เขาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดความเข้าใจผิดของเจียงฉยงฉยงในตอนนี้ เขาต้องถามให้ชัดเจน
“ฉยงฉยง คุณบอกว่าผมรับโทรศัพท์กับส่งข้อความหาคนอื่นลับหลังคุณตลอด ผมปิดบังคุณไม่ได้หรอก เรื่องพวกนั้นผมเคยทำจริงๆ”
คำพูดของเจียงอี้ฝานเบาลง สายตาของเจียงฉยงฉยงเปลี่ยนเป็นผิดหวังและเจ็บปวด
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีเจียงอี้ฝานเสริมขึ้นมาทันที: “นั่นเป็นเพราะโทรศัพท์กับข้อความเหล่านั้นผมส่งให้ไอ้ซัง”
ในขณะที่เขาพูดเขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเสื้อหาบันทึกการสนทนาเหล่านั้นอย่างรวดเร็วและส่งโทรศัพท์ให้เจียงฉยงฉยงโดยตรงเพื่อให้เธอดู
เจียงฉยงฉยงอยากจะดู แต่กังวัลว่าพวกเขาจะเตรียมการกันมาก่อนแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอกลายเป็นภรรยาที่จู้จี้จุกจิก ทั้งๆที่แต่ก่อนเรื่องพวกนี้แม้แต่คิดเธอก็ไม่กล้า
ความรักมันเป็นเรื่องที่ทำให้คนบ้าได้จริงๆ
เจียงอี้ฝานเห็นน้องสาวไม่มีท่าทีจะดูมัน เขาไม่สนใจว่าจะถูกเธอผลักหรือไม่ เขารีบวิ่งไปข้างหลังเธอจับไว้ในอ้อมแขนและยื่นโทรศัพท์ให้ต่อหน้าเธอ
“ฉยงฉยงดูสิ ข้อความนี้ตอนคุณเพิ่งท้อง เฉียวเฉียวเป็นคนส่งมาแต่ตอนนั้นหมอบอกว่าทางที่ดีอย่าสัมผัสพวกของอิเล็กทรอนิกส์มากผมเลยย้ายข้อมูลของคุณมาที่โทรศัพท์ผม หลังจากนั้นคุณบอกว่าเฉินเฉียวไม่ได้โทรมาหานานแล้วนั่นก็เพราะว่าผมแอบตอบกลับให้คุณ”
เธออ่านข้อความโทรศัพท์ตรงหน้าเมื่อเธอเห็นทุกอย่างก็เข้าใจว่าเธอเข้าใจผิด
เพียงแค่เธอก็ยังคงรู้สึกไม่มีความสุข
ถึงขนาดเธอคิดว่ามันไร้สาระ
“คุณทำไมทำแบบนี้ ถ้าบอกฉันเร็วกว่านี้ฉันก็จะทำเพื่อลูกจะคุยโทรศัพท์กับเฉียวเฉียวน้อยลง คุณปลอมเป็นฉันแอบไปคุยกับเฉียวเฉียวได้รู้ว่าความลับระหว่างฉันกับเฉินเฉียวตั้งเยอะ ฉันคิดว่าแบบนี้คุณล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของฉัน”
โชคดีที่คำถามของฉยงฉยงไม่ได้โดยซังหลินจวิน ไม่อย่างนั้นเขาก็จะกลายเป็นเหยื่อ
ทุกครั้งที่เฉินเฉียวตอบเจียงอี้ฝาน เขาก็ดูอยู่ข้างๆด้วย
เขาถือว่ารู้ทุกเรื่อง
เจียงอี้ฝานรู้อยู่แล้วว่าทำแบบนี้มันไม่ดี เขาสับสนอยู่พักหนึ่งพอได้สติข้อความก็ถูกส่งออกไปแล้ว
“ถึงแม้คุณจะเถียงข้างๆ คูๆเพื่อตัวเองแบบนี้ฉันก็จะไม่ให้อภัยคุณ”เจียงฉยงฉยงรู้สึกว่าเธอต้องให้เจียงอี้ฝานเห็นว่าเรื่องนี้มันสำคัญ ไม่อย่างนั้นวันหลังอี้ฝานจะฉวยโอกาสตอนที่เธอไม่ทันระวังทำแบบนี้อีก แบบนั้นมันน่ากลัวจริงๆ
ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าเธอรักเขาเลยกล้าทำเรื่องแบบนี้
เจียงอี้ฝานไม่รู้ว่าในใจเจียงฉยงฉยงคิดอะไรอยู่ เขาได้แต่รู้สึกผิดในใจเขาไม่เคยคิดว่าเจียงฉยงฉยงจะโกรธขนาดนี้
หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว รู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดมากเกินไป
ฉยงฉยงไม่ใช่คนที่อ่อนแอเหมือนตอนแรกที่ต้องมีคนดูแลอีกต่อไป
ตอนนี้เธอแข็งแกร่งมากและเธอก็มีความคิดของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาควรจะมีความสุขถึงจะถูก
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกเศร้าแต่ก็ยังฝืนพูด: “โอเค ฉยงฉยงคุณมาเฝ้าดูผมได้เลย หลังจากนี้ผมจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก ผมสาบาน”
เหลือเพียงเจียงอี้ฟานที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ในห้องสีชมพูบนเตียงนุ่มๆในขณะนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่มีอาการบวมบนใบหน้าของเธอตื่นขึ้นอย่างเวียนหัว
เหมิงเหมิงลืมตาไม่ขึ้นเธอใช้มือขยี้ตาด้วยความงุนงง หลังจะฟื้นเธอก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน
ผ่านไปสักครู่ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอถูกลักพาตัวไปจากข้างทางของโรงเรียน
เธอพึมพำว่าการรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนไม่ดีทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู
“ฟื้นแล้วเหรอ”เสียงที่คุ้นเคยเข้ามาในหูของเหมิงเหมิงที่กำลังโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม
แม้ว่าเหมิงเหมิงยังเด็กแต่เธอก็จดจำผู้คนได้
ดังนั้นเธอฟังออกได้อย่างรวดเร็วว่าเสียงข้างนอกเป็นคุณลุงในวันนั้น
ในใจรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
ถ้าคราวที่แล้วเธอไม่ได้ขึ้นรถของลุงคนนั้น ตอนนี้เธอก็คงไม่โดนจับมาหรอก
เมื่อนึกถึงละครทีวีที่ฆ่าเด็กและแอบโยนทิ้งไป ดวงตาที่หวาดกลัวของเหมิงเหมิงมีน้ำตาล่วงลงมา
คนข้างนอกกำลังคุยกันอยู่และคราวนี้เป็นเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ยังเลยค่ะหัวหน้าอยากให้ฉันโทรหาเธอไหม”
เสียงที่หยาบกระด้างราวกับเสียงรถไฟที่ส่งเสียงดังกึกก้องและมันดังจนน่าสะพรึงกลัว
เหมิงเหมิงถึงกับหลับตาด้วยความตกใจ
ผ่านไปซักระยะไม่ได้ยินเสียงอะไรมาจากนอกประตู เหมิงเหมิงคิดว่าคนพวกนั้นหายไปแล้วและร่างสีดำก็เข้ามาจับเธอไว้
“ดูเหมือนยังไม่หลับนะ เด็กน้อย”ปู้อี้เฉินสวมหน้ากากสีเขียวที่มีเขี้ยวดูแล้วน่ากลัว
ปกติดูแล้วเป็นคนกล้าหาญแต่ในความเป็นจริงแล้วเหมิงเหมิงสะพรึงกลัวจนตัวสั่น
ร้องไห้เรียกหาแม่
ปู้อี้เฉินตบไปทีหนึ่ง: “ยังจะร้องอีก”
เห็นได้ชัดว่าตีบนผ้าห่มแต่ดวงตาของเหมิงเหมิงแดงและบวมเหมือนตีโดนเธอ ดวงตาของเธอเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆแต่เธอก็ยังจำได้ว่าต้องเชื่อฟัง
ส่ายหัวอย่างซื่อๆพลางพูด”ไม่ร้องแล้ว”
แต่มีเสียงสะอื้นทำยังไงก็หยุดไม่ได้
ปู้อี้เฉินเป็นคนไม่ชอบเด็ก ก็เหมือนกับเด็กที่ไม่มีชะตากรรมร่วมกับเขาในตอนแรก
แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน่ารักๆที่อยู่ข้างหน้าเขากำลังร้องไห้อยู่ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ฝังอยู่ในใจเขามาเนิ่นนาน
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อสามปีก่อน ถึงแม้เขาเกือบจะสูญเสียทุกอย่าง แต่เขาก็คิดเสมอว่าเขาลุกขึ้นได้
เพียงแค่มีคนที่สามารถให้โอกาสเขาได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอให้ผู้หญิงของเขาไปขอความช่วยเหลือ
“เป็นยังไงบ้าง ครอบครัวคุณตกลงที่จะลงทุนหรือไม่”ปู้อี้เฉินถามด้วยความดีใจอย่างมีความหวังเมื่อมองไปที่โหยวจิ้งหลีที่เพิ่งกลับบ้านตอนดึก
เธอวางกระเป๋าในมือลงหลังจากดื่มน้ำเสร็จ แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่จริงๆในใจก็รู้สึกเศร้าเธอพูดว่า: “แม่ของฉันบอกว่าขอคิดดูก่อน ยังไงซะก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ”
“เด็กเป็นอย่างไรบ้าง? คุณเติมนมผงให้เธอหรือยัง”โหยวจิ้งหลีจำเด็กคนนี้ได้เสมอ และสิ่งแรกที่หลังจากดื่มน้ำคือถามถึงเด็กคนนั้น
วันนี้เธอยุ่งกับการไปยืมเงินเพื่อนมาหมุนเงินบริษัท เธอจะมีเวลาเลี้ยงลูกได้ยังไง
เมื่อรู้ว่าโหยวจิ้งหลีไม่ได้เงินมาลงทุน เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “ผมไม่รู้คุณไปถามพี่เลี้ยงเด็กดู”
ร่องรอยของความไม่พอใจแวบเข้ามาในดวงตาของโหยวจิ้งหลีแต่เธอก็รีบปกปิดมันไว้และเดินไปที่ห้องนอนของเด็กน้อย
เธอจะสนใจเขาหรือไม่ปู้อี้เฉินไม่ได้ใส่ใจนัก