แต่ตานเหยียนคนนี้ดันปฏิเสธจริงๆ
“ท่านประธาน ผมคิดว่าผมไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมอยู่สำนักงานเลขา เคยเห็นผู้ช่วยอวี้จัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตาตัวเอง เขาสามารถทำทุกเรื่องที่ยากลำบากให้สมบูรณ์ที่สุดได้ และทำให้ผู้คนไม่มีความคิดเห็นโต้แย้งใดๆ แต่ผม……”
ตานเหยียนหัวเราะขมขื่น บนใบหน้าซื่อสัตย์ดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ผมทำไม่ได้อย่างเขาแน่นอนครับ”
ซังหลินจวินชักมือที่เคาะโต๊ะทำงานกลับมา ใบหน้าเย็นชาถึงจะไม่แสดงอารมณ์เหมือนเดิม แต่บรรยากาศในห้องทำงานกลับมีความจริงจังอย่างอธิบายไม่ถูก
ตานเหยียนแอบรู้สึกกดดันในใจเพิ่มขึ้น ตอนที่เสียใจที่เขาพูดจาหนักแน่นเกินไป ซังหลินจวินก็หรี่ดวงตาลุ่มลึกสองข้างเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นายคิดว่าที่ฉันให้งานนี้กับนาย เพราะนายกล้าและไม่กลัวที่จะพูด ถ้าอยากหาคนที่มีความสามารถอย่างอวี้เฟย เกรงว่าฉันจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองอีกหลายสิบปีข้างหน้า โลกนี้มีแค่อวี้เฟยคนเดียว และสิ่งที่ฉันอยากให้นายทำก็คือห้ามฉันดื่มเหล้าได้ สกัดกั้นคนที่ต่อต้านฉัน นายเข้าใจไหม? ”
ตานเหยียนลูบศีรษะ ยิ้มอย่างอายๆ
“ที่แท้ท่านประธานก็คิดแบบนี้นี่เอง ผมก็นึกว่า”
ท่าทางซื่อตรงแบบนั้น ดูแล้วทึ่มๆ เหมือนฮัสกี้เลยจริงๆ
ซังหลินจวินยืนขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นก็เดินไปหาตานเหยียน ตบบ่าเขาเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ตอนนี้ฉันพูดเคลียร์แล้วนะ นายยังปฏิเสธอยู่ไหม? ”
ครั้งนี้ ตานเหยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธจริงๆ ยังไงท่านประธานก็พูดเข้าใจแล้ว
เขาพยักหน้าอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมของท่านประธาน ผมจะทำมันให้ดีอย่างแน่นอนครับ”
เมื่อซังหลินจวินกลับไป ก็เล่าเรื่องวันนี้ให้เฉินเฉียวฟัง
ไม่บ่อยนักที่มุมปากบ่งบอกถึงความหมดหนทางขณะพูดขึ้น “เจ้านี่มันไร้เดียงสาเกินไป กลัวจริงๆ ว่าเขาจะถูกคนพวกนั้นในสำนักงานเลขาแกล้งจนอยู่ไม่ได้”
เฉินเฉียวนั่งข้างเตียง มีผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่งกำลังเช็ดผมที่เปียกอยู่ หลังจากได้ยินคำพูดหลินจวิน ก็หันหน้าไปยื่นนิ้วเรียวยาวขาวเนียนส่ายไปมาแล้วพูดขึ้น “หลินจวิน ฉันฟังจากที่คุณพูด เขาดูเป็นคนที่ซื่อสัตย์และภักดีมาก คนประเภทนี่มักมีนิสัยที่คงทนมาก ถึงจะเจอปัญหายากลำบากมากที่สุด ตราบใดที่ไม่แตะต้องหลักการของเขา เขาก็จะไม่ทะเลาะกับใคร แต่ถ้าแตะต้องหลักการของเขา”
เฉินเฉียวเผยรอยยิ้มจางๆ ไม่รู้ความหมาย ให้เขาเดาเอง
ซังหลินจวินเข้าใจความหมายของเฉินเฉียว แค่เขารู้สึกว่าคนที่มีนิสัยแบบตานเหยียน เกรงว่าจะไม่ทำอะไรให้เพื่อนร่วมงานไม่พอใจ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งหมดก็ยังไม่รู้
หลังจากเฉินเฉียวเช็ดผมเสร็จแล้ว จู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะออกไปซื้อของข้างนอกในวันนี้ ดันไหล่หลินจวินเบาๆ แล้วพูดขึ้น “หลินจวิน ฉันมีน้องสาวที่ชื่อเฉินอินหรือเปล่า”
ซังหลินจวินไม่คิดว่าเฉินเฉียวจะพูดแบบนี้ อึ้งสักพักแล้วพูดขึ้น “ทำไมจู่ๆ ถามเรื่องนี้”
สำหรับเรื่องเฉินอิน
เดิมทีเขาอยากส่งเรื่องนี้ให้อวี้เฟยจัดการด้วยความชิน แต่พอกำลังจะกดโทรออกไป ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาถูกส่งไปทำงานที่อื่นแล้ว
ไม่งั้นคงไม่เลือกผู้ช่วยในวันนี้
เห็นหลินจวินไม่ปฏิเสธ ก็เปิดประเด็นหัวข้อ เฉินเฉียวเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ชัดเจนขึ้นในความทรงจำ ใช้เวลาสักพักก่อนเธอจะพูดขึ้น “วันนี้ฉันเจอคนหนึ่ง เธอบอกว่าเป็นน้องสาวฉัน ฉันนึกว่าเธอล้อเล่น”
ช่วงกลางวัน เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้ออกไปชอปปิ้งคนเดียว
หลังจากเฉินเฉียวไปส่งอาหารกลางวันเด็กๆ เสร็จแล้ว ก็ไปที่ใจกลางเมืองคนเดียว
เมื่อลองสวมชุดของร้าน “สาวสวยผู้อ่อนโยน” เพิ่งจะใส่เสื้อผ้า
จู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ยืนขึ้นมาจากเก้าอี้พักผ่อนในร้าน ยิ้มแล้วทักทายเธอ
“พี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เฉินอินที่สวมชุดเดรสสีขาว ผิวขาวเกือบโปร่งแสงยิ้มกว้างมองเฉินเฉียว
“เธอคือ? ” เฉินเฉียวคิดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง ทำไมจู่ๆ มีคนมาเป็นญาติเธอได้
เฉินอินมองสำรวจเฉินเฉียวที่โครงหน้าต่างจากเมื่อก่อนอย่างระมัดระวัง ในใจก็แอบเย้ยหยัน ถึงจะเปลี่ยนใบหน้า แต่ก็ยังจีบซังหลินจวินได้ เป็นผู้หญิงที่สุดยอดจริงๆ เลยนะ
ในสายตาเฉินอิน เฉินเฉียวเป็นผู้หญิงที่ปากไม่ตรงกับใจ ถึงจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความน่ารังเกียจในกระดูกเธอได้
แต่ภายนอกก็ยังเดินไปหาเธอด้วยความสนิทสนมอย่างมาก จับแขนเธอแล้วพูดขึ้น “พี่ พี่ลืมฉันจริงๆ เหรอ? ฉันเป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่เลยนะ”
จู่ๆ ก็โดนจับมือ ในใจเฉินเฉียวก็รู้สึกขยะแขยง โดยเฉพาะเห็นคนฝั่งตรงข้ามทั้งๆ ที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนมาก แต่เธอมักรู้สึกว่าใบหน้าอ่อนโยนนี้มันเหมือนชมดอกไม้ในสายหมอก ดูปลอมเกินไป
ค่อยๆ เอามือตัวเองแกะออกจากมืออีกฝ่าย จงใจเอามือแตะหู เหมือนกับว่าร่างกายจะได้ไม่แข็งทื่อเกินไปขณะที่เธอยังควบคุมไม่ได้
“เธอบอกว่าเธอเป็นน้องสาวฉัน ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่เคยเจอเธอเลยล่ะ” ถึงแม้เฉินเฉียวจะสูญเสียความทรงจำ ก็ไม่โดนหลอกง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอรู้นานแล้วว่าแม่แท้ๆ ของเธอคือใคร และยิ่งรู้อีกว่า คนคนนั้นไม่ได้คลอดใครอีกนอกจากเธอ
ดังนั้นความสัมพันธ์ในครอบครัวต้องเกิดเครื่องหมายคำถามใหญ่ๆ
เฉินอินไม่คิดว่าเฉินเฉียวจะคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ ยิ้มที่มุมปากกลายเป็นแข็งทื่อเล็กน้อย ผ่านไปสักพักก็พูดขึ้น “หรือพี่จะลืมไปแล้วว่าพ่อเราเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า? ”
เฉินเฉียวส่ายหน้าอย่างซื่อสัตย์อย่างยิ่ง พูดขึ้น “ขอโทษนะ ฉันยังไม่เคยเจอพ่อเลย”
ถึงครั้งหนึ่งจะเหลือบมองสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้เจอกันอย่างเป็นทางการ แม้แต่พูดคุยก็ไม่มี ดังนั้นก็ไม่ถือว่าโกหก
“พี่ความจำแย่จริงๆ เลยนะ แม้แต่พ่อก็ลืมได้” เฉินอินเบ้ปาก แสร้งทำเป็นบ่น
เธอรู้สึกว่า เฉินเฉียวคงถามเธอต่อไปว่าใครเป็นพ่อของเธอกันแน่
แต่เฉินเฉียวยอมรับโดยไม่เสแสร้งสักนิด “ความจำฉันแย่จริงๆ สองสามปีก่อนฉันความจำเสื่อม ขอโทษจริงๆ นะ”
สิ่งที่เฉินอินอยากพูดถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ขณะที่เธออยากพูดต่อ จู่ๆ เฉินเฉียวก็ถามขึ้น “ก่อนหน้านี้เธอขับรถชนฉันหรือเปล่า? ”
แววตาเฉินอินเปลี่ยนจากความตกใจเป็นเกลียดชังทันที ถามด้วยน้ำเสียงดุเดือด “ที่แท้เธอก็ไม่ได้ความจำเสื่อม อย่างที่คิดไว้เลย ฉันว่าแล้วผู้หญิงอย่างเธอจะความจำเสื่อมได้ยังไง”
พอคิดว่าเมื่อครู่นี้เธอถูกหลอกเหมือนลิง เฉินอินก็กลั้นความเกลียดชังในใจไม่ไหวแล้ว มือก็ออกแรงผลักเฉินเฉียว