หนึ่งร้อย
ตื่นจากความฝันในวันฝนตก
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ถอดชุดคลุมให้เสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว ครั้นลมพัดพาสายฝนมาปะทะกาย เธอก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที ทว่ารู้สึกหนาวเหน็บได้ไม่นาน ก็ถูกรวบตัวเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น
เธอเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง ก็พบว่าเขากำลังก้มหน้าลงมองตนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสบตากันเขาก็พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น
“มีชุดคลุมเพียงตัวเดียวเท่านั้น และเจ้ากับข้าก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าหลายชั้น ถ้าเจ้าสวมชุดคลุมนี้ข้าจะหนาว หรือหากข้าสวมเองเจ้าก็จะหนาว แต่ถ้าข้าสวมชุดคลุมแล้วโอบกอดเจ้าเช่นนี้ ก็เหมือนพวกเราได้สวมชุดเดียวกัน และจะได้อบอุ่นกันทั้งสองฝ่าย”
ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีแก้ไขปัญหาของคนทั้งสองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เสวี่ยเจียเยว่ถึงขั้นต้องเอ่ยชื่นชมในใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาด คิดได้รอบคอบ ขณะเดียวกันเธอก็มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป แต่บอกไม่ถูกว่ามันแปลกตรงไหน
ขณะที่เธอกำลังขมวดคิ้วแน่นอยู่นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็โอบกอดเธอเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยออกมา
“ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ ฝนก็ยิ่งตกหนักมากขึ้น พวกเรารีบกลับเรือนกันเถอะ”
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะเรียบเฉย แต่ความจริงแล้วหัวใจเต้นรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ภายใน ฝ่ามือที่โอบกอดเสวี่ยเจียเยว่ก็มีเหงื่อซึมออกมาด้วยความประหม่า…
ไม่นานเสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกว่าลมฝนไม่ได้ทำให้เขารำคาญแล้ว แต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
อยากให้ทางกลับเรือนยาวกว่านี้อีกหน่อย หากเดินไปไม่มีที่สิ้นสุดเลยยิ่งดี เขาอยากกอดเสวี่ยเจียเยว่ไว้เช่นนี้ตลอดไป
แต่ระยะทางจากร้านไปถึงเรือนก็ไม่ได้ยาวไกลนัก เขาถึงขั้นคิดว่าต้องเดินให้ช้ากว่านี้อีกสักหน่อย แต่สุดท้ายก็เดินถึงเรือนภายในเวลาไม่นานอยู่ดี แม้ว่าจะไม่ชอบใจเท่าไร แต่เขาก็ทำได้เพียงเก็บร่มอย่างเสียดายพลางมองเสวี่ยเจียเยว่ขยับออกไปจากอ้อมแขน
ไม่ใช่อ้อมแขนเท่านั้นที่ว่างเปล่า แต่หัวใจของเขาก็ยังว่างเปล่าด้วย…
ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่มองชุดคลุมสีเขียวเข้มด้วยความร้อนใจว่าเปียกฝนและเปื้อนโคลนหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่ายังเรียบร้อยดี เธอก็วางใจได้แล้วไปทำอาหารมื้อเย็นอย่างมีความสุข
เสวี่ยหยวนจิ้งถอดชุดคลุมแล้วนำไปพาดไว้บนเก้าอี้ในห้องของตน ก่อนจะเดินออกไปช่วยเสวี่ยเจียเยว่ทำอาหาร
ตอนทำอาหารมื้อเย็นเสวี่ยเจียเยว่จะเป็นผู้พูด ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นผู้ฟังและตอบกลับเป็นบางครั้ง
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กสาวจึงดีอกดีใจมากมายเช่นนั้น ทั้งที่ฟังดูก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สดใส ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มตามและรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่มีความสุขนั่นคือเรื่องดีที่สุดแล้ว
หลังจากกินอาหารเสร็จ ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อพักหนึ่ง ความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงกังวลเรื่องหน้าอกของเสวี่ยเจียเยว่ที่กระแทกกับโต๊ะเมื่อเช้า เขาอยากจะเอ่ยถาม แต่ก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะโกรธอีก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถามออกมา เพียงดูแลเสวี่ยเจียเยว่อย่างใกล้ชิด
เมื่อเห็นแม่นางผู้นี้พูดคุยหัวเราะตลอดเวลา สีหน้าก็ไม่ได้ดูเจ็บปวดอันใด และไม่ยกมือขึ้นมากุมหน้าอกเหมือนเมื่อเช้า เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่เจ็บปวดแล้วกระมัง
คิดได้เช่นนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็สบายใจขึ้นมาก
หลังจากพวกเขาแยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง เสวี่ยหยวนจิ้งก็นำตะบันไฟออกมาจุดเทียน และหยิบตำราออกมาอ่านสักพักก่อนจะเข้านอน
แต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าหัวอยู่ดี ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอันใด ทันทีที่เขาเห็นตำรา ชายหนุ่มจะนึกถึงภาพในตำราที่เจี่ยจื้อเจ๋อให้เขาดูทันที…
เป็นเพราะความจำของเขาดีเลิศเป็นทุนเดิม จึงไม่มีทางลืมภาพในตำราเล่มนั้นไปได้ง่ายๆ แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ แต่ยังคงประทับอยู่ในหัวใจเขาอย่างชัดเจน
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็โยนตำราทิ้งแล้วนำกระดาษมากางบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนตัวอักษร
เมื่อก่อนเขาจะเขียนตัวอักษรเมื่อรู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ เพราะการใช้สมาธิทำให้จิตใจสงบลงได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด ยิ่งเขียนมากเท่าไรหัวใจก็ไม่สงบเสียที
สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็หยุดเขียนและทิ้งพู่กัน ก่อนจะถอดชุดตัวนอกออกแล้วเตรียมเข้านอน
แต่การจะนอนให้หลับเป็นเรื่องยากยิ่ง ในหูเขาได้ยินเสียงฝนตกกระทบใบการบูรและหลังคาเรือน ความคิดต่างๆ นานาประเดประดังเข้ามาจนแทบทำให้เขาหายใจไม่ออก
ทว่าแม้จะกระสับกระส่ายเพียงใด เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่นอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เพียงนอนหลับตาและประสานมือไว้ที่หน้าท้อง
ในที่สุดสติของเขาก็เลือนราง รู้สึกราวกับได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลไพเราะและหวานปานหยดน้ำผึ้ง
เขาลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ข้างเตียง พร้อมกับยิ้มแย้มสดใสให้เขา
เขารีบลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วคว้าข้อมือเรียวเล็ก ก่อนจะดึงคนร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอดของตน
ตอนที่ใบหน้าซุกซบกับไหล่ของเสวี่ยเจียเยว่ เขาได้กลิ่นหอมจางๆ บนตัวแม่นางน้อย กลิ่นนั้นส่งผ่านจมูกทะลุเข้าไปทำให้หัวใจของเขาคันยุบยิบตลอดเวลา แขนที่โอบกอดเด็กสาวก็รัดแน่นขึ้นทุกขณะ เหมือนว่าจะทำให้เสวี่ยเจียเยว่หลอมรวมเข้ากับกระดูกและเลือดเนื้อของตนก็ไม่ปาน ซึ่งเป็นการดีหากได้กอดร่างนุ่มนิ่มเช่นนี้ตลอดไป
“เยว่เอ๋อร์” เขาเอ่ยเรียกเสวี่ยเจียเยว่ และต้องประหลาดใจเพราะเสียงของตนแหบพร่าตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจรู้ได้
จากนั้นก็สังเกตเห็นมือเสวี่ยเจียเยว่โอบรอบเอวของเขา ทั้งยังกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“ท่านพี่เจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งดีใจจนแทบคลั่ง แม้ว่าเขาจะเคยกอดเสวี่ยเจียเยว่ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยกอดเขากลับเช่นนี้ นี่หมายความว่า… ที่จริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดเหมือนกับเขาใช่หรือไม่
เขากอดเสวี่ยเจียเยว่แน่นขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าการกอดเช่นนี้ยังไม่เพียงพอ เขาต้องการทำมากกว่านี้…
และคล้ายกับร่างบอบบางที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาจะรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ร่างของเขาก็ค่อยๆ เอนหงายลงบนเตียง
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนผลักเขาให้นอนลงบนเตียง จากนั้นก็โน้มตัวตามลงมา มองเขาด้วยรอยยิ้ม และใช้นิ้วอันบอบบางลูบวนบนแก้มเขาเบาๆ พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่แสนหวานออกมา
“ท่านพี่ ท่านคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ หือ? บอกข้ามา ข้าพร้อมจะตอบสนองท่าน”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าดวงตาของเขาร้อนผ่าวราวกับเลือดไหลออกมาก็ไม่ปาน หัวใจแทบจะกระเด็นออกมาจากอก รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ในที่สุดเขาก็ไม่อาจต้านทานได้อีก จึงคว้ามือเสวี่ยเจียเยว่แล้วดึงลงมาข้างกายของตน
ท่ามกลางความมืดสลัว เขาคิดในใจว่าเจี่ยจื้อเจ๋อไม่ได้โกหก นี่คือเรื่องที่ทำให้มนุษย์มีความสุขที่สุด หากได้ลิ้มลองแล้วจะไม่มีวันขาดมันได้อีกต่อไป
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้ม แต่ฝนที่ตกลงมาเมื่อวานหยุดไปแล้ว มีเพียงนกไม่กี่ตัวที่กระโดดไปมาอยู่ท่ามกลางใบการบูรและส่งเสียงดังจิ๊บๆ
ชายหนุ่มเอียงศีรษะมองท้องฟ้าสีเทาหม่นนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นรัวเร็ว ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา
เรื่องเมื่อคืนนี้ดูเหมือนจะเป็นความฝันที่ดีไม่น้อย…
เขาไม่เคยฝันเช่นนี้มาก่อน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าก็ร้อนผ่าวทันที และความเขินอายที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้พลันเกิดขึ้นในหัวใจของเขา
ทว่ามีความแปลกประหลาดและซับซ้อนเกิดขึ้นท่ามกลางความเขินอายด้วย คล้ายความหวานชื่นและโล่งใจ พอนึกถึงความฝันเมื่อคืนอีกครั้ง เขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัวจนไร้เรี่ยวแรง
เสวี่ยหยวนจิ้งมองออกไปด้านนอกหน้าต่างเป็นเวลานาน หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็ลุกขึ้นมาจากเตียง ก่อนจะค่อยๆ สวมเสื้อคลุม
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบและชื้นแฉะที่บริเวณใกล้ต้นขา เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถสวมกางเกงตัวนี้ได้อีกแล้ว เขาจึงเปิดตู้หากางเกงตัวใหม่มาเปลี่ยน
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบกางเกงที่เปื้อนบางอย่างออกไปซักด้านนอก
แม้ว่าปกติแล้วเสวี่ยเจียเยว่จะเป็นคนซักเสื้อผ้าของพวกเขา แต่เขาไม่อาจเรียกอีกฝ่ายมาซักกางเกงเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เด็กสาวพบความผิดปกติ
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งซักและตากกางเกงเสร็จแล้ว เขาก็ออกไปทำอาหารเช้า
เมื่อทำอาหารเสร็จ ท้องฟ้าด้านนอกก็ยังคงมืดอยู่ และเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ตื่น
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าช่วงนี้เสวี่ยเจียเยว่ทั้งยุ่งและเหนื่อยล้า จึงไม่อยากปลุกอีกฝ่ายเร็วนัก เพียงนำอาหารเช้าไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วกลับเข้าห้องของตนเพื่อไปอ่านตำรา
ขณะที่เขาหยิบตำราขึ้นมา สายตาพลันเหลือบไปเห็นชุดคลุมที่พาดอยู่บนเก้าอี้โดยบังเอิญ
ชุดคลุมสีเขียวเข้ม ด้านหลังปักลายเมฆมงคลและนกกระเรียน ดูสวยงามและมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เขาเอื้อมมือไปหยิบชุดคลุมนั้นขึ้นมา เมื่อคิดว่านี่คือสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่ทำให้เขากับมือ หัวใจเขาก็พลันอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก…