ตกลงซางหลินจุนคิดอย่างไรกับเธอ? มีคู่หมั้นอยู่แล้วยังไม่พอ ต้องการที่จะมายั่วคนที่แต่งงานแล้วอย่างเธออีกใช่ไหม
เฉินเฉียวใช้มือผลักไหล่เขาออก กระเป๋าหล่นลงพื้นของข้างในกระเป๋าล่วงออกมา ไม่มีใครได้ทันสนใจ
ชายคนนั้นดูเหมือนจะหมดความอดทนและจับมือเธอยกขึ้นข้างตัว
ใช้มือไม่ได้แล้ว เธอจึงกัดลิ้นเขา
หลังจากได้รับความเจ็บปวดซังหลินจวินก็หยุดจูบเธอ
เขาก้าวถอยหลังเพียงหนึ่งนิ้วและจ้องมองเธอด้วยสายตาที่หนักหน่วง ลมหายใจร้อนรดใส่ใบหน้าของเธอ
เฉินเฉียวรู้สึกว่าสายตานั้นเหมือนน้ำวน การหายใจของเธอไม่เป็นจังหวะริมฝีปากสีแดงของเธอบวมเล็กน้อยและผมเพ้าของเธอยุ่งเหยิง
ถ้าเธอไม่ขัดขืนสักนิด ก็คงโดนน้ำวนดูดลงไปตั้งนานแล้ว แค่กลัวว่าจะเป็นเหมือนเฉินอินกับผู้หญิงคนอื่นๆ แม้แต่วิญญาณของพวกเธอก็ยอมจำนนต่อผู้ชายคนนี้และกลายเป็นหุ่นเชิดของเขาในที่สุด
แต่ยังไงก็เธอก็ล้มเหลวบางส่วนในชีวิตแต่งงาน
เธอไม่เคยหลงใหลในความรักโดยชายหนุ่มคนไหน
“ประธานซังคะ กรุณาให้เกียรติตัวเองด้วยค่ะ”เธอเกร็งหน้าถอนมือออกจากฝ่ามือของชายคนนั้นและพูดเพียงเท่านี้
แม้ว่าจะพยายามควบคุมตัวเองแต่เธอก็ยังหายใจหอบเล็กน้อย
ซังหลินจวินจ้องมองเธอสักพักและในที่สุดก็ละสายตาออกไปจากใบหน้าของเธอโดยไม่พูดอะไรเพียงแต่นั่งยองๆช่วยเธอเก็บของที่ตกลงบนพื้น
เฉินเฉียวเอนตัวพิงรถอย่างอ่อนแรงหายใจช้าๆ
โทรศัพท์มือถือของเธอที่หล่นพื้นสั่น
บนหน้าจอคำว่า ‘ปู้อี้เฉิน’ สามคำแวบขึ้นมา
ซังหลินจวินมองและขมวดคิ้ว
เขายังไม่ทันได้แตะโทรศัพท์เฉินเฉียวก็ก้มไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายแล้วแนบหู
“ คุณทำไมเพิ่งตื่นตอนนี้”เฉินเฉียวถามปู้อี้เฉิน
ปู้อี้เฉินขำอย่างขมขื่น“ ผมตื่นมาก็ไม่เห็นคุณ ที่ผมเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าคุณ จะมาเยี่ยมสักนิดก็ไม่มี แบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรอ ”
เฉินเฉียวคิดสักพัก“ รอไม่มีคนแล้วฉันค่อยไปหานะคะ ฉันไม่มีแรงที่จะทะเลาะกับพวกเขา ”
“ ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉันหิวมาก ”
เฉินเฉียวถาม: “คุณอยากกินอะไร? เดี๋ยวจะเอาไปให้ ”
“อะไรก็ได้ที่คุณทำ”
เฉินเฉียวพูดเพียงว่า: “ฉันว่าซื้อดีกว่า”
เธอไม่ได้คิดจะเป็นแม่ศรีเรือนให้ผู้ชายคนไหนอีกต่อไหน
เฉินเฉียววางสายและหันกลับไป ซังหลินจวินขึ้นรถไปแล้ว ประตูรถก็ปิดด้วย
กระเป๋าของเธอถูกจัดเป็นระเบียบ
วางไว้ข้างทาง
เฉินเฉียวมองผ่านกระจกและเห็นชายคนนั้นนั่งอยู่ในรถใบหน้าบึ้งตึง ท่าทางหยิ่งๆให้ผู้คนรู้สึกห่างเหินและรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้
ผู้ชายคนนี้เข้าใกล้ไม่ได้จริงๆ ถ้าเข้าใกล้เกินไปจะทำให้ชีวิตยุ่งเหยิง
อวี้เฟยเพิ่งออกมาจากบริษัทเห็นเฉินเฉียวจึงกล่าวทักทาย:“คุณเฉิน”
เฉินเฉียวพยักหน้าให้เขา “คุณอวี้”
อวี้เฟยมองสายตาของบอสเขา ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเฉินเฉียวอีก รีบขึ้นรถและขับออกไป
เฉินเฉียวยืนอยู่ข้างถนนและเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งรถแล่นหายไปท่ามกลางการจราจรที่พลุกพล่านเธอก็ค่อยๆหันกลับมา
ที่ริมฝีปากเธอดูเหมือนจะมีไอร้อนของริมฝีปากชายคนนั้นอยู่
เฉินเฉียวถอนหายใจ เธอคิดว่าเธอเล่นเกมนี้กับซังหลินจวินยังไงก็ไม่ชนะ
—
เฉินเฉียวไปที่ห้องผู้ป่วยที่ปู้อี้เฉินอยู่
เขาเพิ่งตื่นไม่ค่อยมีแรง
“คุณโอเคไหม? โดนชนตรงไหนหรือเปล่า “ปู้อี้เฉินถามไปสายตาก็มองตามร่างกายเธอไป
เฉินเฉียวไม่คุ้นชินความเอาใจใส่ของเขา ได้แต่ส่ายหัว“ฉันไม่เป็นอะไรเลย นี่ โจ๊กสำหรับคุณ ”
เธอกางโต๊ะเล็ก ๆ บนเตียงแล้ววางโจ๊กร้อนๆลง
ปู้อี้เฉินขมวดคิ้ว “ทำไมสั่งวั่ยไม่”
“ กินไปก่อนเถอะ”
ปู้อี้เฉินรู้สึกไม่ดีนัก แต่ไม่มีทางอื่นในขณะนี้ แค่อ้าปาก “ป้อนผมหน่อย”
เฉินเฉียวไม่ขยับ
ปู้อี้เฉินรู้สึกแย่มากขึ้น“ เฉินเฉียว ผมยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยคุณ แล้วคุณทำแบบนี้กับผมหรอ? ผมมีซี่โครงหักหลายซี่แบบนี้คุณคิดว่าผมจะขยับได้ไหม? ”
เฉินเฉียวมองไปที่ปู้อี้เฉิน ดูน่าสงสารจริงๆ หมอยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ควรขยับ
เธอหยิบช้อนป้อนโจ๊กให้เขา
สองคนไม่ได้พูดกันนาน ปู้อี้เฉินมีความสุขมากกับการปรนิบัตินี้
ทันใดนั้นเฉินเฉียวก็พูดว่า “รอคุณหายดีแล้วก็สัญญาด้วยนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของปู้อี้เฉินหายไปและเปลี่ยนเป็นสีหน้าโกรธ ริมฝีปากเปิดออกและกัดฟันพูดเพียงไม่กี่คำ“เธอมันผู้หญิงไม่มีหัวใจ! ออกไป
เฉินเฉียวออกมาจากห้องของปู้อี้เฉินและพบกับปู้หมิงหย่วนพ่อตาของเธอ
เฉินเฉียวยังคงเรียก ‘พ่อ’ อย่างสุภาพ ปู้หมิงหย่วนกล่าวว่า: “ไปหาที่คุยกันเถอะ”
เฉินเฉียวพยักหน้า
สองคนเดินเคียงข้างกันในสวนของโรงพยาบาล
ฤดูนี้อากาศจะหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ
เฉินเฉียวจัดเสื้อผ้าบนตัวเธอก่อนที่จะได้ยินปู้หมิงหย่วน พูดว่า: “ฉันได้รับจดหมายลาออกของเธอแล้วนะและฉันได้ยินเรื่องเธอกับอี้เฉินแล้ว อี้เฉินเป็นเด็กดื้อ แต่คราวนี้ฉันคิดว่าเธอเห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกต่อเธอ สำหรับเรื่องที่พวกเขาพูดว่าข้างเธอเป็นยังไง ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้จักเธอดี เธอไม่ใช่คนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ”
เฉินเฉียวไม่ตอบ
ความไว้วางใจที่ไม่มีเงื่อนไขของปู้หมิงหย่วนทำให้เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ในความเป็นจริงเธอผิดหวังกับปู้หมิงหย่วน
แม้ว่าระหว่างเธอกับซังหลินจวินไม่ได้ไปถึงขั้นนั่น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาเกือบจะมีอะไรกัน
“ เรื่องทำงานฉันชื่นชมเธอมาก ฉันจะไม่รับจดหมายลาออกของเธอในตอนนี้ ช่วงนี้ฉันจะให้คนอื่นทำงานแทนเธอไปก่อน เพิ่งเกิดอุบัติเหตุมาฉันจะให้เธอหยุด 1 เดือนเธอไปพักผ่อนและปรับอารมณ์ของให้ดี อีกหนึ่งเดือนค่อยกลับมาทำงานอีกครั้ง ”
“ พ่อคะแต่หนูคิดดีแล้ว”
“ไม่ว่าเธอจะคิดยังไงก็ตาม อีกหนึ่งเดือนค่อยคุยกันใหม่”ปู้หมิงหย่วนเป็นคนเอาแต่ใจเล็กน้อย
ถึงกระนั้นเฉินเฉียวก็ไม่ได้พูดอะไร
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาเฉินเฉียวกำลังมองหาอาคารสำนักงาน อยู่ที่บ้านตระกูลปู้มาหลายปีเธอมีความเชี่ยวชาญในความสามารถทางธุรกิจและกระตือรือร้นที่จะทำอะไรเองคนเดียว เจียงฉยงฉยงออกเงินทุนให้ส่วนใหญ่และทั้งสองกลายเป็นหุ้นส่วนกัน
แม้ว่าเจียงฉยงฉยงจะสับสนในชีวิตเล็กน้อย แต่เธอก็สามารถอดทนต่อความยากลำบากในการทำงานได้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเจียงยังมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดาสามารถสนับสนุนธุรกิจของลูกสาวได้โดยไม่มีเงื่อนไข ด้วยเส้นสายของตระกูลเจียงบริษัทของพวกเธอก็เริ่มต้นได้อย่างราบรื่น
เฉินเฉียวยุ่งมากกับอาชีพการงานของเธอและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตามในบางครั้งเมื่อยืนอยู่ริมหน้าต่างมองไปที่ทะเลไม่ไกลก็จะนึกถึง “จิ้งหย่วน” และผู้ใหญ่กับเด็กที่อยู่ในจิ้งหย่วน
พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกต่อไป
บางทีพวกเขาอาจเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของกันและกัน หลังจากพบกันในที่สุดก็จะลืมกันและกัน
เฉินเฉียวรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
คืนนี้เธอกรอกข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท และอาบน้ำกำลังจะนอนโทรศัพท์ของเธอก็สั่น