ซังหลินจวินเงยหน้าขึ้นมาทักทายกับเธอ : “อรุณสวัสดิ์ ”
เมื่อเฉินเฉียวเผชิญหน้ากับเขาก็รู้สึกอาย เธอพยายามหลบสายตา แล้วก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่โทนต่ำ
เธอมองหาที่นั่งที่นั่งห่างจากเขา แล้วก็เหมือนว่าจะพูดอะไร “ โย่วอีละ ? ทำไมไม่เห็นเขาเลย ?”
“ เหล่าฟู่พาเขาไปหาหมอเฉิน ” เขาตอบกลับมา
“ อยู่บ้านมาตั้งนานน่าจะเบื่อ ออกไปสูญอากาศข้างนอกบ้างก็ดี ” เฉินเฉียวพยักหน้า แล้วก็ถามอีกว่า : “ อาการเขาเป็นยังไงบ้าง ? ดีขึ้นบ้างไหม ?”
ซังหลินจวินมองกระดาษหนังสือ แล้วก็ตอบแบบไม่ค่อยใส่ใจ : “ ก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว ”
เฉินเฉียวรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ถ้าเป็นแบบนี้ตัวเธอเองก็จะได้ไม่ต้องมาที่นี้อีก
เธอก้มหน้าก้มตากินข้าว ที่จริงเธอกะว่าจะอธิบายเรื่องของเมื่อคืน แต่ว่าพอเงยหน้าขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเขาก็ไม่ได้สนใจหรือว่าอยากที่จะคุยด้วย แล้วก็ไม่ได้สนใจที่จะอธิบายเรื่องของตัวเองเมื่อคืนด้วย เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกไป
แล้วอีกอย่างก็ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องที่ไม่สบายใจให้กับตัวเองอีกด้วย
กินข้าวไปได้ครึ่งจาน อวี้เฟยก็มาถึง ซังหลินจวินก็วางหนังสือพิมพ์แล้วก็กินข้าว
เฉินเฉียวเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องอาหาร เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ค่อยๆกินข้าวต่อ
ออกมาจากห้องอาหารก็ 10 นาทีแล้ว เดิมที่คิดว่าซังหลินจวินออกไปบริษัทตั้งแต่เช้า แต่ว่าพอถือกระเป๋าออกมา ก็ยังเห็นว่ายังมีรถจอดอยู่ที่ประตูของจิ้งหย่วน
ประตูเบาะด้านหลังเปิดออก แวบแรกก็จะเห็นมีคนนั่งอยู่ข้างในได้อย่างรวดเร็ว
ขาที่เรียวยาวของซังหลินจวินก็นั่งไขว่ห้างและพิงตัวนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
อวี้เฟยยังไม่ได้พูดอะไร อวี้เฟยก็เป็นคนที่เอ่ยปากพูดก่อนว่า : “ คุณเฉิน ขึ้นรถครับ ”
“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปบริษัทเอง ” เฉินเฉียวปฏิเสธโดยที่ไม่รู้ตัว
“ ขึ้นมา ” ครั้งนี้ เป็นซังหลินจวินที่เชิญเธอ เขาเงยหน้าขึ้นจากสมุดบันทึก แล้วก็มองเธอจากไกลๆ “ อย่าทำเป็นถ่วงเวลาไปๆมาๆเลย ”
เฉินเฉียวรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วดูเหมือนว่าเธอดัดจริต
อย่างนี้จะปฏิเสธผู้ชายดีๆแบบครั้งแล้วครั้งเล่า แค่นี้คงไม่ดัดจริตหรอกใช่ไหม? ถ้าตอนนี้เธอยังไม่ได้แต่งงานละก็กลัวว่าจะไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่หลงเสน่ห์ของเขา
คิดอยู่ในใจ แต่เธอก็ก้มตัวแล้วขึ้นรถ เพราะยังไงก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นั่งรถของเขา
ตลอดทั้งทาง ซังหลินจวินไม่ได้พูดอะไรเลย มัวแต่ยุ่งกับงาน
ระยะทางก่อนถึงบริษัท 500 เมตร เฉินเฉียวถามอวี้เฟยว่า : “ คุณอวี้ จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ ”
อวี้เฟยไม่ได้ตอบอะไร เขามองอีกฝ่ายผ่านกระจกหลัง
ซังหลินจวินปิดคอมลงแล้วก็พูดว่า “ ขับไปข้างหน้าอีกหน่อย ”
“ ไม่ต้อง ” เฉินเฉียวหันไปมองเขา “ เธอไม่ใช่ว่าจะให้ฉันปกป้องเธอหรอ ? ขับไปข้างหน้าอีก ดูเหมือนว่าฉันจะปกป้องไม่ได้แล้วสิ ”
ซังหลินจวินใช้มือข้างเดียวจีบไปที่คางของเธอ และมีเวลาพอที่เขาจะจ้องเธอ “ เธอต้องการให้ฉันปกป้องเธอจริงๆหรือป่าว หรือว่าแค่อยากให้ฉันเป็นคนที่ไร้ยางอาย ?”
เอ่อ……
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มักง่ายขนาดนี้ ?
เฉินเฉียวไอเพื่อกลบเกลื่อสิ่งที่อยู่ในใจ “ ประธานซัง คุณเป็นผู้นำแสงสว่าง ฉันแต่งงานแล้ว ไม่ว่าจะ สามี พี่สะใภ้ และพ่อตาของฉันพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่บริษัท แล้วถ้าเกิดว่าฉันพาคุณไปถึงหน้าบริษัท มันจะทำให้คุณเดือดร้อนไม่ใช่หรอ ?”
ไม่รู้ว่าเธอตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เธอก็แสดงชัดเจนว่าเธอแต่งงานแล้ว
ไม่ใช่ว่าซังหลินจวินไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เขาพยักหน้า “ มันก็เดือดร้อนนะ ”
เฉินเฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วก็อยากให้อวี้เฟยจอดรถ แต่จู่ๆก็ได้ยินเขาพูดขึ้นมาว่า : “ แต่ฉันไม่ใช่คนที่กลัวว่าจะเดือดร้อน ”
“……”คุณไม่กลัว แต่ฉันกลัวไง !
เฉินเฉียวกำลังจะเอ่ยปากพูด ในที่สุดผู้ชายที่อยู่ข้างเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ เดี๋ยวจอดตรงไฟแดงข้างหน้านี้ ”
ผู้ชายคนนี้ เดาทางไม่ออกจริงๆ
แต่ยังไงก็ต้องมีทางมาให้เธอกวนใจ และอยู่อย่างไม่สงบ
โชคดีที่จอดรถห่างประมาน 3-4 ร้อยเมตร เฉินเฉียวก็ไม่ไดพูดอะไรอีก กำลังเปิดประตูเพื่อที่จะลงจากรถ แต่ว่า พอจะหันหลังกลับไป ก็ได้ยินเสียงของผู้ชายจากด้านหลังของเธอ “ เฉินเฉียว ”
น้ำเสียงของชายคนนั้นไพเราะมาก แล้วก็ชื่อของเขาเองก็ถูกเรียกโดยน้ำเสียงแบบนั้น และมันช่างคมชัดเป็นพิเศษ
เธอมองไปรอบๆและมองเขาด้วยความสงสัย
“ ครั้งนี้อาการของโย่วอีดีขึ้นมาก เธอนี้เป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ฉันจะต้องขอบคุณเธอยังไง ?”
ขอบคุณ ?
เฉินเฉียวคิดไปคิดมา “ ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก โย่วอีน่ารัก พอเห็นเขาไม่สบายใจ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจ อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไร แต่ว่า ประธานซัง พอพูดถึงเด็ก ฉันมีอะไรที่น่าสนใจจะแนะนำ ”
“ เธอพูดสิ ” ซังหลินจวินรับฟังอย่างตั้งใจ
“ ได้ยินมาว่า คุณกำลังตามหาแม่ของเด็กอยู่ ” เฉินเฉียวอ้างปากค้าง
เธอรู้ว่าคำพูดของตัวเองนั้นกระทบต่อชีวิตของเขา รู้ว่ามันไม่เหมาะสม แต่ว่าเพื่อผลประโยคของซังโย่วอี
ซังหลินจวินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ด้วยแววตาที่ลึกล้ำ “ ไปฟังใครพูดว่า ?”
ในแววตาของเขาดูซับซ้อนมาก จนเฉินเฉียวไม่อาจจะเข้าใจได้ ตอบไปแค่ว่า : “ ใครพูดก็ไม่สำคัญหรอก ”
“ ทำไมคุณถึงคิดว่ามันสำคัญ ?”
“ โย่วอีเป็นเด็กที่อ่อนไหวแล้วก็เป็นเด็กที่ขาดความรัก ตามเงื่อนไขของประธานซังแล้ว ฉันเชื่อว่าจะคุณจะหาแม่ที่ดีให้เขาได้ ”
ริมฝีปากบางเป็นกระจับ และเขายังเงียบอยู่สักพัก
แม้ว่าเขาจะไม่พูด แต่เฉินเฉียวก็รู้สึกได้ว่าเขาก็คงโกรธ
ตัวเองรู้สึกว่าเสียความรู้สึกเล็กน้อย ที่ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ว่าจะทำยังไงได้ละ หนึ่งก็เพื่อเด็ก ; สองก็เพื่อตัวเอง
การที่โย่วอีจำเธอได้กับที่เขาชอบอยู่กับเธอมันก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมา แต่ว่า ถ้ามีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สอง นี่เป็นเหตุผลของเธอที่บอกว่าไม่สามารถไปที่จิ้งหย่วนได้ทุกครั้งเพื่อที่จะไปเกลี้ยงกล่อมเขาแล้วก็ไปนอนด้วย
“ งั้นฉันลงไปละนะ ” เธอรู้ว่าเขานั้นไม่ได้มีกระจิตกระใจที่จะคุยกับเธอแล้ว เฉินเฉียวรีบพูดแล้วจากนั้นก็เปิดประตูแล้วก็ลงจากรถ
ครั้งนี้ ซังหลินจวินก็ไม่ได้รั้งเธอไว้อีก ละก็แทนที่จะจอดรอสักพัก แต่ก็ขับรถออกไปทันที
เฉินเฉียวมองไปที่เงารถที่ขับหายไป ถอนหายใจ แล้วก้รู้สึกถอดใจ จากนั้นก้หันหลังแล้วก็เดินเข้าไปในบริษัท
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เจียงฉยงฉยงโทรเข้ามา “ เกิดเรื่องอะไรขึ้นป่าว ทำไมเมื่อคืนถึงหายไปทั้งคืน !”
“ มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย แล้วเมื่อคืนก็กล่อมคุณหนูด้วย กล่อมไปกล่อมมากเผลอหลับไปด้วย ” เรื่องเธอกับกับซังหลินจวินเธอไม่ได้บอกกับเจียงฉยงฉยง
เจียงฉยงฉยงก็มีความสุขขึ้นมาทันที “ เฉียวเฉียว ประธานซังได้จ่ายเงินเดือนให้เธอป่ะเนี่ย ? นี่เธอกำลังเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้คนอื่นอยู่นะ ! ถ้าเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ตามท้องตลาดตอนนี้ เธอจะได้เงินเดือน เดือนละ 8000 !”
“ เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าจนไปเลยนะ แต่ก็เป็นแค่ครั้งนี้ ตอนนี้เด็กก็ดีขึ้นแล้ว คราวหน้าก็ฉันก็ไม่ต้องไปแล้ว”
เจียงฉยงฉยงเหมือนมีอะไรจะพูด เฉินเฉียวทางนู้นมีคนเรียกเธอ “ คุณเฉิน ”
เฉินเฉียวหันกลับไปมอง แล้วเจียงฉยงฉยงก็พูดว่า : “ คืนนี้เลิกงงานมารับฉันด้วยนะ งั้นฉันวางก่อนนะ ทางนี้มีเรื่องนิดหน่อย ”
เธอวางสายไป แล้วก็เห็นว่าหลูตงซิงกำลังเดินเข้ามา หน้าก็ร้อนลุ่มขึ้นมา “ คุณเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะ !”
แม้ว่าจะไม่สามารถเข้ากับยื่ออังเย้าเย่ได้ แต่ว่าก็ยังมีคำชมที่ติดอยู่บนหน้า เฉินเฉียวหัวเราะ แล้วก็จับมือกับอีกฝ่าย “ ประธานหลู ไม่เจอกันนานเลย มาคุยงานกับคุณโหยวใช่ไหมคะ ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ลู่ตงซิงก็ได้เผยร่องรอยของความอับอายบนใบหน้าของเขา ไม่ได้มีคำตอบแล้วก็พูดว่า : “ ถ้าเกิดว่าดูไม่ผิด เมื่อกี้ประธานซังส่งคุณเฉินมาทำงานหรือป่าว ?”