เฉินเฉียวตอบกลับ
ไม่แปลกใจเลยที่หลูตงซิงจะมีสีหน้าที่อาย
เธอทำแค่หัวเราะและพูดว่า : “ ประธานหลูน่าจะตาลายนะคะ”
ถึงแม้จะพูดไปแบบนี้ แต่ก็ฟังดูแล้วก็เหมือนกับว่ามีอะไรปิดบัง หลูตงซิงคิดว่าเธอไม่อยากเปิดเผยความรักที่หลบๆซ่อนๆนี้ ก็เลยพยักหน้าเหมือนกับว่าหวังดี “ ใช่ คงจะตาลาย ! หรือว่าไม่ได้ตาลายนะ? ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่ได้คุณโหยวมาคอนเฟิร์ม”
พอเฉินเฉียวฟังคำพูดของหลูตงซิงก็รู้สึกอึดอัด
ดูเหมือนว่า น่าจะมาจากโหยวจิ้งหลี และเขาก็ไม่ได้ขออะไร พอนึกถึงตอนที่ตัวเองลงมาจากรถซังหลินจวิน ก็รู้สึกมาเสียใจทีหลัง
ซังหลินจวิน เป็นเหมือนราวกับของแบรด์เนมชั้นดีและราชสกุลของกษัตริย์ในสมัยโบราณ
แต่ว่า พอยิ่งคิดแล้ว ก็ยิ่งทำให้เธอกล้าไม่คิดอีก
เฉินเฉียวกับหลูตงซิงก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก จากนั้นก็หันกลับไปแล้วเดินไปในบริษัท
“ เฉินเฉียว เธอนี้มันไร้ยางอาย !” จู่ๆก็มีเสียงแหลมขึ้นมา
คิ้วสวยๆของเฉินเฉียวก็เริ่มโค้งงอเข้าหากัน
เห็นเริ่นหมิงเซวียนที่ใส่ส้นสูง กำลังเดินเข้ามาด้วยความร้อนรน แล้วก็ตามมาด้วยปู้ฮวานเหยียน
“ แม่ จิ้งหลีพูดถูกแล้ว เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับบ้าน ขนาดนั้นเสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน เมื่อวานที่ใส่ก็คือชุดนี้ ” ปู้ฮวานเหยียนมองไปที่เฉินเฉียวแล้วก็พูด
เริ่นหมิงเซวียนหายแรงขึ้นเพราะโกรธ ยกกระเป๋าขึ้นมา เหมือนกับว่าจะตีไปที่เฉินเฉียว “ เธอกล้าดียังไงเอาเงินบ้านของตระกูลไปเลี้ยงเด็กไว้ ! เธอมันเป็นคนยังไงกันแน่ ! เฉินเฉียว เธอนี้มันไร้ยางอาย !”
เริ่นหมิงเซวียนถือกระเป๋าหนังจระเข้ เฉินเฉียวถึงกับส่ายหัวสักพัก แล้วก็ถึงกับรู้สึกวียนหัว
หลังจากที่เธอได้สติ ก็จับไปที่มือของเธอทั้งข้าง “ เริ่นหมิงเซวียน นี่เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย !”
เธอไม่เคยแสดงออกด้วยความเย็นชาขนาดนี้มาก่อน
อีกอย่าง ไม่ได้เรียกว่า ‘ แม่ยาย ’ แต่กลับเรียกแค่สามพยางค์ ‘ เริ่น หมิง เซวียน ’
“ นี่เธอ……เธอกล้าเรียกฉันแบบี้เลยหรอ ?” เริ่นหมิงเซวียนตะลึงกับแววตาที่กำลังจ้องเธออยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้น ก็โกรธจนตัวสั่น “ ไม่มีใครสั่งไม่ใครสอน !”
พอเธอหลุดจากเฉินเฉียว เธอก็อยากที่จะตะครุบเธออีกครั้ง เฉินเฉียวออกแรงมือทั้งสองข้าง แล้วก็ผลักเธออก เริ่นหมิงเซวียนอายุก็มากแล้ว จะสู้กับแรงวัยรุ่นอย่างเฉินเฉียวได้ยังไง ?
ล้มลงไปกับพื้นทั้งตัว ด้วยความอับอายเริ่นหมิงเซวียนไม่สามารถลุกขึ้นได้ทันทีเพราะว่าเจ็บ
“ แม่ ไม่เป็นไรใช่ไหม ?”
ปู้ฮวานเหยียนไปช่วยพยุงแม่ แต่เข้าไปพยุงยังไงก็ลุกไม่ขึ้น ดูแล้วราวกับว่าได้รับบาดเจ็ด สายตาปู้ฮวานเหยียนนั้นร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เธอรีบเข้าไปหยุดเฉินเฉียว “ ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้นะ !”
เฉินเฉียวมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา “ ออกไป !”
ปู้ฮวานเหยียนโกรธจนปากสั่น เธอเข้าไปพยายามดึงผมของเฉินเฉียว
เฉินเฉียวไม่ต้องการที่จะมีเรื่องกับใคร มันดุน่าเกลียด และดูต่ำ แล้วก็อีกตอนนี้ก็มีแต่คนมามุงดูพวกเขา ปู้ฮวานเหยียนต้องที่จะเข้าไปดึงเธอ เธอก็ยื่นมือมืออกไปเพื่อหยุดเธอ แต่ก็ยังโดนเธอข่วน
“ นี้พวกเธอทำอะไรกัน ?” จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา
เสียงนี้มัน……ทำไมมันถึงเสียงคุ้นๆ
เฉินเฉียวรีบหันไปมองโดยที่ไม่รู้ตัว เห็นแค่อวี้เฟยที่กำลังเดินลงมาจากรถ แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกเธอ
เธออึ้งไปสักพัก แต่ก็ไม่ได้ดูว่ามีใครอีกหรือป่าวที่อยู่บนรถ
อวี้เฟยใช้แรงมหาศาล แยกปู้ฮวานเหยียนที่กำลังบ้าคลั่ง แล้วก็ผลักเธอออกทันที
“ นี้คุณมายุ่งอะไรเนี่ย ?” ปู้ฮวานเหยียนพูดตะโกนเสียงดังออกมา
อวี้เฟยไม่ได้สนใจเธอ แล้วกระซิบถามไปว่า : “ คุณเฉิน ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ ?”
ถึงแม้ว่าเฉียวไม่ได้หันมาสนใจ แต่รู้สึกได้คนที่อยู่บนรถอีกคนจะต้องรู้สึกอับอายแทนตัวเองแน่ๆ
เธอส่ายหัว “ …….ไม่เป็นไร ”
“ คุณคือผู้ชายที่เฉินเฉียวเลี้ยงเอาไว้ใช่ไหม ? อย่าบอกนะว่ารถคันก็เป็นเฉินเฉียวนั้นซื้อให้ ?” ปู้ฮวานเหยียนคิดไปไกล
เฉินเฉียวรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ตลกไร้สาระและน่าอับอายมาก
“ เขาเป็นผู้ชายที่เธอเลี้ยงไว้ได้ยังไง เขาก็แค่คนขับรถ ! คนที่นั่งอยู่บนรถต่างหากที่เป็นผู้ชายที่เธอเลี้ยงเอาไว้ !” เริ่นหมิงเซวียนมีสายตาเฉียบคมมากกว่าลูกสาวของเธอ ก็ไม่รู้ว่ามรแรงมีแรงมาจากไหน จู่ๆก็ลุกขึ้นมาจากพื้นได้เอง “ ฉันอยากรู้จริงๆเลยว่าเธอเลี้ยงคนแบบไหนไว้แน่ !”
หลังจากที่เริ่นหมิงเซวียนพูดจบก็เดินตรงเข้าไปที่รถเบนท์ลีย์
เฉินเฉียวในใจรู้ด้านชาไปแล้ว เธอทะเลาะคนบ้านตระกูลปู้ แล้วไม่เคยคิดว่ามันจะไปเกี่ยวข้องซังหลินจวิน
อวี้เฟยมองไป แล้วจากนั้นก็รีบวิ่งไปที่รถ
ก่อนที่เริ่นหมิงเซวียนจะเดินไปถึง จู่ๆประตูรถก็ถูกออกมาจากด้านใน
รูปร่างที่เรียวยาวนั่นกำลังก้มตัวลงจากรถ ผู้ชายที่ดูสะอาด มีออร่าที่โดดเด่น พอเทียบกับผู้ชายทั่วไปแล้ว ราวกับฟ้ากับดิน
ไม่ต้องพูดถึงเฉินเฉียวผู้ซึ่งมีความภาคภูมิใจมาโดยตลอด แม้แต่เริ่นหมิงเซวียนผู้ที่หน้าด้านมาตลอดก็ยังต้องรู้สึกละอายใจในตอนนี้
เธอหยุดชั่วครู่
พอกลับมามีสติ ก็เลยพูดว่า : “ คนอะไรทำตัวเหมือนกับหมา แทนที่จะทำเรื่องดีๆ แต่ต้องมารู้สึกอับอายเพราะเฉินเฉียว แล้วยังเอาเงินของบ้านตระกูลปู้อีก ”
“ แม่ หยุดพูดได้แล้ว !” พอปู้ฮวานเหยียนเห็นซังหลินจวิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาเริ่นหมิงเซวียนเพื่อหยุดเธอเอาไว้ มองไปที่ชายคนนั้นที่มีสีหน้าแดงเล็กน้อยบนใบหน้า เพราะรู้สึกว่าอับอาย
“ ทำไมถึงจะพูดไม่ได้ ? พวกเขาก่อเรื่องขึ้นมาแล้ว ยังจะกลัวคนพูดอีกทำไม? ตอนนี้ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็ไม่ต่างอะไรกัน ”
“ แม่ ! พวกเราเข้าใจผิดแล้ว ! ผู้ชายที่เฉินเฉียวเลี้ยงเอาไว้ไม่ใช่คนนี้ !” สีหน้าของปู้ฮวานเหยียนแดงระเรื่อ แล้วก็ด้วยความที่ลำบากใจที่เริ่นหมิงเซวียนจัดการไม่สำเร็จ สีหน้าก็เริ่มแสดงออกว่าไม่มีมีความสุข
“ แกรู้แล้วหรอว่าเป็นใคร ? ไม่ใช่ว่าแค่เห็นเขาหน้าตาดี แกก็เลยช่วยเขาพูด ”
ดูเหมือนว่าฝ่ายผู้ชายไม่ได้สนใจที่เรื่องที่สองแม่ลูกนี้พูดเลย ชำเลืองพวกพวกเขาด้วยท่าทางที่เย็นชา ขาที่เรียวยาวก้าวออกมา เสิ่นปู้เฉียวเดินตรงเข้าไปหาเฉินเฉียว
การแสดงออกที่ออกมาจากแววตาเป็นการดูผ่านๆ แต่ว่า มันทำให้เริ่นหมิงเซวียนกับปู้ฮวานเหยียนรู้สึกว่าพวกเขาสำคัญ แต่พวกเธอดูเหมือนตกใจมาก แล้วหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ
เฉินเฉียวรู้อับอายจนถึงขีดสุด
เธอหันไปมองซังหลินจวิน ด้วยสีหน้าที่อับอาย “ คุณไปแล้วไม่ใช่หรอ ? ทำไมถึงกลับมาอีก ?”
“ มีสายโทรมาบอกว่า มีเรื่องเกิดขึ้นให้มาดู แล้วฉันก็ยังไปได้ไม่ไกล ก็เลยกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ”
เฉินเฉียวก็นึกถึงหลูตงซิงขึ้นมาทันที กลัวว่าเขาจะเป็นเขาที่โทรไป
เธอมองไปที่ซังหลินจวินด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ แล้วเรื่องนี้คิดว่ามันสนุกไหม ?”
ซังหลินจวินไม่ได้ตอบ เอื้อมมือไปจับมือของเธอ เฉินเฉียวมองไปทางเริ่นหมิงเซวียน แล้วเอามือหลบไปด้านหลัง “ ประธานซัง อย่าทำให้คนเข้าใจผิด ”
“ เอามือมาให้ฉัน ” ซังหลินจวินขยับปากพูดเพียงแค่สามคำเท่านั้น
ท่าทางเขาดูจริงจังมากและไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
เฉินเฉียวกัดริมฝีปากตัวเอง แต่ก็ยังไม่ได้ขยับอะไร ซังหลินจวินไม่ได้ใจร้อน เขาจับไปที่ข้อศอกของเธอจากนั้นก็ดึงมือที่หลบอยู่ด้านหลังออกมา
มีคราบเลือดอยู่สองจุดที่มือของเธอ ซึ่งมีรอยขีดข่วนที่ปู้ฮวานเหยียนทำ
บนผิวที่ขาวราวกับหิมะ พอมีคราบเลือดนั้นดูรุนแรงเป็นพิเศษ พอดูแล้วมันน่าตกใจ
ซังหลินจวินแสดงท่าทางที่เย็นชาขึ้น “ ขึ้นรถ ”
“ ไม่ต้อง นี้มันก็แค่ปัญหาเล็กๆ ” เฉินเฉียวปฏิเสธโดยที่ไม่รู้ตัว
ซังหลินจวินมองเธอด้วยสายตาที่รุนแรงขึ้น เฉินเฉียวรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ราวกับกลืนกินเธอทั้งกระดูก
มันก็ถูกต้องแล้ว เขามีตำแหน่งและอำนาจที่สูง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ใช้ในการทำงานหรือใช้ชีวิตปกติ ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขา