คุณผู้หญิงซังได้ยินลูกชายพูด ก็รู้สึกสับสนในใจ
เธออยากจะถาม แล้วลูกล่ะ
ต้องการให้เฉินเฉียวความทรงจำกลับมาหรือไม่?
คุณผู้หญิงซังจะไม่มีวันลืมว่าเมื่อเฉินเฉียวหายตัวไปความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลินจวินก็ฝืดเคืองมาก
ตอนนี้การที่พวกเขาเดินไปด้วยกันอีกครั้งมันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ถ้าเธอความจำกลับมา แล้วทิ้งลูกชายเธอไป งั้นจะทำยังไงดี
เธอคิดจนหัวหมุนไปหมดแล้ว
ซังหลินจวินฟังออกถึงความกังวลของแม่เขาและพูดอย่างใจเย็น: “แม่ บนโลกนี้สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็คือความรู้สึกและความทรงจำ ผมเชื่อในตัวเฉียวเฉียว เพราะงั้นปล่อยตามธรรมชาติเถอะ”
คุณผู้หญิงซังถอนหายใจและพูดว่า “ตอนนี้ลูกเชื่อว่าจะปล่อยมัน ทำไมตอนแรกต้องไปตามหาเธอด้วยล่ะ เฮ้อ ช่างเถอะนี่เป็นเรื่องของพวกหนุ่มสาว แม่ไม่อยากเข้าไปยุ่ง แค่นี้นะ”
คุณผู้หญิงซังวางสายและเธอก็ทำตัวปกติไม่ให้ผิดสังเกต
ซังหลินจวินถือโทรศัพท์ที่วางสายแล้วพร้อมกับรอยยิ้มที่ขมขื่น
ปล่อยไปตามธรรมชาติ
นี่เป็นเพียงการพูดเพื่อปลอบใจแม่เขาเท่านั้น ความจริงเขากังวลจนไม่รู้จะกังวลยังไงแล้ว
เมื่อวางเก็บโทรศัพท์ไปความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจของเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปหมดเมื่อเขาเดินกลับไปที่ห้องทำงานเขาก็ยังคงเป็นคนที่เข้มแข็งคนนั้น
เมื่อตอนเย็นซังหลินจวินกลับมา เขายังคงแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้อะไรเลย
เฉินเฉียวอยากถามเขาเหมือนตอนที่เขาถามแม่ของเขาในตอนบ่าย แต่หลังจากมองไปที่ดวงตาที่อ่อนโยนของหลินจวิน เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
จนกระทั่งไฟถูกปิดเฉินเฉียวที่นอนคลุมโปงอยู่ก็กำลังคิด ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยถาม
หลังจากตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกถึงความอบอุ่นข้างๆและเธอก็เอื้อมมือไปสัมผัสมันโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ถูกจับไว้
เมื่อเธอลืมตาขึ้นด้วยความตกใจเธอก็เห็นว่าใบหน้าที่เกือบจะไร้ที่ติของหลินจวินไม่ได้อยู่ใกล้กับเธอ
จู่ๆใบหน้าก็ค่อยๆเข้ามาใกล้แม้ว่าจะดูดีมาก แต่ก็ยังไม่สามารถระงับความกลัวในใจไว้ได้
เฉินเฉียวต้องการหลบ แต่ซังหลินจวินรั้งร่างของเธอไว้และพูดว่า “เฉียวเฉียว นอนต่ออีกแปปเถอะ วันนี้ผมไม่ไปบริษัท ”
เฉินเฉียวที่ต้องการจะเอามือของเขาออกได้ยินหลินจวินพูดว่าไม่ไปบริษัท เธอจึงขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมคุณไม่ไปบริษัทล่ะหรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับบริษัท?”
ผมยุ่งๆของซังหลินจวินถูคอของเฉินเฉียวเหมือนสิงโตและเสียงอันมีเสน่ห์ดังข้างๆหูเธอ
“เปล่า ผมอยากจะพักร้อนเอง”
เฉินเฉียวมองไปที่ใต้ตาของเขาและรู้สึกได้ทันทีว่า เขาพักผ่อนเพียงพอแล้ว เธอไม่ได้ถามอะไรเพียงแต่พยักหน้า
เนื่องจากเขาไปทำงานต่อเนื่องมาหลายวัน ก็เลยหยุดยาวอีกทั้งยังนัดเหยียนเฟิงมาอีก เฉินเฉียวก็ไม่ได้พูดอะไร เหยียนเฟิงที่รออยู่ข้างล่างหลายชั่วโมงอยากจะแหย่ให้เขาโกรธ
เมื่อคืนหลินจวินบอกว่าจะออกไปเที่ยว เหยียนเฟิงที่ได้รับข้อความนี้ เลยตื่นเต้นมารอที่จิ้งหย่วนตั้งนานแล้ว
ปรากฎพอมาถึงจิ้งหย่วน ก็พบว่ายังไม่มีใครตื่น
เขานั่งที่โซฟา ดื่มชาสองสามถ้วย นั่งจนโซฟาอุ่นแล้วคนที่เขาอยากมาหาก็ยังไม่ลงมา ตอนที่เขากำลังคิดว่าหรือว่าจะกลับไปก่อนดี รอให้ซังหลินจวินโทรหาแล้วค่อยมาอีกรอบ
ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหวที่ชั้นบน
เหยียนเฟิงเงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่รู้ตัว ปรากฎว่าเห็นซังหลินจวินกำลังโอบเฉินเฉียวใบหน้ามีรอยยิ้มหวานชื้น
เหยียนเฟิงนิ่งเฉย รู้สึกว่าเขาเซ่อจริงๆที่มาแต่เช้าแบบนี้
แต่ถึงจะเซ่อยังไงก็ต้องถาม
“ ไอ้ซัง แกเรียกฉันมาจะออกไปเที่ยวกันไม่ใช่เหรอ? ฉันรอแกมาสามชั่วโมงแล้ว ถ้าแกขืนแกยังไม่ตื่นคงได้กินข้าวกลางวันแน่ ”
หลินจวินได้ยินเสียงเหยียนเฟิงจากชั้นล่างเลยมองลงไป เห็นเหยียนเฟิงใส่ชุดกีฬาแขนกุด สายตามองเขาหัวจรดเท้าแล้วถาม“ทำไมแกใส่ชุดอะไรแบบนี้”
เหยียนเฟินมองชุดที่เขาใส่มาในวันนี้อย่างไม่รู้ตัว พอเห็นก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาหล่อมาก ไม่มีที่ติอะไรเลยจริงๆ
เขาสะบัดผมและพูดด้วยน้ำเสียงที่หลงตัวเองมาก: “แกไม่ได้ชวนฉันออกไปเที่ยวเหรอไง?” ไหนๆก็ไปเที่ยวแล้ว ก็ต้องใส่ให้สบายๆหน่อย แกไม่คิดว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วฮอร์โมนมันพุ่งพล่านเหรอ ”
ซางหลินจวินยิ้มเยาะเขารู้สึกเพียงว่าเดี๋ยวนี้เหยียนเฟิงเริ่มเลี่ยนขึ้นเรื่อยๆ เขาขี้เกียจห้ามแล้ว
มือโอบเอวเฉียวเฉียวค่อยๆประคองเดินลงมา และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “เฉียวเฉียวตอนเช้าคุณอยากกินอะไรไหม?”
เฉินเฉียวส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่อยากกิน”
ซิงหลินจวินรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ไม่ได้ มื้อเช้าจะไม่กินได้อย่างไร หลังจากลงมาชั้นล่าง เขาก็เดินไปทางป้ามั่วและพูดสองสามประโยค
เมื่อเขาเดินมาเฉินเฉียวก็พบว่าเขาถือนมและขนมปังสองชิ้นอยู่ในมือแล้ว
“กินรองท้องไปก่อนเถอะ นั่งรถต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง รอถึงที่หมายแล้วพวกเราค่อยไปหาอะไรกินกันอีกที”ซางหลินจวินยัดสิ่งของใส่มือของเฉินเฉียว ทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธได้
เฉินเฉียวยิ้ม รู้สึกว่านมยังอุ่นอยู่ และไม่ได้พูดปฏิเสธอะไร
เหยียนเฟิงเมื่อเห็นฉากนั้น เขาก็หันหลังเดินไป
เขาลูบท้องและพูดว่า”ไอ้ซัง ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยเช้านี้ เอามาเผื่อฉันบ้างซักที่หนึ่งสิ”
ซังหลินจวินหันกลับมามองเขา โดยไม่มีรอยยิ้ม”เดินไปข้างหน้าโน่น มีอยู่ในครัว ไปเอาเองดิ”
เหยียนเฟิงถอนหายใจ ทำได้แค่เดินไปหยิบเอง
รอจนกินอาหารเช้าเสร็จ
เหยียนเฟิงขับรถตามหลังและซังหลินจวินขับรถนำหน้า
หลังจากไม่กี่ชั่วโมงทั้งสามก็ลงจากรถ มองไปยังร้านที่มีแสงสีละลานตา เหยียนเฟิงตบไหล่ซังหลินจวินแล้วพูด: “คิดไม่ถึงจริงๆ ไอ้ซัง แกมาที่แบบนี้ด้วยเหรอ แถมยังถาเฉินเฉียวมาอีก แกไม่กลัวเหรอไง เธอเข้าไปแล้วจะว่าแกไหม? ”
ซางหลินจวินพูดไม่ออก เขาเดาไม่ออกจริงๆว่าในหัวของเหยียนเฟิงคิดอะไรอยู่
เห็นได้ชัดว่านี่มันก็เป็นสถานที่ที่ปกติ เฉียวเฉียวจะเข้าใจเขาผิดได้ยังไง
แอบมองเฉินเฉียวข้างๆแวบหนึ่ง พบว่านอกจากสายตาเฉินเฉียวจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ได้เป็นแบบที่เหยียนเฟิงคิดแบบนั้น