“ อืม แล้วยังไงละ ?” ซังหลินจวินตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ ราวกับว่าไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการอธิบายของเธอ
“ เดี๋ยวฉันก็จะไปแล้ว ” เฉินเฉียวตอบกลับไป
ซังหลินจวินจ้องมองไปที่เธอ ซึ่งแววตานั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน มันเลยทำให้เฉินเฉียวไม่เข้าใจ
เธอไม่ตอบสนองอะไร แล้วเธอก็หานม เพื่อที่จะชงใส่แก้วให้เด็กดื่ม
ซํงหลินจวินพิงไปที่ตู้แล้วก็ตั้งใจมองเธอ ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบเค้ก แล้วก็กัดเข้าไปหนึ่งคำ
พอเฉินเฉียวเห็น ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เตือนว่า : “ เค้กชิ้นนี้คือที่ตกลงลนพื้นเมื่อกี้ ”
ซังหลินจวินวางเค้กชิ้นนั้นลง จากนั้นเฉินเฉียวก็หยิบเค้กชิ้นที่สะอาดให้เขา “ ยังจะชิมไหม ?”
เขาไม่พูดอะไรแล้วก็รับมันมา
เฉินเฉียวพูดกับเขาว่า : “ โย่วอีบอกว่า ปกติแล้วคุณไม่กินของหวาน เค้กที่ทำนี่ก็เป็นของหวานนะ ”
“ มันก็ถือว่าเป็นของหวานที่รับได้ ” ซังหลินจวินกัดเพิ่มอีกหนึ่งคำ ปกติแล้วเขาไม่กินของหวานอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณผู้หญิงหรือว่าป้ามั่วทำ เขาก็ไม่กิน
วันนี้เห็นว่าเธอเข้าครัวแล้วยุ่งๆ ก็เลยอยากมาลองชิมดู
ความจริงแล้วมันหวานมาก แต่มันก็ถือว่าดีกว่าที่ตัวเองคิด
“ ฉันจะเอาเค้กกับนมขึ้นไปให้โย่วอี ” เฉินเฉียวกับซังหลินจวินเดินขึ้นบันไดไป
ด้านบน
เจ้าเด็กน้อยยังหลับอยู่ เฉินเฉียวก็เลยวางเค้กกับนมไว้บนหัวเตียง
แล้วก็ลงมาข้างล่างบอกกับป้ามั่วว่า “ ถ้าเกิดว่าตื่นแล้ว ก็ให้เขาดื่มนมก่อนนะ แต่ถ้าเกิดว่าไม่ตื่น เค้กก็เก็บไว้ให้เขากินเป็นอาหารเช้าละกัน ”
ป้ามั่วถาม : “ คุณเฉินคะ คืนนี้ไม่นอนนี้หรอคะ ? ถ้าเกิดว่าคุณหนูตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคุณ จะต้องร้องไห้และอาละวาดแน่ๆ ”
เฉินเฉียวมองไปที่ซังหลินจวินโดยไม่รู้ตัว ซังหลินจวินนั่งอยู่ในห้องโถง ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อให้เธออยู่
แม้ว่า เขาจะบอกให้เธออยู่ ยังไงเฉินฉียวก็ไม่ยอมอยู่ดี
เธอก็เลยเอาเบอร์โทรศัพท์ให้กับป้ามั่ว “ ถ้าเกิดว่าพรุ่งนี้โย่วอีร้องไห้แล้วอาละวาดขึ้นมา คุณก็โทรฉันได้เลย ฉันจะปลอมเขาทางโทรศัพท์เอง ”
“ แบบนั้นก็ได้ ” ป้ามั่วตอบ
ถ้าคุณไม่พูด เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้
ขณะที่เฉินเฉียวเดินออกจิ้งหย่วน ซังหลินจวินก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องโถงแล้ว เฉินเฉียวก็ไม่ได้ทักทายหรือบอกลาเขา ก็แค่ถือกระเป๋าแล้วก็เดินออกมา แล้วเหล่าฟู่ก็รออยู่แล้วด้วย
“ ดึกขนาดนี้แล้ว ต้องขอรบกวนด้วยนะคะ ” เฉินเฉียวทักทายกับเหล่าฟู่ แล้วจากนั้นก็ขึ้นรถ
เหล่าฟู่บอกว่า : “ ต้องขอบคุณคุณเฉิน พอคุณมาคุณหนูก็ดีขึ้นมาบ้าง แล้วพวกเราก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาด้วย ”
เฉินเฉียวหวังว่าอาการของเขาจะดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ อย่างน้อยก็ขอให้ไข้ลด ถ้าไข้ยังสูงแบบนี้จะยิ่งทรมาน แล้วมันก็จะทำให้คนเราผอมยิ่งกว่าเดิม
วันต่อมา
เฉินเฉียวที่เพิ่งเดินออกมาจากบริษัท ก็เห็นมีรถจอดอยู่หน้าบริษัท
คราวนี้ ไม่ใช่รถไมบัคที่มาจอดเมื่อวาน แต่เป็นรถเบนท์ลีย์ที่เธอเคยเห็น
ทันทีที่เธอเดินออกมา เบาะหลังของรถก็เปิดกระจกรถลง ใบหน้าของซังหลินจวินก็ปรากฏอยู่ในแววตาของเธอ “ ขึ้นรถ ”
ความจริงแล้ว เฉินเฉียวไม่อยากที่จะขึ้นรถของเขาเลย แต่ว่า นี้อยู่หน้าบริษัท ไม่ว่าจะเป็นทั้งรถและคนของเขามันก็ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
พนักงานที่เดิยออกมาจากบริษัท ต่างก็มองมาที่พวกเขา ถ้าเธอไม่ขึ้นรถละก็ พอออกไปจากที่นี้ พวกเขาทั้งสองคนก็จะตกเป็นจุดสนใจ
เฉินเฉียวขึ้นรถของซังหลินจวิน เขาพูดกับอวี้เฟยแค่ว่า ‘ ออกรถ ’ จากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีก
เฉินเฉียวอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาหันไปมอง ก็เห็นว่าเขากำลังเอนหลังลงเบาะและหลับตาอยู่ ราวกับว่าเขารู้สึกเหนื่อยมาก
อวี้เฟยดูเหมือนจะรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ก็เลยพูดด้วยน้ำเสียงที่กระซิบว่า : “ ช่วงนี้อาการของคุณหนูไม่ดีขึ้นเลย คุณท่านก็นอนไม่ค่อยจะหลับ เมื่อคืนก็รอให้คุณหนูหลับก่อน แล้วค่อยออกไปทำธุระ ตอนเช้าก็รีบกลับมา จนถึงตอนนี้ 20 กว่าชั่วโมงแล้วที่ยังไม่ได้หลับ ”
เฉินฉียวก็ยังเงียบ
เหลือบมองไปที่เขาเป็นครั้งคราว เขายังคงหลับตา แล้วท่าทางของเขาที่นอนอยู่นั้น ก็ยังคงความเป็นวีรบุรุษ
————
ปู้อี้เฉินกับโหยวจิ้งหลีก็เพิ่งจะลงมาจากข้างบน แล้วก็เดินไปชั้นใต้ดินของบริษัท
พอออกมาจากลิฟต์ ก็ได้ยินมีคนกำลังคุยกันอยู่ตรงหน้า “ เมื่อกี้เห็นใช่ไหม ? ประธานเฉินของเราขึ้นรถเบนท์ลีย์ออกไป ”
“ รถเบนท์ลีย์ถือว่าสำคัญหรอ ? ที่สำคัญก็คือคนที่นั่งอยู่ในรถเบนท์ลีย์ต่างหาก หล่อมาก !”
“ ประธานปู้ก็ดูดีนะ !”
“ แต่ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นดูดีกว่าประธานปู้อีกนะ เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินมาว่า ประธานปู้มีชู้ แต่ก็ดูเหมือนประธานเฉินก็รู้สึกสนุกไปด้วย ตอนนี้วางใจฉันได้เลย ! จริงๆแล้วประธานออกไปกับผู้ชาย เธอคิดว่าพวกเขาทั้งสองคนจะมีความสุขนาดไหน คงจะมีความสุขทั้งในบ้านและนอกบ้าน ”
“ มีความสุขอะไรกัน ? รอดูดีกว่า ธงแดงนี้กำลังจะตกในไม่ช้าก็เร็ว ไม่เห็นหรอที่ประธานเฉินแสดงท่าทางบางกับประธานปู้อ่ะ ?”
คนกลุ่มหนึ่ง ก็คุณพูดอย่างตัวเองพูดอย่าง พอปู้อี้เฉินได้ยินที่พวกเขาพูดก็รู้สึกเสียดหูมากๆ
เขายืนนิ่ง แล้วก็ทำสีหน้าเย็นชา
เฉินเฉียวมีผู้ชายคนอื่นงั้นหรอ ? แล้วก็ ยังเลี้ยงผู้ชายไว้อีกหรอ ?
เมื่อก่อน เธอนั้นมีแต่งานแล้วก็งาน ใช้ชีวิตถึงสองทุ่มทุกวัน นอกจากงานแล้วก็ไม่เคยเห็นว่าเธอจะไปยุ่งกับผู้ชายคนไหน แต่ว่า เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้หญิงที่ขี้เบื่อ ผู้หญิงที่ไม่ต้องการผู้ชายแต่ตอนนี้เริ่มเลี้ยงผู้ชายงั้นหรอ ?
ครั้งก่อนก็เห็นรอยจูบบนตัวเธอ ปู้อี้เฉินก็คิดว่าเธอก็คงเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดเลยว่า จะนานขนาดนี้ แล้วเธอก็ยังไม่เลิกติดต่อกับผู้ชายคนนั้น
เมื่อไม่นานนี้ฉันลองทบทวนตัวเองดู แล้วก็คิดเรื่องที่หย่า หรือจะเป็นเพราะไอ้ผู้ชายที่เธอเลี้ยงไว้งั้นหรอ ?
ปู้อี้เฉินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจก็คือกำลังถูกทรยศ
ตอนนี้เขาอยากจับเธอมาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ถามเธอตรงๆไปเลย
โหยวจิ้งหลีเห็นว่าขยับไม่เลย ก็เลยใช้มือบีบไปที่แขนเขาเพื่อให้รู้สึกตัว “ อี้เฉิน ทำไมจู่ๆถึงเหม่อลอยแบบนี้ละ ? คงไม่ใช่ว่าคุณกำลังคิดเรื่องที่เฉินเฉียวเลี้ยงผู้ชายไว้ข้างนอกใช่ไหม ?”
ปู้อี้เฉินกลับมามีสติ ใบหน้าของเขาก็เริ่มตึง และดูเย็นชา
ชำเลืองไปมองจิ้งหลี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ
————
เฉินเฉียวนั่งนิ่งๆอยู่ในรถ ผู้ชายที่นั่งข้างๆก็หลับไปแล้ว
จู่ๆโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นอย่างกระทันหัน
เสียงเรียกเข้าดังมาก
เฉินเฉียวรีบมองไปด้านข้าง เห็นว่าผู้ชายคนนั้นมีคิ้วย่นลงเล็กน้อย เพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์
แล้วเธอก็รีบกดปิดเสียงทันที จากนั้นก็ดูที่หน้าจอโทรศัพท์ว่าเป็นชื่อของ ปู้อี้เฉิน
เธอไม่คิดอะไร แล้วก็กดวางสายไปทันที
ฝั่งนู้น ปู้อี้เฉินที่ได้ยินเสียงวางเสียงไป ก็เริ่มหงุดหงิด จากนั้นก็กดโทรอีกครั้ง เมื่อโหยวจิ้งหลีเห็น เธอก็รู้สึกโกรธ แล้วก็รีบเข้ามาคว้าโทรศัพท์ของเขาออก แล้วก็มองไปที่เขา ดวงตาทั้งสองข้างก็เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาทันที
“ อี้เฉิน คุณชอบเฉินเฉียวแล้วใช่ไหม ?”
ปู้อี้เฉินรู้สึกรำคาญแล้วก็ขับรถเข้าจอดข้างทาง “ คืนโทรศัพท์ของฉันมา ”
“ ฉันไม่คืน ! คุณตอบฉันมานะ คุณชอบเธอแล้วใช่ไหม ?”
พอฟังคำถามของโหยวจิ้งหลี สายตาของปู้อีเฉินก็ดูมืดมน โหยวจิ้งหลีเห็นว่าเขาไม่ตอบ น้ำตาก็ร่วงราวกับด้ายที่ขาด แล้วก็ร้องไห้ออกมา “ อย่าบอกนะว่าคุณลืมไปแล้วหรอว่าเมื่อปีก่อนลูกของพวกเราตายไปเพราะอะไรอ่ะ ? ถ้าคุณรักเธอขึ้นมา คุณจะรู้สึกยังไงกับลูกของเรา ?”