เก้าสิบแปด
พี่จิ้งตกตะลึง
เสวี่ยหยวนจิ้งกางร่มพร้อมกับถือถุงผ้าวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝน แต่เนื่องจากมีลมแรง ละอองฝนจึงเกาะตามร่างกายและใบหน้าของเขา
ทว่าตอนนี้เขากำลังกระวนกระวาย ใบหน้าจึงร้อนผ่าว แทบไม่รู้สึกเลยว่าละอองฝนเย็นยะเยือกเพียงใด
แม่นางน้อยของเขาเติบโตขึ้นแล้ว แต่เขาไม่ทันระวังเรื่องการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย ยามนี้เขารู้สึกว่าร่างกายของตนคล้ายกำลังลอยขึ้น ราวกับจะถูกสายลมพัดพาไปด้วยก็ไม่ปาน เบาหวิวอยู่กลางอากาศ ล่องลอยไปมา เหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่ความจริง
ถึงอย่างนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาเปล่งประกาย อยากจะตะโกนออกไปดังๆ ด้วยความดีใจ ไหนเลยจะมีท่าทางสุขุมเย็นชาเหมือนที่เคยเป็น
เป็นเช่นนี้ไปตลอดทางสู่สำนักศึกษาไท่ชู ใบหน้าของเขายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มบาง ทำให้บรรดาสหายร่วมห้องเรียนตกตะลึงไปตามๆ กัน กระทั่งกระซิบกระซาบว่าวันนี้มีเรื่องดีๆ อันใดเกิดขึ้น เหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งผู้ไม่เคยยิ้มแย้มถึงได้ดูมีความสุขเช่นนั้น
จนกระทั่งถึงเวลากินอาหารกลางวัน เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกว่าความกระวนกระวายค่อยๆ หายไป และจิตใจเขากลับมานิ่งสงบเช่นยามปกติ
ผู้เรียนในสำนักศึกษาไท่ชูล้วนกินอาหารกลางวันในสำนักศึกษา โดยที่คนอื่นๆ ต้องจ่ายเงินค่าอาหารกลางวันในทุกเดือน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น อันหัวชิงรับปากกับเขาเอาไว้ว่า ตราบใดที่เขาเลือกเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร รวมไปถึงกระดาษ หมึก พู่กัน และหินฝนหมึก เขาไม่ต้องควักเงินจ่าย
อาหารกลางวันของสำนักศึกษาถือว่าไม่เลวนัก วันนี้มีกุ้งแช่เกลือ ผัดเต้าหู้ใส่ขึ้นฉ่าย ผัดหมี่กึงใส่พริกหยวก และข้าวถ้วยใหญ่อีกหนึ่งถ้วย
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขาก็พักผ่อนตามปกติ เมื่อก่อนผู้เรียนหลายคนจะชวนกันออกไปเดินย่อยอาหารที่ด้านนอก แต่ตอนนี้เป็นเพราะฝนตกทำให้ไม่เหมาะจะเดินออกไป ทุกคนจึงต้องนั่งรออยู่ในห้องเรียน
บางคนนอน บางคนก็อ่านตำรา หรือพูดคุยกัน ทั้งยังมีคนนำกระดานหมากรุกมาเล่น และมีหลายคนกำลังล้อมดูอยู่
เสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน สายตาทอดมองต้นไม้ท่ามกลางสายฝน ยามนี้ฝนกำลังตกหนัก ลมก็พัดแรงด้วย ครู่หนึ่งเขาก็เดินเข้าห้องเรียน อยากกลับไปนั่งอ่านตำราสักครู่
ขณะเดินผ่านที่นั่งของเจี่ยจื้อเจ๋อ สายตาก็เหลือบเห็นเขากำลังนั่งอ่านตำราเล่มหนึ่งอยู่ ทว่าใบหน้าแดงเรื่อผิดปกติ ดวงตาก็เป็นประกายแปลกๆ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงหยุดเดินแล้วหันไปมองอีกฝ่าย
ความจริงแล้วเจี่ยจื้อเจ๋อผู้นี้นับว่าเป็นคนดี แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะหงุดหงิดเพราะอีกฝ่ายเอ่ยสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่คราวที่แล้ว เขาจึงเย็นชาต่อเจี่ยจื้อเจ๋อมาโดยตลอด ทว่าสหายผู้นี้เป็นคนไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่กี่วันก็ลืมเรื่องนั้นไป และยังคงเป็นมิตรกับเขาเช่นที่ผ่านมา ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งนึกเพียงว่าเจี่ยจื้อเจ๋อไม่สบายเพราะถูกลมหนาวปะทะร่าง อีกทั้งใบหน้ายังแดงเรื่อ เขาจึงเอ่ยถามอีกฝ่าย “เจ้าเป็นอันใดหรือ”
ทันใดนั้นเจี่ยจื้อเจ๋อก็มีท่าทางเหมือนแมวถูกเหยียบหางก็ไม่ปาน เขารีบปิดตำราในมือลงและลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างลุกลี้ลุกลน
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนั้น ความสงสัยในใจก็เพิ่มมากขึ้น
หลังจากเจี่ยจื้อเจ๋อมองไปรอบๆ แล้ว สายตาของเขาก็ตกลงที่ร่างของเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าพูดกับข้าหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบ เพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ตำราเล่มนั้น
หากดูจากภายนอกก็เป็นเพียงตำราธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเจี่ยจื้อเจ๋อถึงได้มีท่าทางลนลานเช่นนั้นเล่า ดูเหมือนว่าตำราเล่มนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เมื่อเจี่ยจื้อเจ๋อเห็นสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งจับจ้องตำราในมือของตน เขาไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด หรือแม้กระทั่งอาจารย์เขาก็ไม่กลัว ทว่าคนที่เขากลัวจริงๆ คือข่งซิวผิง เพราะอาจารย์ชอบความสุขุมของอีกฝ่าย อีกทั้งในบรรดาผู้เรียนทั้งห้อง ข่งซิวผิงคือคนที่มีอายุมากที่สุด ดังนั้นยามที่อาจารย์ไม่อยู่ หน้าที่ดูแลผู้เรียนคนอื่นๆ จึงเป็นของข่งซิวผิง แม้ภายนอกคนผู้นั้นจะดูสุภาพเรียบร้อย แต่ถ้าเขาพบว่าผู้ใดทำผิดกฎ เขาจะรีบแจ้งให้อาจารย์รู้ทันที ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้ง เนื่องจากเป็นคนเย็นชาในยามปกติ ไม่ค่อยสุงสิงเสวนากับใคร เจี่ยจื้อเจ๋อจึงรู้สึกไว้ใจอีกฝ่าย
หากให้เสวี่ยหยวนจิ้งดูตำราเล่มนี้ ไม่รู้ว่าสีหน้าของชายหนุ่มจะเป็นเช่นไร เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากสัมผัสมันแม้แต่น้อย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจี่ยจื้อเจ๋อก็ยิ้มชั่วร้ายออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่กลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะสังเกตเห็น เขาจึงรีบเก็บรอยยิ้มกลับมา ก่อนยื่นมือไปเพื่อจะดึงแขนอีกฝ่าย “หยวนจิ้ง มานี่ๆ ข้ามีของดีให้เจ้าดู”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ชอบให้คนสัมผัสตัว แม้มีเสื้อผ้าปกปิดเอาไว้ก็ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเจี่ยจื้อเจ๋อกำลังจะดึงแขนตน เขาก็รีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ทำให้มือของเจี่ยจื้อเจ๋อคว้าได้เพียงอากาศ
แต่เจี่ยจื้อเจ๋อไม่ได้สนใจ เมื่อคว้าแขนไม่ได้ก็เรียกให้เสวี่ยหยวนจิ้งตามเขาไป
เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากตามไป แต่เจี่ยจื้อเจ๋อหันกลับมาเรียกเขาอยู่หลายครั้ง และเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเหมือนลูกแมวน้อยก็ไม่ปาน เขาจึงอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ หลังจากลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินตามสหายไป
ทั้งสองคนเดินไปจนสุดทางเดิน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครนอกจากพวกเขา เจี่ยจื้อเจ๋อก็นั่งลงบนม้าหินตัวหนึ่ง ก่อนจะเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งให้นั่งลงกับตน จากนั้นเขาจึงเปิดตำราด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วผลักไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง พร้อมกับขยิบตาให้ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าดูสิ่งนี้สิ”
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงมองตำรา ก็เห็นภาพวาดบนกระดาษอย่างชัดเจน พลันดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ
เมื่อเจี่ยจื้อเจ๋อเห็นท่าทางตกตะลึงของเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็รู้สึกว่าหัวใจของตนกระชุ่มกระชวยขึ้นเป็นอย่างมาก
ตำราเล่มเล็กวางอยู่บนโต๊ะหินตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เขามิได้เอื้อมมือไปหยิบมัน และเห็นได้ชัดเจนว่าเขาจะไม่มีทางหยิบขึ้นมาเด็ดขาด ทว่าเจี่ยจื้อเจ๋ออยากรู้ว่าชายผู้ทะนงตัวในสายตาคนอื่นจะมีท่าทางเช่นไรเมื่อได้เห็นภาพในตำราเล่มนี้ เขาจึงเปิดตำราทีละหน้า ขณะเดียวกันก็แสยะยิ้มไปด้วย
“เพื่อให้ได้ตำราเล่มนี้มา ข้าใช้เงินซื้อไม่น้อยเลยทีเดียว ต้องไหว้วานคนให้ไปซื้อถึงเมืองหลวง เพราะในเมืองผิงหยางไม่มีตำราเช่นนี้”
จากนั้นเขาก็จงใจเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร สวยงามประณีตกว่าภาพวาดที่ขายในท้องตลาดหรือไม่”
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งจ้องตำราโดยไม่พูดไม่จา อีกทั้งริมฝีปากยังเม้มแน่นเช่นนั้น เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้ ฮ่าๆๆ หากเจ้าแต่งงานในภายภาคหน้า เจ้าจะไม่รู้เลยว่าในคืนส่งตัวนั้นควรทำอันใดบ้าง ฮ่าๆๆ”
เขาหัวเราะพลางทุบโต๊ะหินตรงหน้า ในใจรู้สึกว่าตนสามารถทำลายความทะนงตัวของเสวี่ยหยวนจิ้งลงได้แล้ว
ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกราวกับเลือดในกายแล่นขึ้นมาบนสมอง ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวจนเวียนศีรษะและหน้ามืด จากนั้นเลือดก็แล่นลงจากสมองสู่แขนขา เขาสัมผัสได้ว่าแขนขาของตนเริ่มไร้เรี่ยวแรง แม้แต่คิดจะขยับก็ยังทำได้ยากยิ่ง
เขาจะห้ามเจี่ยจื้อเจ๋อได้อย่างไร…
เมื่อภาพบนกระดาษเหล่านั้นผ่านสายตาเขาไปทีละภาพ มันก็ฝังลึกลงในสมองของเขาอย่างชัดเจน
แม้ว่าเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีภาพเหล่านี้ปรากฏต่อหน้า และเป็นดั่งที่เจี่ยจื้อเจ๋อกล่าวมา ภาพวาดในตำราเล่มนี้วาดได้ละเอียดงดงามมาก แม้ว่าภายนอกจะเหมือนตำราธรรมดาทั่วไป แต่ด้านในเป็นกระดาษซวนจื่อชั้นดี ภาพที่วาดลงบนกระดาษสีขาวราวหิมะนั้นก็ชัดเจน แม้แต่เส้นผมของคนยังเห็นครบทุกเส้น…
หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งเต้นรัวเร็ว ปลายนิ้วก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา อีกทั้งใบหน้ายังแดงเรื่อ ไม่นานเขาก็ได้สติกลับมาหลังจากตกใจในคราแรก
เขายืนขึ้นโดยใช้มือทั้งสองข้างค้ำโต๊ะไว้ ก่อนจะจับจ้องไปที่เจี่ยจื้อเจ๋อด้วยแววตาโกรธเคือง “ของสกปรกเช่นนี้เจ้านำเข้ามาในสำนักศึกษาได้อย่างไร หากท่านอาจารย์เห็นเข้า พวกเขาจะต้องลงโทษเจ้าแน่”
เจี่ยจื้อเจ๋อยิ้มอย่างไม่แยแส “ของสิ่งนี้มันจะไปสกปรกได้อย่างไร ผู้ที่วาดภาพเหล่านี้คือซือคงเย่ยวี่ เจ้าเองก็น่าจะรู้จักใช่หรือไม่ เขาเป็นนักวาดภาพฝีมือดีที่สุดในราชวงศ์นี้ ไม่มีผู้ใดเทียบเท่าเขาได้เลย แล้วยิ่งท่านอาจารย์กับหัวหน้าสำนักศึกษา มีผู้ใดบ้างที่ยังไม่ออกเรือน เจ้าคิดหรือว่าพวกเขาจะไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นลูกสาวลูกชายของพวกเขาจะเกิดมาได้อย่างไร”
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงันไป เขาก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง ถึงกับมองว่าเรื่องเช่นนี้อันตรายร้ายแรงเชียวหรือ ข้าจะบอกให้ก็ได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ในเหล่าท่านอาจารย์มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยทำ นี่เป็นเรื่องที่สุขสำราญใจที่สุดในใต้หล้า หากเจ้าได้ลองสักครั้ง เจ้าจะไม่สามารถปล่อยวางมันได้อีกเลย”
เขากล่าวจบก็ปิดตำราที่วางอยู่บนโต๊ะหิน ก่อนจะเดินหัวเราะจากไป ปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งยืนนิ่งอยู่คนเดียว หัวใจยังคงเต้นรัวเร็ว ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่สงบลง
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้มาก่อน เมื่อจู่ๆ ได้เห็นมันเมื่อครู่ ทั้งยังได้ยินเจี่ยจื้อเจ๋อเอ่ยเช่นนั้น เขาก็รู้สึกราวกับประตูที่เคยถูกปิดอย่างแน่นหนาถูกเปิดกว้างอย่างฉับพลัน…
+++++++++
เสวี่ยหยวนจิ้งเดินกลับไปเข้าห้องเรียน และไม่สนใจสายตาของเจี่ยจื้อเจ๋อว่าจะเจ้าเล่ห์ขนาดไหน เขายังคงจมอยู่กับความตะลึงเมื่อครู่นี้
จนกระทั่งถึงยามบ่ายเขาก็ไม่ได้ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน แม้สีหน้าท่าทางจะดูสุขุม ทว่าหัวใจกลับยังปั่นป่วนตลอดเวลา จำตัวอักษรในตำราไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เขาก็เก็บของใส่ถุงผ้าแล้วถือร่มเดินออกไปด้านนอก
ฝนเบาลงกว่าเมื่อตอนกลางวันมาก ยามนี้มีเพียงสายฝนปรอยๆ และม่านหมอกจางๆ เท่านั้น เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้กางร่ม แต่เดินไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายฝนพรำ เมื่อมาถึงเรือนก็พบว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยู่ อีกฝ่ายคงไม่ได้ฟังคำพูดของเขาเมื่อเช้านี้อย่างแน่นอน ถึงได้ไปที่ร้านตัดชุดของตน
พอเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงทุกขณะ เกรงว่าอีกประเดี๋ยวฝนจะตกลงมาอีกครั้ง เสวี่ยหยวนจิ้งก็หยิบร่มแล้วปิดประตูคล้องโซ่ใส่กุญแจ ตั้งใจจะไปยังร้านตัดชุดเพื่อรับเสวี่ยเจียเยว่กลับเรือน
ระหว่างที่เดินไปฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝนตกกระทบร่มดังเปาะแปะ บนถนนยังมีคนเดินผ่านไปมาอยู่บ้าง และพวกเขาก็เดินกันอย่างรีบร้อน
เสวี่ยหยวนจิ้งกังวลว่าตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่จะออกมาจากร้านตัดชุดแล้ว เขาจึงเร่งเดินไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น แต่เมื่อเห็นร้านตัดชุดของเสวี่ยเจียเยว่อยู่ตรงหน้า และเห็นเงาร่างเล็กกำลังยืนอยู่หน้าประตู เขาก็หยุดชะงักทันที