจวินเปลี่ยนใจเพราะเธอ แต่เฉินเฉียวก็ยังพูดด้วยใบหน้าสับสน “คุณบอกหมอจะโกหกไม่ใช่เหรอ แล้วจะไปถามทำไม”
ซังหลินจวินเห็นเฉียวเฉียวที่ไขว้เขวกับคำพูดของเขาอย่างง่ายดาย ก็พูดขึ้นอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ก็ต้องดูว่าเป็นใคร อำนาจตระกูลซังใหญ่กว่าตระกูลเจียง ยิ่งไปกว่านั้นโรงพยาบาลของพวกเขา หยวนเซิ่งบริษัทเราก็ลงทุนด้วย พวกเขาไม่กล้าปิดบังฉันหรอก ”
เมื่อเห็นซังหลินจวินที่ทั้งร่างเปล่งแสง “ฉันสุดยอดที่สุด” ออกมา เฉินเฉียวก็ยอมรับแล้ว “ไปเถอะๆ ถามรู้เรื่องแล้วค่อยกลับมานะ”
“ไม่จูบก่อนไปเหรอ? ” เขาพยายามขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อเธอเหรอ ซังหลินจวินรู้สึกว่าเขาต้องได้รับค่าตอบแทนบ้าง
“ม้วฟแล้ว รีบไปสิ” เฉินเฉียวจูบคางเขาพอเป็นพิธี แล้วโบกมือโดยไม่ลังเล
ซังหลินจวินอยากจับเธอไว้แล้วจูบลึกซึ้ง สุดท้ายก็ต้องปล่อยไป
ในใจแอบตัดสินใจ คืนนี้ต้องพยายามทำให้เธอรู้จุดจบในการยั่วโมโหเขา
เฉินเฉียวที่ยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะโดนทรมานเป็นปลาตายตัวหนึ่ง เมื่อซังหลินจวินไปแล้ว ในที่สุดก็สงบและเริ่มทำงาน
เมื่อซังหลินจวินไปถึงโรงพยาบาล เยี่ยนเฟิงก็กำลังสูบบุหรี่สองสามมวนที่หน้าประตูใหญ่โรงพยาบาล
ซังหลินจวินขมวดคิ้วมองเขาทันที พูดเตือน “นายไปหาอี้ฟานสภาพนี้ อย่าว่าแต่คนในตระกูลเจียงไม่ให้เลย ฉันเห็นแล้วก็รังเกียจ”
เยี่ยนเฟิงได้ยิน ก็โยนบุหรี่ที่เหลือในมือทิ้งทันที หายใจออกเฮือกใหญ่ จนกว่ากลิ่นควันในปากจะหายไปเยอะแล้ว ก็พูดขึ้น “ตอนนี้โอเคขึ้นแล้วมั้ง”
ซังหลินจวินพยักหน้าอย่างไม่ต่อต้าน
ทั้งคู่ยกเท้าเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เพราะเมื่อวานมาแล้ว ซังหลินจวินจึงพาเขาตรงไปที่ห้องผู้ป่วยของเจียงอี้ฟานอย่างคุ้นทาง
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เมื่อเปิดประตูออก เดิมทีควรมีคนอยู่ในนั้น ตอนนี้เหลือแค่เตียงผู้ป่วยที่สะอาด คนที่นอนก็หายไปแล้ว
“เชี่ย พ่อแม่เจียงของไอ้เจียงนี่ลงมือโคตรเร็ว นี่ขวางไม่ให้ฉันมาใช่ไหม? ” เยี่ยนเฟิงพ่นออกไปด้วยความโกรธ
“ไม่ได้ขวางแค่นายหรอก” ซังหลินจวินไม่ต้องคิดรอบคอบ ก็รู้ว่าคนที่พวกเขาขวางนั้นคือใคร เขากังวลว่ากลับไปบอกเฉินเฉียวเรื่องนี้ แล้วเธอจะต้องโกรธ
เขาก็ถือว่ามองออกเช่นกัน ในใจเฉินเฉียวตอนนี้เจียงฉยงฉยงนั้นสำคัญกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด
เห็นแก่ที่เจียงฉยงฉยงเป็นผู้หญิง เขาไม่อยากทะเลาะกับเธอ
เดิมทีคาดหวังว่าหลังจากอี้ฟานฟื้นแล้วจะพาเขาออกไป หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น เกรงว่าเขาจะใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
“นายรอที่นี่ก่อน ฉันจะไปถามหมอหน่อย” ซังหลินจวินตบบ่าเยี่ยนเฟิง
เยี่ยนเฟิงที่โกรธจัดทำได้แค่ทำตาม ไม่ทำตามไม่ได้ ความหวาดกลัวที่ไม่ได้เจอหน้าพี่น้องที่สนิทกันมันล้อมรอบตัวเขา
ซังหลินจวินเดินไปที่ห้องทำงานของหมอที่รักษาที่เคยมาครั้งก่อน เคาะประตู ไม่ได้ยินเสียงเชิญเข้ามาเหมือนครั้งที่แล้ว
ในใจเกิดความคิด มือผลักประตูทันที ในนั้นมีพยาบาลคนหนึ่งกำลังเช็ดโต๊ะ
ซังหลินจวินถามด้วยใบหน้าเข้มงวด “หมอถามของโรงพยาบาลพวกคุณไปไหน เมื่อกี้ฉันเคาะประตูคุณไม่ได้ยินเหรอ? ”
สองคำถามนี้ทำให้พยาบาลที่หลังจากเห็นคนแล้วก็กลัวจนตัวสั่น
เธอพูดด้วยเสียงอ่อนแรง “คุณผู้ชาย หมอถานลาออกแล้วค่ะ ถ้าคุณจะไปหาเขา อาจจะหาไม่เจอ แต่โรงพยาบาลเรามีหมออื่นอีกนะคะ สามารถไปถามได้”
แววตามืดมนของซังหลินจวินมองพยาบาลตัวน้อยที่ทั้งๆ ที่กลัวเขาแต่ก็ฝืนคุยกับเขา ในใจก็รู้ว่าเธอเป็นคนที่คนอื่นจัดเตรียมไว้นานแล้ว
ถึงเขาอยากถาม ก็อาจจะถามไม่ได้คำตอบ
เมื่อซังหลินจวินกลับไปที่ห้องผู้ป่วย เยี่ยนเฟิงก็พุ่งมาถามทันที “ไอ้ซัง เป็นไงบ้าง ถามรู้เรื่องไหม? ”
“ไม่ หมอถานที่รักษาให้อี้ฟานมาตลอดไม่อยู่โรงพยาบาลนี้แล้ว ดูเหมือนจะมีคนนำเราไปหนึ่งก้าว” เขาแค่กำลังคิด เรื่องนี้ไม่ใช่แค่มองผิวเผิน ที่ว่าตระกูลเจียงรีบร้อนเอาตัวเขาไปเพราะจะหลบพวกเขา
เห็นได้ชัดว่ากลัวเขารู้อะไรบางอย่าง
และเรื่องนี้พ่อแม่ตระกูลเจียงเป็นคนนำและปรึกษาหารือด้วยใช่หรือไม่
และผู้หญิงคนนั้นที่ปรากฏตัวกะทันหัน ค่อนข้างน่าสงสัย
เยี่ยนเฟิงได้ยินประโยคนี้ ก็พุ่งหมัดใส่กำแพงด้วยความโกรธ
ซังหลินจวินจับแขนของเขา แล้วตำหนิ “ถ้าจะบ้าก็อย่าบ้าข้างนอก สภาพละอายใจของนายตอนนี้ นอกจากฉันก็ไม่มีใครมองเห็น มีอารมณ์แบบนี้ สู้ไปตรวจสอบดีกว่า ก่อนที่อี้ฟานเกิดเรื่อง มีใครติดต่อกับเขาบ้าง”
เยี่ยนเฟิงไม่ได้โง่ ฟังความหมายในคำพูดไอ้ซังอย่างแน่นอน เขามองเขาด้วยความประหลาดใจ พูดขึ้น “นายหมายความว่า มีคนจงใจทำร้ายไอ้เจียงเหรอ”
เขาลูบศีรษะ จากนั้นก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนแรก พบว่ามันผิดปกติเล็กน้อย ก็ปรบมือเข้าใจทันที “ฉันว่าแล้ว นี่อาจจะไม่ใช่ความผิดฉันทั้งหมด อย่างที่คิดไว้ ไอ้ซังต้องไปก่อเรื่องที่ไหนมาแน่ๆ ตอนนี้เลยโดนแก้แค้น”
เขารู้ว่าช่วงนี้มีผู้หญิงมายุ่งวุ่นวายกับไอ้เจียง
ไม่แน่ว่าเธอเป็นคนทำ
ซังหลินจวินหมดคำจะพูด เขาไม่อยากยอมรับจริงๆ ว่าไอ้คนปัญญาอ่อนฉับพลันตรงหน้าจะเป็นคนที่เขารู้จักตั้งแต่เด็ก
ออกมาเงียบๆ ไม่เอาคนที่กระตือรือร้นอยู่ด้านหลังไปด้วย
เมื่อเยี่ยนเฟิงกำลังจะขอความยอมรับจากไอ้ซัง ก็พบว่าเขาเดินไปไกลแล้ว ก็รีบวิ่งไปทันที ปากก็ยังอิดออดขอการยืนยัน
“ไอ้ซัง นายว่าฉันเดาถูกไหม สัญชาตญาณฉันมันบอกฉัน ว่านี่คือเรื่องจริง”