โดยธรรมชาติแล้วงานเลี้ยงมาเฟียไม่เหมือนงานเลี้ยงอาหารค่ำและงานเลี้ยงปกติ
ผู้ที่มาทั้งรูปร่างสูงและเตี้ย แต่ละคนสวมชุดสูทสีดำ ใบหน้ามีรอยแผลเป็น และคิ้วถูกตัดออกครึ่งหนึ่ง
เซิ่งยวี่พาสาวข้างกาย เดินไปข้างๆ ซังหลินจวิน แขกทุกคนที่เข้ามา ก็อธิบายให้ซังหลินจวินเข้าใจ
คำอธิบายโดยละเอียดของเขาทำให้ในใจซังหลินจวินสงสัย เขาไม่เข้าใจ ทำไมเซิ่งยวี่ต้องดีกับเขาแบบนี้ ยังไงแล้วพวกเขาจะรู้จักกัน แต่ความสัมพันธ์พวกเขาก็เป็นเพียงวิธีปกติในแวดวงธุรกิจ แม้จะชื่นชมความสำเร็จของบริษัทเขา แม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับชีวิต แต่ก็พูดไม่ได้ว่าไม่เห็นด้วย
หลังจากเห็นชายที่รู้จักเซิ่งยวี่ในงานทักทายเขา ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายบ้าง เขายืนไม่ขยับไปไหน พูดเบาๆ กับเซิ่งยวี่ “ในเมื่อคุณเซิ่งมีคนรู้จัก งั้นฉันไม่อยู่ด้วยแล้ว”
ซังหลินจวินไม่มีทางลืมจุดประสงค์ในการมาที่นี่ ในเมื่อเข้ามาได้แล้ว ถึงแม้จะหาตรงๆ ไม่ได้ แต่ก็ออกค้นหาเป็นการส่วนตัวดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ตอนเขาจะไป เซิ่งยวี่ก็คว้าแขนยาวเขาเอาไว้
การถูกคนไม่คุ้นเคยเข้าใกล้ แถมจับแขนไว้ ซังหลินจวินก็ขมวดคิ้ว ความรำคาญใจแทบจะปกปิดไม่ได้ ขยับมือไปด้านข้างเล็กน้อย สะบัดมือเซิ่งยวี่ออก พูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณเซิ่ง ถึงฉันจะซาบซึ้งที่นายพาฉันเข้ามามากๆ และยังบอกหลายๆ อย่างที่เป็นประโยชน์กับฉัน แต่ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ของเราจะถึงขนาดจับมือกันได้ ฉันคิดว่าคุณเซิ่งคงไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดนะ”
อิตาลีเป็นเมืองโรแมนติก จำนวนเกย์ของที่นี่น่ากลัวว่าที่ประเทศอื่นๆ
ถ้ามีใครเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเกย์ แอบวางยาไม่รู้จักให้เขา หรือไม่ก็โดนยุ่งวุ่นวาย ถึงเขาจะมีความมั่งคั่งและตำแหน่งสูงมากในประเทศก็ไม่ได้ช่วยอะไร
ยังไงแล้วคนที่นี่ก็สู้สุดชีวิต เงินเยอะเท่าไร เมื่อเทียบกับโชคชะตา ความแตกต่างนั้นไม่ใช่แค่หนึ่งเซนติเมตร
เซิ่งยวี่หัวเราะเบาๆ แค่เหลือบมองแววตาซังหลินจวิน เขามองออกว่าแววตาของเขาหมายความว่าอย่างไร
พูดขึ้นอย่างหมดหนทาง “คุณซัง นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันจับมือนายเพราะอยากบอกนายว่าที่แห่งนี้ ทางที่ดีนายอย่าทำอะไรผลีผลาม ในเมื่อจอร์จ บลูเป็นคนจัดงานเลี้ยงนี้ เดาว่าเขาต้องเตรียมการอย่างเข้มงวดแล้ว นายดูสิว่าที่นี่มันหละหลวมหรือเปล่า แต่ตามประสบการณ์ของฉันที่เคยมาที่นี่ มันต้องมีปืนสไนเปอร์สิบกระบอกวางอยู่ที่ขอบหน้าต่างในแนวทแยงมุมตรงข้ามนาย นี่ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดปลุกปั่นนะ ความจริงมันเป็นแบบนี้แหละ ที่ฉันเตือนนายเพราะฉันพึงพอใจนาย”
ซังหลินจวินมองไปตามที่เซิ่งยวี่พูด นอกหน้าต่างที่มีม่านปิดไว้ ถึงจะมองไม่เห็นเบื้องหลังเงาคน แต่ถ้าจ้องมองดีๆ จะเห็นได้ว่าผ้าม่านมันถูกยกขึ้นเล็กน้อย อาจจะสัมผัสมันโดยบังเอิญ
ซังหลินจวินรู้สึกถึงอันตรายจริงๆ หันศีรษะไป เผชิญหน้ากับคนที่ยิ้มเล็กน้อยให้เขา ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรกับเขาดี
สุดท้ายก็แค่เม้มปาก พูดขึ้น “ขอบคุณมาก”
เซิ่งยวี่เลิกคิ้ว สุดท้ายก็ยอมรับ
และในตอนนี้ ชายที่ทักทายเซิ่งยวี่ก็เดินมาตรงหน้าพวกเขา
“ลูบัส ไม่คิดจริงๆ ว่าจะเจอนายที่นี่” เซิ่งยวี่ปล่อยมือที่เอวผู้หญิง สองมือกอดชายร่างสูงที่เดินมาหาเขา
เห็นได้ชัดว่าลูบัสชอบไมตรีจิตของเซิ่งยวี่ที่มีต่อเขามาก ใบหน้าเขายิ้มจนเกิดรอยเหี่ยวย่น
หลังจากพวกเขาพูดคุยทักทายกัน เซิ่งยวี่ก็แนะนำซังหลินจวินให้ลูบัส
“ลูบัส นี่เพื่อนสนิทของฉันในจีน ชื่อมิสเตอร์ซัง”
“ไฮ มิสเตอร์ซัง ดูไม่ออกจริงๆ ว่านายเป็นเพื่อนสนิทมิสเตอร์เซิ่ง นี่หรือที่เรียกว่าการส่งเสริมซึ่งกันและกันที่คนจีนเขาพูดกัน” ขณะที่ลูบัสยื่นมือไปจับซังหลินจวิน ก็ตบบ่าเซิ่งยวี่ด้วยสีหน้าเกินจริง
ซังหลินจวินไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
เซิ่งยวี่ไม่ได้อธิบายให้เขาฟังตอนนี้ แต่พูดขึ้นอย่างติดตลก “นายกับจอร์จก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
ได้ยินประโยคนี้สีหน้าลูบัสก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อมองไปสักพัก เห็นไม่มีใครสังเกตว่าพวกเขาพูดอะไร ก็ขมวดคิ้ว พูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ “อย่าพูดถึงไอ้คนไร้มารยาทคนนั้น ช่วงนี้มันจะจัดการพวกโจลสันเพราะไอ้เด็กผมเหลือง”
เซิ่งยวี่ที่ผ่อนคลายคิ้วอยู่ตลอดเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในที่สุด
โจลสันเป็นรองหัวหน้ามาเฟีย และเป็นน้องชายของหัวหน้ามาเฟียคนก่อน
ตอนแรกที่โจลสันอายุยังน้อยมาก ตำแหน่งของพี่ชายเขาถูกแทนที่ด้วยจอร์จ ตามการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ ปกติถ้าหัวหน้าถูกแทนที่ สมาชิกในครอบครัวก็จะมีส่วนเกี่ยวข้อง กลายเป็นอาชญากรรมเดียวกัน
แน่นอนว่าอาชญากรรมในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงอาชญากรรมที่แท้จริง และควรโดนประหารชีวิต
แต่จอร์จมีสไตล์ที่แปลก เก็บเขาเอาไว้ แต่เก็บไว้เขาไว้กาย เลี้ยงดูด้วยตัวเอง
ถึงขนาดกลายเป็นพ่อทูนหัวของโจลสันด้วยซ้ำ
จอร์จในฐานะพ่อทูนหัวก็ปฏิบัติไม่แย่กับโจลสัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องการเรียน ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา
แต่โจลสันรู้ว่าพี่ใหญ่ของเขาตายด้วยน้ำมือจอร์จตั้งแต่ยังเล็กๆ แน่นอนว่าเขาไม่รักและเคารพอย่างแท้จริง
แม้กระทั่งเรื่องการหายไปของดวงใจแห่งบูลีน ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเขา
ตอนที่ดวงใจแห่งบูลีนหายไป เป็นตอนที่โจลสันมีอำนาจมากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเอาชนะจอร์จได้ง่ายๆ ยังไงแล้วจอร์จก็มีบารมีอย่างมากในวงการมาเฟีย โจลสันเทียบไม่ติด
ตอนนี้ ไม่กี่ปีผ่านไป จู่ๆ ดวงใจแห่งบูลีนก็หาเจอ โจลสันก็เกิดการทะเลาะกับจอร์จ ราวกับเหมือนเตรียมการสู้มานาน ในที่สุดสัญญาณไฟก็จะเริ่มขึ้น แสดงจุดเริ่มต้นของสงครามนองเลือด
เรื่องพวกนี้ เซิ่งยวี่ก็เข้าใจอย่างมาก เขาไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้
ถ้ารู้นานแล้วว่าโจลสันจะประลองกับจอร์จ เขาจะไม่มีทางมาอิตาลีในเวลานี้เด็ดขาด
ซังหลินจวินเห็นเซิ่งยวี่สีหน้าเปลี่ยนไป ก็รู้ว่าสิ่งต่างๆ กำลังจะเกิดขึ้น ยังไงแล้วเขาก็รู้จักเขามานาน ยังไม่เคยเห็นเซิ่งยวี่เปลี่ยนสีหน้าแบบนี้มาก่อนเลย
เขาไม่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องมาเฟียในอิตาลีนัก ถึงจะเคยถามคนอื่น แต่เป็นไปไม่ได้ที่แขกแต่ละคนในอิตาลีจะอธิบายคนในประเทศพวกเขาอย่างละเอียดทั้งหมด
ดังนั้นซังหลินจวินจึงไม่รู้ว่าโจลสันคือใคร และไม่รู้ว่าข้อพิพาทของพวกเขา
เห็นแววตาไม่เข้าใจของซังหลินจวิน เซิ่งยวี่ก็ถอนหายใจเสียงทุ้ม ยิ้มขมขื่นพูดขึ้น “คุณซัง เกรงว่าเราจะซวยแล้ว”
หลังจากเซิ่งยวี่รู้เรื่องจากความละเอียดของลูบัสแล้ว เมื่อลูบัสออกไป ก็ไปที่มุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่กับซังหลินจวิน ตอนนี้ตำแหน่งมุมว่างเปล่า ไม่มีคน เหมาะที่พวกเขาจะคุยกัน