ทั้งๆ ที่หล่อมาก ทำไมนิสัยหมดคำจะพูดแบบนี้
ถึงจะไม่พอใจกับการห่อของดอกไม้นี้ก็มาคุยกันได้
เห็นท่าทางไร้สีหน้าของเขา เห็นการแสดงความเห็นของเขาเมื่อครู่นี้ปราศจากความลังเล ทันใดนั้นก็รู้สึกในใจว่าเขาเป็นผู้ชายตรงไปตรงมาอย่างเห็นได้ชัด
มองช่อดอกไม้ที่ห่อด้วยสีชมพูพาสเทล สาวน้อยร้านดอกไม้กำลังแกะไปด้วยในใจก็บ่นพึมพำไปด้วย แฟนสาวน้อย ไม่เข้าใจหรือไง ทั้งๆ ที่มันสวยมาก
ตอนที่ซังหลินจวินถือดอกไม้เดินเข้าไปในบ้าน เฉินเฉียวก็กำลังพิงเตียงกดเหมิงเหมิงเล่านิทานอยู่
ยังมีเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนปีใหม่ ช่วงนี้ซังอวินไม่ได้พาเหมิงเหมิงออกไปเที่ยวเล่น ยังไงแล้วช่วงนี้เทพเก้าวิมานของซังอวินนั้นเป็นที่นิยมมาก
นอกจากต้องซ่อมบำรุงใหม่ทุกสัปดาห์แล้ว ฤดูกาลใหม่ก็จะเปิดตัวเร็วๆ นี้
ในฐานะคนวงในที่รู้มาก แน่นอนว่าเฉินเฉียวรู้ว่าซังอวินตั้งใจจะกำหนดวันแรกของปีใหม่ให้เป็นวันแรกของฤดูกาล
ยุ่งมากจนแทบไม่ได้ทานอาหาร แน่นอนว่าไม่มีเวลาว่างออกไปข้างนอก
“กำลังอ่านอะไรอยู่” ซังอวินถือดอกไม้ยืนอยู่ตรงประตูไกลๆ หุ่นเรียวหยิ่งผยอง
“เรื่องราวสัตว์เลี้ยงในบ้าน” เฉินเฉียวหยุดอ่าน เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วตอบ
แต่เมื่อเห็นดอกไม้ในมือซังหลินจวิน ก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ดอกไม้คุณเอาให้ฉันเหรอ”
“อืม ดอกไม้นี้ความหมายดี วางในบ้านทำให้อากาศสดชื่นด้วย” ขยับดอกไม้อย่างสบายๆ เห็นว่าเฉียวเฉียวไม่ได้สนใจดอกไม้นี้เท่าไร ก็เข้าใจว่าเฉียวเฉียวคงไม่คุ้นเคยกับดอกไม้ประเภทนี้
แน่นอนว่าเขาไม่บอกตรงๆ หรอกว่านี่เขาจงใจซื้อกลับมา
วางดอกไม้ลงในแจกันว่างที่ระเบียงอย่างสบายๆ
เดินไปห้องน้ำล้างมือออกมา ซังหลินจวินเดินมาหาเฉินเฉียวทันที แล้วอุ้มลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอดเธอออกมา
เหมิงเหมิงที่ง่วงนอนได้ยินเสียงแม่ถูกกอดกะทันหันก็ตกใจ เผลอเตะโดยไม่รู้ตัว
ลืมตามาเห็นว่าเป็นพ่อ ก็ตะโกนด้วยเสียงสะลึมสะลือเพิ่งตื่น “พ่อ”
พูดจบก็เดาะลิ้น
เห็นซังหลินจวินกอดลูกสาวน่ารักแล้วหอมแก้มหลายที
ถึงแม้ซังหลินจวินจะดูแลตัวเองดีเสมอ ไม่มีเคราหยาบระหว่างปากและจมูกมากนัก
แต่ในฐานะผู้ชาย ก็ต้องมีบ้าง
เครานี้ถูโดนเหมิงเหมิง ก็ตื่นขึ้นมาโดยสิ้นเชิง
ทันทีที่ดวงตากลมโตเธอเปิดขึ้น สองมือก็โบกมั่วซั่วแล้วตะโกน “หนวกหู…รำคาญ”
เมื่อเห็นชัดๆ ว่าคนตรงหน้าเป็นพ่อ ก็รีบโอบคอแล้วอ้อน “วันนี้พ่อเลิกงานเร็วจัง เหมิงเหมิงคิดถึงพ่อมาก”
แน่นอนว่าซังหลินจวินไม่เปิดโปงท่าทางลูกสาวที่เพิ่งหลับไป ไม่เห็นเหมือนกำลังคิดถึงเขาเลยสักนิด
ลูบหน้าลูกสาวอย่างรักใคร่พูดขึ้น “วันนี้เหมิงเหมิงอยู่บ้านให้แม่เล่านิทานให้ฟัง อยากฟังพ่อเล่าให้ฟังไหม” พยักหน้าไม่หยุด
“เฉียวเฉียว ฉันจะพาเหมิงเหมิงออกไปเล่านิทาน เธอพักผ่อนในห้องให้เต็มที่นะ” ซังหลินจวินกอดลูกสาวในอ้อมแขนไม่ลืมบอกเฉียวเฉียวก่อน
“โอเค” เฉินเฉียวพยักหน้าตกลง
“แม่ บ๊ายบาย” เหมิงเหมิงโอบคอพ่อขณะที่ยิ้มโบกมือให้แม่
เฉินเฉียวแขนมัดด้วยผ้ากอซ แน่นอนว่าไม่สามารถโบกมือให้ลูกสาวได้ ทำได้แค่พยักหน้า
เห็นพวกเขาพ่อลูกออกจากห้องไป
เฉินเฉียวก็ถอนหายใจเบาๆ
เมื่อครู่นี้เล่านิทานให้เหมิงเหมิง ขณะที่เหมิงเหมิงหลับ นอนระหว่างแขนกับเอวเธอพอดี
สถานที่เดิมทีโดนห่อด้วยผ้ากอซโดนเหมิงเหมิงถู แน่นอนว่ารู้สึกเจ็บเกินทน
เพื่อไม่ให้ลูกตื่น ทำได้แค่กัดฟันทนต่อไป
ตอนนี้ลูกไปแล้ว เฉินเฉียวก็ผ่อนคลายลง
เฉินเฉียวกำลังจะนอนหลับ โทรศัพท์ข้างเตียงก็ดังขึ้นทันที
เฉินเฉียวยื่นแขนออกไป แต่อย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง
“แม่ ผมหยิบให้” โย่วอีตอนแรกเล่นเกมอยู่ในห้องตัวเองได้ยินเสียงพ่อ จึงออกมาดู เห็นพ่อพาน้องสาวลงไปข้างล่าง ก็ไปที่ห้องแม่ทันที
เมื่อเปิดประตูมาก็เห็นแม่ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียง ไม่ทันได้ประหลาดใจว่าทำไมแม่ถึงบาดเจ็บ ก็ก้าวเท้ากว้างเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์มาส่งให้ก่อน
“ขอบคุณโย่วอีนะจ๊ะ” สำหรับการช่วยเหลือของโย่วอี เฉินเฉียวก็ยิ้มพอใจ
สำหรับเด็กสุภาพ มักเป็นที่ชื่นชอบ
“ไม่เป็นไรครับ” โย่วอีเอาที่นั่งขนาดเล็กจากห้องลากมาข้างเตียง หลังจากนั่งลงแล้วก็ถามด้วยใบหน้าสงสัย “แม่ ทำไมแม่บาดเจ็บ”
เฉินเฉียวรู้สึกอาย ยังไงเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังล้มลงไปในท่อน้ำอีก พูดออกไปแล้วก็อาย
ดังนั้นจึงพูดง่ายๆ “แค่เดินไม่ดูทางน่ะ ต่อไปโย่วอีอย่าเลียนแบบแม่นะ”
“ผมจะล้มได้ยังไงล่ะ” เมื่อโย่วอีได้ยินแม่เป็นห่วงกลัวเขาล้ม ก็พูดด้วยใบหน้าภูมิใจทันที
แต่ประโยคนี้เมื่อเห็นแม่ได้รับบาดเจ็บสะเทือนจิตใจ ก็กลืนประโยคหลังลงไป
เฉินเฉียวทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนี้ หยิบโทรศัพท์มาเลื่อนเปิดหน้าจอเบาๆ แล้วรับสายที่ยังคงดังอยู่
“เฉียวเฉียว ในที่สุดก็รับสาย” ปลายสายโทรศัพท์นั้น มีเสียงที่เป็นห่วงมากของเจียงฉยงฉยงดังขึ้น
“ทำไม เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ” เฉินเฉียวเมื่อได้ยินน้ำเสียงฉยงฉยง ก็เป็นห่วงทันทีว่าเธอเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
“ฉันถามเธอนะ คนที่เกิดเรื่องคือเธอ ทำไมล้มแล้วไม่บอกฉัน” ฉยงฉยงแทบจะหัวเราะด้วยความโกรธ ตอนแรกหลังจากที่รู้จากพี่ชายเรื่องเฉียวเฉียว ก็รีบโทรมาทันที
ไม่คิดว่าเธอจะไม่จริงจังแบบนี้
เฉินเฉียวที่ยังทำหน้าสับสนอยู่ก็เข้าใจทันที ในใจก็รู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อย
ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องการล้มจะทำให้ฉยงฉยงที่อยู่ต่างประเทศตกใจได้
แต่เพื่อเป็นการปลอบใจฉยงฉยง ไม่ให้เธอเป็นห่วง เฉินเฉียวก็อธิบายอย่างดี “ฉยงฉยง เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถึงฉันจะหกล้ม แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมาก อย่างมาก็พักผ่อนไม่กี่วันก็กลับไปบริษัทได้แล้ว จริงสิ ฉยงฉยง งานที่บริษัทช่วงนี้ หลินจวินบอกว่าให้ผู้ช่วยเขาจัดการให้ ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ยังไงแล้วเจ้าของหลักของบริษัทก็คือฉยงฉยง ยังไม่ทำให้บริษัทเป็นของตัวเองอย่างสมบูรณ์ เฉินเฉียวที่เป็นกรรมสิทธิ์ทดแทนก็ต้องถามอย่างละเอียด
“ไม่เป็นไร งานของบริษัทเธอเป็นคนดูแล ตอนนี้ฉันควบคุมดูแลอะไรได้ไม่มาก แต่เฉียวเฉียว เธอต้องพักฟื้นร่างกายให้เต็มที่นะ เมื่อกี้ที่เธอบอก ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ ฉันจะควบคุมเธอ ก่อนที่แผลเธอจะหายดี ถ้าเธอไปทำงาน ฉันจะโทรบอกซังหลินจวินของเธอ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะช่วยเธอปิดบังฉัน ยังไงแล้วมันก็เป็นปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายของเธอ”
คำพูดมีเหตุผลของเจียงฉยงฉยงทำให้เฉินเฉียวพูดไม่ออก