หนึ่งร้อยหก
คนลึกลับ
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนบ้าปกป้องน้องสาว แต่ลึกๆ แล้วเธอก็มีความสุขไม่น้อย เพราะเธอคือน้องสาวที่เขารักผู้นั้น เมื่อได้รับการปกป้องเอาใจใส่เช่นนี้ และคนผู้นั้นก็คือคนที่เธอปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่ชาย หัวใจของเธอจึงพองโตเพราะมีความสุขมาก
เสวี่ยเจียเยว่มองพิจารณาร่างกายของเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ทั้งยังจับมือทั้งสองข้างของเขาเข้ามาดูใกล้ๆ เพราะอยากรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่
เธอรู้ว่าด้วยนิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้ง เพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวล ต่อให้เขาแขนหักขาหักก็ไม่มีทางบอกเป็นแน่ เพียงอดทนเอาไว้เงียบๆ เช่นนั้น และเมื่อเธอเอ่ยถาม เขาก็จะตอบเพียงว่าไม่เจ็บเลยสักนิด ฉะนั้นเธอจึงต้องตรวจดูอย่างละเอียดด้วยตัวเองถึงจะสบายใจ
เมื่อตรวจดูจนแน่ใจว่าตั้งแต่ศีรษะจดเท้าของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีบาดแผล มีเพียงฝ่ามือด้านขวาที่มีรอยจากด้ามจับของไม้ตีลูกหนังเท่านั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็โล่งอกไม่น้อย ก่อนจะบ่นพึมพำกับเขาอีกครั้ง
“คิดไม่ถึงเลยว่าการแข่งขันจีจวีในครั้งนี้จะดุเดือดมิใช่น้อย มันอันตรายเกินไป ท่านพี่ ต่อไปการแข่งขันเช่นนี้ท่านไม่ต้องเข้าร่วมแล้วนะเจ้าคะ”
ความจริงแล้วในช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอยังไม่เคยได้ยินว่ามีคนได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันจีจวี เพราะไม่เคยให้ความสนใจมาแต่ไหนแต่ไร จึงอยากรู้เพียงว่าสำนักศึกษาใดจะชนะเลิศเท่านั้น แต่ปีนี้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าร่วมการแข่งขัน โดยเฉพาะการแข่งขันรอบสุดท้ายเช่นนี้ ไหนเลยเธอจะสนใจว่าสำนักศึกษาใดเป็นฝ่ายชนะ เพียงรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งปลอดภัยก็พอแล้ว
การแข่งขันในรอบนี้สำนักศึกษาไท่ชูเป็นฝ่ายชนะ แต่ระหว่างแข่งขันนั้นสำนักศึกษาทั้งสองแห่งทำคะแนนเสมอกันมาตลอด คนที่เข้ามาชมจึงพูดกันว่าเวลาการแข่งขันในครั้งนี้จะขยายออกไปหรือไม่ หรือว่าจะจัดขึ้นอีกครั้งภายในไม่กี่วันหลังจากนี้
คิดไม่ถึงว่าในขณะที่การแข่งขันใกล้จะจบลง และเสียงกลองกับฆ้องใกล้จะดังขึ้นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งกลับตีลูกหนังเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้ ทำให้การแข่งขันในครั้งนี้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ลูกหนังลูกหนึ่งคือสิ่งที่ตัดสินผลแพ้ชนะ เวลานั้นผู้ชมที่รายล้อมรอบสนามรวมไปถึงทุกคนในสำนักศึกษาไท่ชูต่างตื่นเต้นกันมาก ทันทีที่การแข่งขันจบลง ผู้เรียนเหล่านั้นก็เข้ามาห้อมล้อมเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความดีใจ
นี่คือครั้งแรกที่ผู้เข้าแข่งขันจากสำนักศึกษาไท่ชูได้รับชัยชนะ และสามารถยืดอกต่อหน้าผู้เรียนจากสำนักศึกษาอื่นได้ในที่สุด โดยเฉพาะคะแนนสุดท้ายของการแข่งขันนั้น จะทำให้ชื่อของเสวี่ยหยวนจิ้งได้รับการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาไท่ชูอย่างแน่นอน และผู้เรียนทุกคนจะได้รู้จักเขาในภายภาคหน้า
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับเสวี่ยเจียเยว่ หลังจากอีกฝ่ายบ่นว่าการแข่งขันจีจวีในครั้งนี้อันตรายเกินไป และห้ามเขาเข้าร่วมการแข่งขันเช่นนี้อีก เขาเพียงเอ่ยตกลงด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
“อือ ได้สิ”
เดิมทีชายหนุ่มไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่กังวลใจอยู่แล้ว เขาจึงยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ
ทั้งสองยืนสนทนากันอีกสักพัก เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าหมวกของเสวี่ยเจียเยว่อยู่บนชั้นสองของศาลา จึงขอให้อีกฝ่ายไปนำกลับมาสวมไว้เช่นเดิม
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเสียงอ่อนไม่กี่ประโยค บอกว่าตนไม่อยากสวมหมวกที่น่ารำคาญใบนั้น ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงยืนกราน เธอจึงยอมเอ่ยตกลงอย่างไม่เต็มใจ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าทางไม่มีความสุขเช่นนั้น ก็ยื่นมือไปบีบแก้มนุ่มอย่างที่เคยทำเป็นประจำพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“หลังจากกลับไปถึงเรือน ข้าจะเขียนกระดาษแผ่นเล็กให้เจ้าเป็นร้อยๆ แผ่นเลยดีหรือไม่”
เมื่อครู่นี้เสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งผ่านการแข่งขันที่ดุเดือดมา ย่อมมีเหงื่อผุดซึมออกมาทั่วร่าง เมื่อมือเขาสัมผัสแก้มของเธอ เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้กลิ่นเหงื่อบนตัวเขา
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนรักความสะอาด หากเป็นคนอื่นเธอคงรังเกียจที่มีเหงื่อเต็มตัวเช่นนี้ แต่เพราะเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอจึงรู้สึกว่ากลิ่นเหงื่อของเขาไม่ได้เหม็นจนถึงขั้นทนไม่ไหว ทั้งยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้ซูบผอมและอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นบุรุษที่สุขุมและใจเย็น
ขณะนี้เธอรู้สึกว่าตัวเขามีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก…
เสวี่ยเจียเยว่ส่ายหน้าเบาๆ ราวกับว่าทำเช่นนี้จะสามารถกำจัดความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัวได้ จากนั้นความสนใจของเธอก็ไปตกอยู่ที่กระดาษแผ่นเล็กในมือเขา
กระดาษแผ่นเล็กนี้ เธอเป็นคนส่งให้ก่อนที่เขาจะแยกไปเตรียมตัวแข่งขันจีจวี ก่อนหน้านี้กว่าเขาจะเจียดเวลามาเขียนให้เธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไม่ถึงว่าวันนี้เธอจะแจกออกไปจนหมดแล้ว แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเขียนอีก เพราะเขาเพิ่งแข่งขันเสร็จไปเมื่อครู่ ต่อให้เป็นคนเหล็กอย่างไรก็รู้จักเหนื่อย เขาควรพักผ่อนให้มากๆ
ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงศาลาที่เสวี่ยเจียเยว่นั่งชมการแข่งขัน แต่เพราะบนชั้นสองมีเพียงสตรีเท่านั้น เสวี่ยหยวนจิ้งจึงไม่ได้ขึ้นไปด้วย เขายืนรออยู่ด้านล่างศาลา ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็ขึ้นไปหยิบหมวกที่ชั้นบน เมื่อเดินถือหมวกลงมาด้านล่าง ก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง
คนผู้นั้นสวมชุดสีแดงคาดเข็มขัดสีทอง ใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตันหงอี้
ท่าทางของเขาไม่เหมือนไก่ชนที่พร้อมจะเข้าโจมตีเหมือนเมื่อเช้า ตอนนี้ท่าทางฮึกเหิมอยากต่อสู้กับเสวี่ยหยวนจิ้งหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นคนทะนงตัวและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าพวกเขาจะทะเลาะกันในอีกไม่ช้า อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน เธอจึงรีบเดินไปหาชายหนุ่มทั้งสองคน
ทันทีที่เธอเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินตันหงอี้เอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบ
“แม้ว่าในสนามแข่งเมื่อครู่นี้เจ้าจะดึงข้าไว้ ทำให้ข้าไม่ตกจากหลังม้า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้ายอมแพ้เจ้า แม้ว่าเจ้าจะชนะการแข่งขันจีจวีในครั้งนี้ แต่ก็ยังมีปีหน้าและปีต่อๆ ไป ข้าต้องชนะเจ้าให้ได้สักครั้ง”
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา “เจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เพราะข้าจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันจีจวีในครั้งหน้า”
เรื่องที่ทำให้ตันหงอี้เจ็บปวดที่สุดคือ การที่ศัตรูเอาชนะด้วยกำลังมหาศาล แล้วเขาก็ตั้งใจจะเอาชนะคนผู้นั้นให้ได้ไม่ว่าต้องทำวิธีใด แต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับบอกว่าจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันอีกต่อไป หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ… เขาไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว
ตันหงอี้เพ่งมองนัยน์ตาของเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะได้ยินเสียงของอีกฝ่าย
“อีกอย่าง… เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบใจข้า ที่ข้าดึงเจ้าไว้เมื่อครู่นี้ไม่ใช่เพราะอยากช่วย แต่เป็นเพราะข้าอยากให้เจ้าได้เห็นชัยชนะของข้าด้วยตาของเจ้าเองก็เท่านั้น”
เขาพูดจบก็ไม่คิดจะสนใจตันหงอี้อีก และเดินไปหาเสวี่ยเจียเยว่อย่างรวดเร็ว
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงถือหมวกเอาไว้โดยไม่ได้สวม เสวี่ยหยวนจิ้งจึงหยิบหมวกขึ้นมาแล้วสวมลงบนศีรษะแม่นางน้อยโดยไม่เอ่ยคำใด
เมื่อตันหงอี้หันไปเห็นเสวี่ยเจียเยว่ที่สวมหมวกแล้ว แต่ยังไม่ได้ดึงผ้าโปร่งลงมาคลุมใบหน้า เขาก็ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ทันที
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งดึงผ้าโปร่งลงมาคลุมใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่เรียบร้อยแล้ว เขาก็หมุนตัวแม่นางน้อยแล้วพาเดินจากไป
เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงบทสนทนาระหว่างพวกเขา ก่อนจะหันกลับไปมองตันหงอี้ด้วยความสงสัย
เขายืนนิ่งราวกับหุ่นไม้แกะสลักอยู่ตรงนั้น และสายตาของเขาเพียงจับจ้องมาที่เธอ
เสวี่ยเจียเยว่นึกว่าเขาสะเทือนใจเพราะประโยคที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวไปเมื่อครู่ จึงหัวเราะเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้
เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะปากร้ายถึงขั้นทำให้คนตะลึงงันไม่ขยับเช่นนั้นได้ คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเมื่อได้เห็นคนทะนงตัวจนแทบจะลอยขึ้นไปบนฟ้าโกรธจนยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
ยามที่ลมพัดโชยมา ผ้าโปร่งสีดำก็ปลิวไสว แม้จะไม่เผยให้เห็นใบหน้าของเธอทั้งหมด แต่ก็ยังเห็นคางเกลี้ยงเกลาและริมฝีปากบางราวกลีบดอกไม้กำลังยกยิ้ม ทำให้ตันหงอี้ตะลึงงันมากกว่าเดิม ราวกับว่าสายตาของเขาไม่อาจละไปไหนได้อีกแล้ว เพราะมันเอาแต่จับจ้องเสวี่ยเจียเยว่อยู่เช่นนั้น
หลังจากสายลมพัดผ่านไปแล้ว ผ้าโปร่งนั้นก็ตกลงมาคลุมใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่อีกครั้ง จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็เคาะศีรษะเธอเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“อย่าหันกลับไป มองทางดีๆ”
เสวี่ยเจียเยว่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมา และเดินเคียงเสวี่ยหยวนจิ้งต่อไป โดยทิ้งตันหงอี้ไว้ด้านหลัง เป็นเวลานานเขาก็ยังไม่ได้สติกลับมา ราวกับจิตวิญญาณถูกพรากไปจากร่างแล้วก็ไม่ปาน
เนื่องจากตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่สวมหมวกที่มีผ้าคลุมแล้ว ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นใบหน้างดงาม จึงไม่มีสิ่งใดให้เสวี่ยหยวนจิ้งต้องเป็นกังวล
นอกจากวันนี้จะมีการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศแล้ว ยังมีเทศกาลฉงหยางซึ่งจัดขึ้นในเดือนเก้าของทุกปีด้วย เสวี่ยหยวนจิ้งจึงอยากจะพาเสวี่ยเจียเยว่ไปชมดูดอกเบญจมาศสักหน
ตั้งแต่มาอยู่ที่เมืองผิงหยาง พวกเขาได้ไปเที่ยวชมงานทุกปี จึงรู้ดีว่างานนั้นจัดที่ใด
ระหว่างที่พวกเขาเดินมานั้น เสวี่ยเจียเยว่เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหันกลับไปมองด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่หลายครั้ง เธอจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ท่านพี่ ท่านมองสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
พอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ ขณะที่เดินเขากุมมือเสวี่ยเจียเยว่ไปด้วย และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอันใด”
เขารู้สึกว่ามีคนเดินตามมา แต่เมื่อหันกลับไปก็ไม่เห็นคนที่น่าสงสัยเลย…
พวกเขาเดินมาถึงริมแม่น้ำจี้สุ่ย ก็เห็นกระถางดอกเบญจมาศมากมายวางเรียงรายอยู่บนที่โล่งแจ้ง มีผู้มาร่วมชมงานเดินไปมาอย่างคับคั่ง นอกจากนี้ในแม่น้ำยังมีคนพายเรือชื่นชมดอกเบญจมาศอยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นคนมาก ก็กังวลว่าจะพลัดหลงกับเสวี่ยเจียเยว่ เขาจึงจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น และหากเดินมาถึงบริเวณที่มีคนพลุกพล่านมากขึ้น เขาก็โอบกอดแม่นางน้อยแน่น
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้คิดอะไรมากกับการที่เขาเป็นห่วงเธอขนาดนี้ และจูงมือเสวี่ยหยวนจิ้งเดินชมดอกเบญจมาศไปรอบๆ
ในเมื่อเป็นเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ก็ย่อมมีดอกเบญจมาศพันธุ์หายากมากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีคนขายดอกเบญจมาศตามข้างทาง เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงแท่นวางดอกไม้ว่างเปล่าในห้องของเสวี่ยหยวนจิ้ง จึงตั้งใจจะซื้อดอกเบญจมาศสีม่วงสักกระถางกลับไปที่เรือน
จากนั้นก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งสวมชุดที่เธอขอให้ป้าหยางนำไปมอบให้เหล่าคุณหนูกับฮูหยินก่อนหน้านี้ และมีเด็กสาววัยเดียวกันกำลังห้อมล้อมพูดคุยกับนาง เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้และตั้งใจฟัง ก็ได้ยินเด็กสาวหลายคนเอ่ยถามแม่นางน้อยผู้นั้นว่านางตัดชุดนี้ที่ร้านใด นางจึงกระซิบตอบไปว่าได้มาจากร้านซู่ยวี่เซวียน