เซินหยูคิดไม่ถึงว่าเฉินเฉียวจะถามตรงขนาดนี้ดังนั้นเขาจึงกำหมัดแน่นและไอเบา ๆ
เฉินเฉียว คิดว่าเธอไม่ควรถามคำถามนี้ กำลังคิดจะพูดว่าไม่ต้องตอบก็ได้
เห็นแววตาของเซินหยูฉายแววขบขัน: “คู่เดตของผมคนนั้น ถึงแม้เรามานัดบอดกัน แต่ผมก็ต้องไปสืบเรื่องของเธอก่อน รู้จักเรื่องราวของเธอสักหน่อย โชคดีจากเพื่อนสนิทของเธอทำให้ผมรู้ว่าเธอรสนิยมแปลก ”
เฉินเฉียวรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาพูดและต้องการที่จะเข้าใจเรื่องทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าพอกำลังนึกเรียบเรียงเรื่อง คนตรงหน้าจู่ๆก็หยุดพูด
เซินหยูยอมรับว่าเขาจงใจ ได้เห็นผู้หญิงตรงหน้ามองเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น เขาก็อยากจะแกล้งเธอ เลยจงใจตัดเรื่องให้ถึงแค่นี้
แต่หลังจากสังเกตเห็นว่าความอยากรู้อยากเห็นของเฉินเฉียวน้อยลงเรื่อย ๆ เซินหยูก็พูดต่อ: “เธอชอบคนหน้าเล็กๆขาวๆ”
หน้าเล็กๆขวาๆเหรอเฉินเฉียวมองเขาด้วยความประหลาดใจดวงตาของเธอถามอย่างชัดเจนว่าเป็นอย่างที่เธอคิดไหม?
เซินหยูยักคิ้วให้เธอ ความหมายคือเป็นอย่างที่เธอคิดนั่นแหละ
ทั้งสองคนโต้ตอบกันด้วยการแสดงออกที่เงียบงันแล้วเข้าใจไปโดยปริยายซังหลินจวินที่ยืนอยู่ข้างๆหายใจฮึดฮัด
เซินหยูดูเหมือนจะรับรู้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกคุณจะอยู่ในเมืองน้ำแข็งอีกนานแค่ไหน ผมได้ยินมาว่าตอนบ่ายก็จะปิดแล้ว”
“ เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ว่าจะเปิดติดต่อกันสิบวันเหรอ”ซังหลินจวินขมวดคิ้วและพูด
เซินหยูยักไหล่และกล่าวว่า: “ผมเพิ่งได้รับข่าวมาผมได้ยินมาว่าพายุหิมะกำลังจะพัดเข้ามาในอวี่ซื่อดังนั้นทุกคนต้องกลับก่อนเวลา”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ”เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ร้ายแรงขนาดนี้ ซังหลินจวินจึงรีบตัดสินใจ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเซินหยู แต่ถามความเห็นของเฉียวเฉียวกับลูกสาวและโย่วอี
เฉินเฉียวรู้สึกว่าวันนี้ได้ดูได้ชมมากพอแล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย
โย่วอีไม่ได้สนใจเมืองน้ำแข็งและหิมะมากนักดังนั้นเขาจึงอยากกลับ
เหมิงเหมิงยังคงลังเลเล็กน้อย แต่เธอก็เชื่อฟังพ่อของเธอมาตลอดเธอกอดคอพ่อของเธอลูบผมนุ่ม ๆ ของเธออย่างและพูดว่า “แล้วแต่คุณพ่อ”
หลังจากคุยกันอย่างนี้แล้ว ทั้งครอบครัวก็วางแผนจะกลับบ้าน
เซินหยูที่มาคนเดียวก็ตามไปด้วย
เมื่อ เฉินเฉียวและคนอื่น ๆ กลับไปที่รถที่จอดอยู่ด้านนอกพวกเขาก็ยังเห็น เซินหยู เดินตามมาซังหลินจวินที่ขี้หึงอยู่ก็ถามเขาอย่างสงสัย: “คุณเซินไม่รู้ทางเหรอครับ?”
เซินหยูพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า “คุณซังไปส่งผมที่เป่ยเฉิงได้ไหมพอถึงที่นั่นจะมีคนมารับผม”
เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว ซังหลินจวินปฏิเสธไม่ลง
เปิดประตูรถ และให้เข้าขึ้นรถไป
เขาเบียดตัวเข้าไปที่เบาะหลังอุ้มเหมิงเหมิงนั่งบนตัก
ส่วนโย่วอีที่นั่งอยู่ตรงกลาง ถูกเบียดเกือบจะแย่
ถึงแม้จะไม่มีความสุขแต่โย่วอีก็ปิดบังไว้ ไม่เปิดเผย
มีเพียงใบหน้าของเขาที่บึ้งตึงเล็กน้อย
อาจเป็นเพราะพายุหิมะกำลังจะมาจริงๆแม้ว่าหน้าต่างของรถจะปิดแน่น แต่ตลอดทางก็ยังสามารถมองเห็นถุงพลาสติกที่ปลิวไปตามลมได้จากหน้าต่างกระจกไม่เพียงแต่ของเล็กๆเบาๆเท่านั้น แต่ยังมีต้นไม้ขนาดเล็กที่ปลูกไว้ในดินก็ถูกพัดขึ้นมาจากพื้นดินเช่นกัน
เฉินเฉียวรู้สึกกลัวเล็กน้อยเธอกังวลมากบางทีรถอาจจะปลิวก่อนกลับบ้าน
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอคิดมากเกินไป
หลังจากถึงเป่ยเฉิงอย่างปลอดภัยแล้ว ลมกระโชกแรงด้านนอกหยุดตั้งนานแล้ว
เซินหยูเปิดประตูและลงจากรถจากนั้นก็เห็นรถสีขาวที่ปลายทาง
หลังจากขอบคุณซังหลินจวินสองสามประโยค เซินหยูก็เดินจากไป
หลังจากที่เห็นเซินหยูเดินไปถึงรถคันสีขาว ซังหลินจวินก็พูดกับเหล่าฟู่ที่กำลังขับรถอยู่ว่า “ไปเถอะได้เวลากลับไปกินข้าวแล้ว”
เฉินเฉียวที่ตอนแรกคิดว่าซังหลินจวินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เธอก็ยิ้มมุมปาก เกือบจะหลุดหัวเราะ
ซังหลินจวินที่พูดว่าอยากกินข้าว ไม่รู้ทำไมน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่รถกำลังมุ่งหน้ากลับบ้านเฉินเฉียวกำลังจะหลับตาลงแต่เห็นผ่านกระจกมองหลังว่าเซินหยูขับรถตามมา
ซังหลินจวินซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าสังเกตเห็นคิ้วของเขาขมวดขึ้นและเขารู้สึกรำคาญ
เขาคิดว่าเซินหยูเจตนาขับตามพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงรถก็ยังตามอยู่ เขายิ่งแน่ใจมากขึ้น
เซินหยูที่อยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าคนในรถข้างหน้าเข้าใจเขาผิด
เมื่อมองไปที่ที่นั่งคนขับ ตอนนี้เขาไม่ได้ยิ้มให้ซังหลินจวินเหมือนตะกี้เขาเย็นชามากและดวงตาของเขาก็ฉายแววดูถูกดูแคลน: “ทำไมแกมาหาฉันซะเอง ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ต้องมา?”
ปู้อี้เฉินที่ขับรถอยู่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอดกลั้นต่อความเจ็บปวดในใจของเขาและกล่าวว่า: “คุณเซิน ผมไม่ได้เจอคุณนานแล้ว หลังจากรู้ว่าคุณจะมาเป่ยเฉิง ผมก็อดไม่ได้ที่จะมารับ ถ้าคุณไม่อยากเจอผม งั้นผมส่งคุณที่ประตูทางเข้านะครับ ”
“ ช่างเถอะ ช่างเถอะ”เซินหยูพูดเพียงประโยคเดียวแต่ปู้อี้เฉินตอบกลับหลายประโยคและอารมณ์ที่หงุดหงิดอยู่แล้วของเขาก็หดหู่มากขึ้น
เมื่อซังหลินจวินกลับไปที่จิ้งหย่วนเขาพบว่ารถคันดังกล่าวขับตามเขามาไม่หยุด
แต่มีเสียงบีบแตรดังใกล้ๆ
ซังหลินจวินขมวดคิ้วและหลังจากคิดสักพักจู่ๆก็คิดอะไรออกบางอย่าง
กอดเหมิงเหมิงที่นอนอยู่ในอ้อมอกแน่นขึ้น
พลางพูดกับเฉียวเฉียว “เฉียวเฉียวผมคิดว่าเรื่องตะกี้เราน่าจะเข้าใจผิด ครั้งที่แล้วไม่ใช่ว่าบ้านใกล้ๆมีคนซื้อไปแล้วเหรอ ผมคิดๆดูแล้วทางที่เซินหยูนั่งรถมาตะกี้ ตอนนี้รถมันจอดผมก็ไม่เห็นเขาเลย สงสัยจะกลับถึงบ้านก่อนเราแล้ว ”
เฉินเฉียวรู้สึกว่าการคาดเดาของซังหลินจวินนั้นถูกต้อง แต่เมื่อมองไปที่ ซังหลินจวินเฉินเฉียวก็พูดด้วยความสงสัย: “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราไปเยี่ยมเขาไหม?”
หลังจากคิดเรื่องนี้ซังหลินจวินก็ส่ายหัว: “พรุ่งนี้เถอะ วันนี้ดึกแล้ว”
ก็จริงหลังจากนั่งรถกลับมา ตอนนี้ก็หกโมงสี่สิบห้าแล้ว ถ้าช้าไปสิบห้านาทีจะนับว่าพวกเขากลับบ้านดึก
ซังหลินจวินกอดเหมิงเหมิงที่หลับใหลอยู่บนโซฟาเพราะเขากำลังจะกินข้าวซังหลินจวินจึงไม่ได้อุ้มเหมิงเหมิงกลับห้อง
ป้ามั่วซึ่งเริ่มจัดอาหารบนโต๊ะในห้องโถงยิ้มเรียกให้พวกเขากินข้าว
เฉินเฉียวเดินไปจูงเหมิงเหมิง
น้ำหนักของเด็กเล็กเป็นสิ่งที่เปลี่ยนเร็วที่สุด เหมิงเหมิงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
[ผู้เขียน] สวัสดีค่ะผู้อ่านที่รัก เนื่องจากช่วงสองถึงสามวันนี้ฉันติดภารกิจจำเป็นเล็กน้อย จึงลงนิยายรายตอนได้ไม่เยอะ ขอให้ผู้อ่านโปรดเข้าใจฉัน หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ฉันจะกลับมาลงนิยายครั้งละ10บทเช่นเดิม ขอบคุณที่ติดตามและชื่นชมนิยายของฉันค่ะ