หนึ่งร้อยสิบสอง
เดือดดาลเพราะความอับอาย
ทันทีที่เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาที่หลังฉาก เธอก็พบว่าป้าเฝิงกำลังตัดผ้าไหมสีเหลืองน้ำผึ้งอยู่
เธอรู้ว่านั่นคือชุดที่แม่นางผู้หนึ่งสั่งตัดเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นเสื้อกั๊กผ้าไหมสีเหลืองน้ำผึ้ง และกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน ป้าเฝิงคงกำลังเตรียมทำชุดนี้อยู่กระมัง
เสวี่ยเจียเยว่แกะห่อผ้าแล้วนำผ้าไหมสามพับไปถามป้าเฝิง “ป้าเฝิงเจ้าคะ ท่านมาช่วยข้าดูหน่อยว่าผ้าไหมสามพับนี้ทำเสื้อแบบใดได้บ้าง”
เธอไม่ได้บอกว่าผ้าเหล่านี้เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนซื้อให้ เพราะกลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเขาว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งโง่เขลา แม้แต่ซื้อผ้าก็ยังซื้อไม่เป็น ถึงได้ซื้อผ้าที่จะว่าใหญ่ก็ไม่ใช่ จะว่าเล็กก็ไม่เชิงเช่นนี้มา
เมื่อป้าเฝิงได้ยินเช่นนั้นก็วางกรรไกรลงทันที นางเดินไปหยิบผ้าไหมสีแดงเข้มที่อยู่ด้านบนสุดแล้วคลี่ออกดู ก่อนจะมองผ้าไหมสีแดงดอกไห่ถังและสีม่วงอ่อน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยถาม “ผ้าไหมสามพับนี้ใหญ่เท่านี้เองหรอกหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเบาๆ
ป้าเฝิงสัมผัสผ้าไหมพลางครุ่นคิดในใจสักครู่ จากนั้นจึงกล่าวออกมา “ผ้าไหมเหล่านี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก หากจะนำมาทำชุดกระโปรงเกรงว่าจะไม่พอ แต่ถ้าจะทำผ้าเช็ดหน้าหรือถุงผ้าผืนเล็กๆ ก็ดูจะใหญ่ไป ต้องเสียผ้าไปมาก น่าเสียดายผ้าไหมมีราคาเช่นนี้”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่า เธอก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งยังคะยั้นคะยอให้เธอมาถามป้าเฝิงให้ได้… ให้เธอมาถามเพื่ออะไรกัน
“ไม่ใช่ผ้าสำหรับทำผ้าเช็ดหน้าหรือถุงผ้าใบเล็กเจ้าค่ะ” เมื่อนึกถึงคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้ง เสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยเสริมอีก “แต่ใช้สำหรับทำเสื้อ”
เมื่อป้าเฝิงได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันทันที ก่อนที่นางจะขมวดคิ้วครุ่นคิด และหัวเราะพลางกล่าวออกมา “ข้ารู้แล้วว่าผ้าสามพับนี้ควรใช้ทำเสื้อแบบใด”
“เสื้อแบบใดหรือเจ้าคะ”
ป้าเฝิงไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่หน้าอกของเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อแม่นางน้อยเอ่ยถามอีกครั้ง นางก็กล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ผ้าไหมเหล่านี้ทำอะไรก็ล้วนดีหมด แต่ทำแล้วต้องได้ใช้ประโยชน์ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไปใช่หรือไม่ ในเมื่อทำผ้าเช็ดหน้าหรือถุงผ้าใบเล็กไม่ได้ ก็ทำได้เพียงเสื้อเท่านั้น ข้าเพิ่งคิดออกเมื่อครู่นี้ ผ้าไหมทั้งสามพับนี้ไม่เพียงพอต่อการทำชุดที่สวมไว้ด้านนอก แต่เหมาะสำหรับการทำเสื้อตัวเล็กที่ใช้สวมไว้ด้านในมากกว่า ไม่มากไม่น้อยเกินไป และไม่เป็นการสิ้นเปลืองแม้แต่นิดเดียว”
“เสื้อชั้นในหรือเจ้าคะ” เสวี่ยเจียเยว่ลืมตัวจึงเรียกว่า ‘เสื้อชั้นใน’ เหมือนในภพที่จากมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘ตู้โต้ว’
“เจ้าเด็กโง่” ป้าเฝิงเห็นท่าทางของแม่นางน้อยแล้วก็ไม่ได้เรียกว่าเถ้าแก่เนี้ย แต่กลับเรียกอย่างสนิทสนม “ตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้ายังเด็กอยู่หรือไร เจ้าควรจะมีตู้โต้วได้แล้ว และต้องมีหลายๆ ตัว ข้าว่าผ้าไหมสามพับนี้ก็ไม่เลว จับดูเนื้อผ้าแล้วนุ่มลื่นนัก ดีกว่าเนื้อผ้าแบบอื่นใช่หรือไม่ ฝีมือการปักเย็บของเจ้าก็ยอดเยี่ยม ปักลายดอกไม้บนตู้โต้ว และเย็บผ้าไหมสีขาวไว้ด้านใน สิ่งเหล่านี้มีแต่สตรีในตระกูลร่ำรวยเท่านั้นถึงจะมีใช้ อย่างพวกเราสามัญชน ได้แต่นำผ้าหยาบๆ ที่ไม่เหมาะแก่การสวมในชีวิตประจำวันมาทำ”
เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ได้สติกลับมา คงเป็นเพราะในภพที่จากมาเธอสวมยกทรง จึงไม่เคยคิดถึงตู้โต้วในยุคนี้เลย อีกทั้งตั้งแต่ข้ามภพมาเธอก็เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ มองหน้าอกที่แบนราบของตนทุกวันจนชิน ไหนเลยจะคิดว่าวันหนึ่งตนจะได้สวมตู้โต้ว…
ที่สำคัญไปกว่านั้น ตอนนี้หน้าอกของเธอมันใหญ่แค่ไหนกันเชียว ถึงต้องสวมตู้โต้วแล้วหรือ ความหมายของเสวี่ยหยวนจิ้งคือสิ่งใด เขาตั้งใจซื้อผ้าไหมสามพับนี้มาให้เธอทำสิ่งนั้นจริงๆ หรือว่าเขาเพียงซื้อมาผิดขนาด
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวดังไฟเผา ก่อนจะรับผ้าเหล่านั้นท่ามกลางสายตาป้าเฝิงที่จับจ้องมา จากนั้นก็เดินออกไปด้านหน้าด้วยความเขินอายจนอยากจะมุดดินหนีก็ไม่ปาน
เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงก้มหน้าก้มตาดูสมุดบัญชีอย่างตั้งใจเช่นเดิม ไม่รู้ว่าเขาได้ยินคำพูดที่ป้าเฝิงกล่าวมาเมื่อครู่นี้หรือไม่
แต่ไม่ว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่เขินอายจนพานจะโกรธไปเสียแล้ว
เธอโยนผ้าไหมไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความโมโห และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าไม่ต้องการสิ่งนี้ของท่าน ท่านนำไปมอบให้ผู้อื่นเถอะ”
คำพูดของป้าเฝิงนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งย่อมได้ยินชัดเจน เขายังรู้สึกโล่งอกเพราะในที่สุดก็มีคนพูดแทนความคิดในใจของเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวจะเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินออกมาจากด้านในด้วยความเดือดดาลเช่นนี้ ทั้งยังโยนผ้าลงตรงหน้าเขา และบอกว่าไม่ต้องการมัน ให้เขานำไปมอบให้ผู้อื่น
เสวี่ยหยวนจิ้งจับจ้องใบหน้าอันงดงามที่เต็มไปด้วยสีแดงเรื่อ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายคงเดือดดาลเพราะเขินอายเป็นแน่
อันที่จริงตอนนี้เขาก็รู้สึกอายไม่น้อย หากมองดีๆ จะเห็นว่าใบหูของเขาแดงเรื่อแล้ว เพียงแต่เขาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเท่านั้น ยังคงนิ่งสงบเหมือนที่เขาเคยเป็น
เขาเอื้อมมือไปหยิบผ้าไหมสามพับตรงหน้าขึ้นมา ก่อนเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ที่เบือนหน้าหนีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงโกรธขึ้นมาได้เล่า ผ้าสามพับนี้เจ้าไม่ต้องการทั้งยังให้ข้านำไปมอบให้ผู้อื่น นอกจากเจ้าแล้วข้าจะมอบให้ผู้ใดได้”
‘ทำไมจะไม่โกรธล่ะ เอาผ้าสามพับนี้มาให้ทำเสื้อชั้นใน แต่ยังปากแข็งไม่ยอมพูด แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าควรเอามันไปทำอะไร หนำซ้ำยังเร่งเร้าให้ไปถามคนอื่น ฉันควรจะอับอายบ้างไหม’
แต่ถ้าจะให้ถามเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนั้น เธอจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไร อย่าว่าแต่อายเกินกว่าจะถามคำถามเหล่านั้นออกมา หากเอ่ยถามจริงๆ แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าเขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น บอกว่าซื้อผ้าเหล่านี้มาให้ทำเสื้อเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าเขาซื้อมาผิดขนาด เธอไม่อายจนสิ้นใจตายเลยหรือ เมื่อคิดได้ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เพียงพูดด้วยความโมโหแทน
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่สน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ต้องการ”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น เธอก็เดินกระแทกเท้ากลับเข้าไปด้านใน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับรีบวิ่งมาจับมือเธอเอาไว้
“เหตุใดโตป่านนี้แล้วยังขี้โมโหเหมือนเด็กอีก” เขาถอนหายใจอย่างระอา แล้วยัดผ้าไหมใส่อ้อมกอดของเสวี่ยเจียเยว่ “ข้าตั้งใจซื้อมาให้เจ้า แต่เจ้ากลับบอกให้ข้านำไปมอบให้ผู้อื่น ข้าจะเสียใจได้นะ”
จากนั้นเขาก็จงใจเอ่ยถาม “ป้าเฝิงบอกว่าผ้าเหล่านี้เหมาะทำเสื้อแบบใดหรือ หรือข้าซื้อมาผิดขนาด ข้าเองก็เอาแต่ตั้งใจอ่านตำรา ไม่ได้สนใจเสียงภายนอก จึงนำเงินที่เก็บสะสมมาหลายเดือนไปซื้อผ้าผิดขนาดให้เจ้า เยว่เอ๋อร์ เจ้า… เจ้าอย่าตำหนิข้าเลย”
ในประโยคสุดท้ายเสียงของเขาเบาลง นัยน์ตาก็หรี่เล็กน้อย ขนตาหนาราวกับปีกอีกาพลิ้วไหวเบาๆ
เป็นกลอุบายที่น่าเวทนายิ่ง แต่ที่สำคัญก็คือเสวี่ยเจียเยว่เชื่อแล้ว
ถ้อยคำที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมาเมื่อสักครู่นี้มีหลายความหมายแฝงอยู่ อีกทั้งน้ำเสียงยังดูน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ก็ใจอ่อนกับเขาง่ายอยู่แล้ว แต่ในใจยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาตั้งใจซื้อผ้าให้เธอทำตู้โต้วหรือแค่ซื้อมาผิดขนาดเท่านั้น เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ เธอจะไม่เชื่อคำพูดของเขาได้อย่างไร
ความรู้สึกผิดพลันถาโถมเข้ามาในหัวใจของเธอ เมื่อคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนำเงินที่เก็บสะสมมาหลายเดือนออกมาซื้อผ้าให้ด้วยความหวังดี แต่ดูเธอสิ ไม่ซาบซึ้งสักนิดไม่พอ แต่ยังโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้อีก
“ท่านพี่” เธอรีบกอดแขนเขาทันทีพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ได้จะตำหนิท่าน แต่ข้า… ข้า…”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะไม่อาจบอกได้ว่าเธอเข้าใจผิด หากเสวี่ยหยวนจิ้งถามว่าเธอเข้าใจผิดอันใด แล้วเธอควรตอบว่าเช่นไรหรือ นั่นน่าอับอายเกินไปแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยขึ้นมาได้ “ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรโกรธท่าน เอาอย่างนี้ ผ้าไหมที่ท่านซื้อให้ข้าจะทำเสื้อออกมาให้ดีที่สุด ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ป้าเฝิงบอกเจ้าว่าผ้าไหมเหล่านี้เหมาะกับการทำเสื้อแบบใด” เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงไม่วางใจจึงเอ่ยถามขึ้นมาอีก “นางตัดชุดมาหลายปี คำแนะนำของนางย่อมไม่ผิดพลาด เจ้าต้องเชื่อฟังนาง อย่าทำให้ผ้าไหมสามพับนี้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ข้าตั้งใจซื้อผ้าไหมที่แพงที่สุดมาให้เจ้า”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาหมายถึงสิ่งใด แต่เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจว่าตนคิดมากเกินไป จึงตอบด้วยใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
เจ็ดส่วนคือเขินอาย อีกสามส่วนคืออับอาย ท่าทางออดอ้อนของเธอทำให้หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นไหวได้
จากนั้นก็มีสตรีพาสาวใช้เข้ามาในร้าน เสวี่ยเจียเยว่จึงรีบเก็บผ้าไหมอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปต้อนรับ
หลังจากสอบถามอย่างสุภาพ ก็รู้ว่าสตรีผู้นี้เห็นสหายของนางสวมชุดกระโปรงแบบใหม่และสีสันสดใสสวยงามในงานชมดอกเบญจมาศ นางสอบถามแล้วรู้ว่าชุดนั้นตัดที่ร้านซู่ยวี่เซวียน วันนี้นางจึงตั้งใจมาดู
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจอย่างชัดเจน ก่อนจะรีบหยิบสมุดภาพแบบชุดที่วางอยู่บนโต๊ะคิดเงินขึ้นมาเปิดให้แม่นางผู้นี้ได้ดูทุกหน้า จากนั้นจึงเอ่ยถามนางว่าชอบแบบใดและสีอะไร
มองปราดเดียวก็รู้ว่าแม่นางผู้นี้มิใช่สตรีจากครอบครัวธรรมดา ชุดที่นางสวมแม้ว่าสีจะซีด แต่เนื้อผ้ากลับดียิ่งนัก เมื่อได้เห็นใบหน้าที่งดงามมีเสน่ห์ของนาง เสวี่ยเจียเยว่ก็แนะนำว่าควรสวมชุดที่มีสีเดียวกัน
สตรีผู้นั้นลังเลก่อนจะตอบตกลง เมื่อได้ยินดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงหยิบผ้าเนื้อดีที่สุดในร้านออกมาให้นางเลือก ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามนางว่าชอบลายแบบไหน และมีสิ่งใดบ้างที่ต้องการในแบบชุดกระโปรงที่เลือก แม่นางผู้นั้นกล่าวอธิบาย ส่วนเสวี่ยเจียเยว่หยิบดินสอถ่านขึ้นมาวาดบนกระดาษ
เธอวาดภาพได้เร็วมาก อีกทั้งยังวาดได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อแม่นางผู้นั้นกล่าวจบ เสวี่ยเจียเยว่ก็วาดแบบชุดกระโปรงตามที่นางอธิบายออกมาเรียบร้อยแล้ว
พอเลื่อนกระดาษสองสามแผ่นที่วาดแบบชุดเสร็จไปตรงหน้าแม่นางผู้นั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลองดูเจ้าค่ะ นี่คือแบบชุดที่ท่านอธิบายออกมา”
เมื่อสตรีผู้นั้นก้มหน้าลง นางพบว่าไม่เพียงแบบชุดกระโปรงเท่านั้น แม้แต่คอเสื้อ แขนเสื้อ กระทั่งลวดลายและผ้าโปร่งพันรอบแขน เสวี่ยเจียเยว่ยังวาดออกมาได้ตรงตามที่นางต้องการ
เสวี่ยเจียเยว่รับเงินค่าตัดชุดด้วยรอยยิ้ม และขอให้ป้าเฝิงเข้ามาวัดตัวให้นาง จากนั้นก็ไปส่งนางที่ประตูร้าน
เมื่อลูกค้าจากไปแล้วเธอก็หันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านดูนี่ กิจการของเรากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองรอยยิ้มบนใบหน้างดงาม หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในทันที
เสวี่ยเจียเยว่เดินไปดูสมุดบัญชีบนโต๊ะคิดเงิน และดีดลูกคิดคำนวณว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไร เพื่อจะนำไปซื้อผ้าดีๆ กลับมาสักจำนวนหนึ่ง หลังจากผ่านการเผยแพร่ชื่อเสียงของร้านครั้งใหญ่เมื่อวาน หลายวันต่อจากนี้ต้องมีคนเข้ามาสั่งตัดชุดอย่างไม่ขาดสายแน่นอน และเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นเหล่าฮูหยินกับคุณหนูของตระกูลร่ำรวยเสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นจะไม่เตรียมผ้าดีๆ ไว้ในร้านได้อย่างไร หากเนื้อผ้าคุณภาพต่ำพวกนางจะดูถูกร้านของเธอได้
ขณะที่คิดว่ากำลังจะไปร้านขายผ้าไหมเพื่อดูผ้าและซื้อกลับมาเตรียมเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ห้ามเธอเอาไว้พร้อมกล่าว
“ไม่ต้องรีบ รออีกสักสองสามวันเถอะ”