เฉียวฟู่ซานหรี่ตาลงด้วยรอยยิ้ม “โอเค คุณซังขอเบอร์ติดต่อด้วยครับ”
ทันทีที่ทั้งสองออกไปหวู่ลี่ลี่คว้าตัวซังอี๋ไว้ “เธอไปตอบตกลงได้อย่างไร? ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันจะหาวิธีอื่นให้ เขาจะ….”
“ขอบคุณนะคะ ฉันดูแลตัวเองได้” ดูเหมือนจะซ่อนดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดในดวงตาของเธอและความมั่นใจในคำพูดของเธอทำให้หวู่ลี่ลี่รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัว
“งั้นก็ได้ เธอเมมเบอร์ฉันไว้แล้วกันนะ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็โทรหาฉันได้”
“โอเค”
ช่วงบ่ายผ่านไปโดยไม่รู้ตัวและเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือขัดจังหวะงานของซังอี๋
“ฮัลโหล เดาสิว่าผมเป็นใคร”ชู่จี้นั่งสบายๆบนโซฟาถือแก้วในมือที่ค่อยๆแกว่งไวน์แดงในแก้ว
หัวใจของซังอี๋บีบแน่นและคำตอบก็อยู่ในใจของเธอแล้ว “มีอะไรเหรอ?”
ซู่จี้ยิ้มเบาๆ เสียงนั้นเหมือนขนนกที่พาดผ่านหัวใจ“ผ่านไปแปปเดียวก็ลืมกันแล้วเหรอ?”
ดูเหมือนว่าประโยคนี้มีความหมายแฝงทำให้เกิดภาพลวงตาเหมือนคนคนนั้นอยู่ใกล้ๆมองมาที่เธอและยิ้มให้
ซังอี๋เม้มปากและไม่พูดอะไรเพียงรอบทสนทนาต่อไป
“เดี๋ยวผมจะมีงานเลี้ยงคุณว่างไหม”
“ไม่” เธอพึมพำ “ฉันต้องไปพบคนคนหนึ่ง”ถึงแม้เธอจะไม่ไปพบประธานเฉียว เธอก็จะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงกับผู้ชาย
เงียบไปครู่หนึ่งจู่ๆก็มีเสียงหัวเราะ “งั้นผมพาคุณไปเอาไหม”
ซังอี๋ต้องการปฏิเสธแต่จริงๆแล้วมันไม่ปลอดภัยที่จะไปคนเดียวดังนั้นเธอจึงตอบตกลงที่จะให้เขาเป็นบอดี้การ์ดให้เธอแบบฟรีๆ! ยิ่งกว่านั้นผู้ชายคนนี้ก็ยังเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา
ในความมืดมิดรถบูกัตติเวย์รอนที่ดูหรูหราจอดอยู่ที่ทางเข้าโรงแรมซังรุ้ย
ใช่แล้ว ซังรุ่ยเป็นเพียงโรงแรมเล็กๆในบริษัทมากมายของซังหลินจวินว่ากันว่าเป็นโรงแรมขนาดเล็กแต่ก็เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่หรูหราด้วยเหตุนี้ ซังอี๋จึงไม่กลัวเฒ่าหัวงูอย่างเฉียวฟู่ซาน พ่อของเธอเป็นเจ้าของที่นี้และแม้ว่าโรงแรมระดับไฮเอนด์เกือบทั้งเมืองจะไม่ใช่ของพ่อเธอ แต่พ่อเธอก็มีหุ้นส่วนอยู่ในนั้น
สุภาพบุรุษชู่จี้เปิดประตูรถให้ซังอี๋”ผมพาคุณเข้าไปไหม”
ซังอี๋ส่ายหัว “เดี๋ยวฉันก็ออกมาแล้ว”
เฉียวฟู่ซานรออยู่ในห้องส่วนตัวด้วยอาการคัน เขาอดไม่ได้ที่จะดื่มน้ำจู่ๆประตูห้องก็เปิดออกเป็นซังอี๋
สวยจังเลย
ดวงตาของเฉียวฟู่ซานจ้องตรงๆ น้ำไหลเกือบจะไหลลงพื้นแล้ว
“ประธานเฉียวฉันเอาของที่คุณอยากได้เอามาให้แล้ว คุณลองดูสิ”ประโยคนี้สุภาพและไม่หยิ่งผยอง
เมื่อฉันได้ยินประโยคนี้เขาก็รู้ว่าเธอจะไปแล้ว เขาจะปล่อยให้เธอจากไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร เขามองดูใบหน้าเล็กๆที่ขาวและอ่อนโยนของซังอี๋แล้วพูดด้วยรอยยิ้มกว้างว่า “คุณซังจริงๆแล้วผมอยากพบคุณ มีเรื่องอื่นอีกด้วย ”
“คุณพูดมาเถอะ”ซังอี๋รู้สึกคลื่นไส้มากและกลิ่นแปลกๆจากห้องทำให้เธอมึนหัว
หลังจากประสบกับเหตุการณ์เมื่อวาน ซังยี๋ไม่ใชคนโง่มันน่าจะเป็นกลิ่นสมุนไพรที่ทำให้คนสลบเธอต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เฉียวฟู่ซานเห็นท่าทีของเธอ ซังอี๋ไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงและอ่อนไปทั้งตัวและจู่ๆก็เซไปสู่อ้อมแขนของเขา กลิ่นบนตัวเขาน่าขยะแขยงและเขาไม่ได้หอมเท่าผู้ชายคนนั้นบนตัวมีกลิ่นบุหรี่จางๆ
ซังอี๋โกรธมากและตบหน้าเฉียวฟู่ซานด้วยกำลังทั้งหมดของเธอ“คุณมันน่าขยะแขยงจริงๆ” กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ยังคงอยู่ที่ปลายจมูกของเธอเกือบจะทำให้ซังอี๋หมดสติ
เฉียวฟู่ซานตกตะลึงครู่หนึ่งจับแก้มที่โดนตบของเขาและจู่ ๆก็พยายามจะคว้าผมของซังอี๋ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดอย่างแรงเฉียวฟู่ซานเงยหน้าขึ้นและดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ชายคนนั้นราวกับว่าเห็นผี
เขาถอยหลังหนึ่งก้าว “ชู่…ท่านประธานชู่…”
ชู่จี้กวาดสายตามองเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่ล้มลงกับพื้น เขาก้มลงกอดเธอเบา ๆ ไว้ในอ้อมแขน “ทำไมหน้าเธอซีดจัง”
ซังอี่กอดชายผู้นี้ไว้แน่นและพิงเขาโดยไม่รู้ตัว “อาจเป็นแบบวันนั้นก็ได้”
“เกิดอะไรขึ้น?”เขาถามประโยคนี้กับเฉียวฟู่ซาน
เฉียวฟู่ซานไม่รู้ว่าจู่ๆเจ้านายใหญ่ของเขาจะมาได้ยังไงปกติเห็นหน้าเขาแวบๆก็หายไปแล้วบางครั้งก็ถ่ายละครทีวีหรืออะไรทำนองนั้น
ที่สำคัญคือชู่จี้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความเย็นชาสุดขีด ทำสิ่งที่ไร้ความปราณี
เปลี่ยนไปปกป้องผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่?
เฉียวฟู่ซานตัวสั่นด้วยความกลัวและเหงื่อก็ไหลลงมาในทันใด “ผมไม่รู้…ที่จริงอยากจะคุยกับคุณซังเรื่องความร่วมมื่อ ใครจะรู้ว่าจู่ๆเธอก็…”
ดวงตาที่เยือกเย็นของชู่จี้มองไปที่เฉียวฟู่ซานและเขากลัวมากจนไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
“จริงเหรอ?”พูดจบก็เหมือนกับว่าเฉียวฟู่ซานกำลังแบกของหนักๆไว้บนหลัง
หยาดเหงื่อไหลเร็วขึ้นและเสียงเบาเหมือนยุง “จริงครับ…”
“อื้อ พรุ่งนี้ไปเก็บของแล้วออกไปจากบริษัทซะ”เขาไม่ได้โกรธง่ายๆแต่เมื่อเขาโกรธผลที่ตามมาของอีกฝ่ายจะต้องร้ายแรง
เมื่อเขาเห็นซังอี๋ที่เปราะบางอยู่บนพื้นหัวใจของเขาก็เจ็บเขาไม่โกรธได้ยังไง!
เฉียวฟู่ซานตื่นตระหนก “ท่านประธาน ผม…ผมไม่รู้จริงๆ คุณให้โอกาสผมอีกซักครั้งเถอะนะ ครั้งหน้า…”
ชู่จี้ขัดเขาอย่างเย็นชา “ไม่มีคราวหน้า ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เฉียวฟู่ซานนิ่งเงียบโดยรู้ว่านี่เป็นจุดจบของเขา
ในตำแหน่งที่ชู่จี้มองไม่เห็น ดวงตาของเขาดูชั่วร้ายอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่ซังอี๋ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
ชู่จี้ก้าวเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เขาอุ้มซังอี๋ขึ้นรถพร้อมรัดเข็มขัดให้ “ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย”ท่าทางแบบนี้ไม่ต้องสงสัย
ซังอี๋ยังคงเวียนหัวและตอนนี้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายมันต้องเป็นปัญหาเดิมของเธออีกแล้ว แม่พาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายหลายครั้งก่อน แต่เธอไม่พบอะไรเลยและเธอทำได้เพียงใส่ใจกับการกินอาหารของเธอ
กลิ่นหอมบนร่างของชู่จี้บรรเทาความรู้สึกอาเจียนของเธอในขณะนี้ “ขอบคุณนะ เขาถูกฉันตบหน้าไปแล้ว”
ความหมายก็คือเธอไม่ได้ถูกรังแกอะไร
ชู่จี้บีบจมูกเล็กๆของเธอ “แล้วคุณคิดว่าถ้าผมเข้าไปไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น?”
ซังอี๋ตกใจและรู้สึกขอบคุณชายที่อยู่ตรงหน้าเธอที่ได้ช่วยตัวเองให้รอด
ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “คุณเป็นประธานบริษัทฮวาเจิ้งหรือเปล่า?”
ชู่จี้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธเพียงแต่เปิดเพลงในรถ เสียงเพลงดังเบาๆในรถ