หนึ่งร้อยเก้า
ค้นพบความลับ
เมื่อลู่ลี่เซวียนเอ่ยถาม เถ้าแก่ลู่ก็เล่าถึงบทสนทนาระหว่างเขากับเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่นี้
หลังจากฟังจบลู่ลี่เซวียนก็ตะลึงงันทันที ก่อนจะพึมพำออกมา “นางช่างกล้าหาญจริงๆ”
เขาชื่นชมเสวี่ยเจียเยว่ ชอบใบหน้าอันงดงาม รอยยิ้มแสนสดใส และนิสัยร่าเริงอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขาได้มองแม่นางน้อยผู้นั้น ก็มักจะรู้สึกว่ามีกวางน้อยกำลังวิ่งชนหัวใจของตนก็ไม่ปาน ใบหน้าของเขาจะร้อนผ่าวและมีคำพูดบางคำอยากจะเอ่ยออกไป แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดได้ ยามนี้เมื่อรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่มาเจรจาเรื่องการค้ากับบิดาของเขา…
ลู่ลี่เซวียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยต่อ “ท่านพ่อ หากข้าคำนวณไม่ผิด แม้ว่าท่านจะลดราคาผ้าให้แม่นางเสวี่ยน้อยกว่าราคาตลาดสองส่วน แต่พวกเราก็ยังได้กำไรอยู่ดีไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดท่านไม่เห็นด้วยกับนางเล่า”
ขณะนี้เถ้าแก่ลู่ปิดร้านเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็หันไปยกมืออวบใหญ่ตบไหล่ลู่ลี่เซวียนเบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเห็นว่าแม่นางเสวี่ยเป็นน้องสาวของสหายเจ้า ถึงได้อยากให้ข้าตกลงร่วมทำการค้ากับนาง หรือว่าเจ้าถูกใจนางเข้าแล้ว และอยากได้นางมาเป็นภรรยาของเจ้า จึงอยากนำเรื่องนี้ไปเอาใจนาง”
ลู่ลี่เซวียนได้ยินเช่นนั้นหัวใจที่เพิ่งเต้นเป็นปกติก็กลับมาเต้นรัวอีกครั้ง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นทุกขณะ เขาเพียงก้มหน้าลงและเอ่ยเสียงเบา
“ท่านพ่อ ท่าน… ท่านพูดอันใดขอรับ กลับ… กลับเรือนไปแล้วข้าจะฟ้องท่านแม่”
“ต่อให้เจ้าฟ้องแม่ ข้าก็หาได้กลัวไม่” เถ้าแก่ลู่ยิ้มจนดวงตากลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“แม่นางเสวี่ยผู้นั้นมีคุณสมบัติดีมากจริงๆ ใบหน้าของนางไม่เพียงงดงามเท่านั้น แต่ท่าทางยังสุขุมซึ่งหาได้ยากในเด็กวัยเท่านี้ เจรจาการค้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะประหม่าเลยสักนิด หากพูดถึงเรื่องคำพูดคำจาก็ถูกต้องตามหลักการ ในภายภาคหน้านางต้องทำกิจการให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน ข้ากับแม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นลูกชายคนเดียว แต่เจ้าไม่ชอบทำการค้า เอาแต่เล่าเรียนเท่านั้น
“แต่ถึงอย่างไรร้านของตระกูลเราก็ต้องมีผู้มารับช่วงต่อ ข้าว่าแม่นางเสวี่ยผู้นั้นก็ไม่เลว อีกอย่าง… หากเป็นตามที่เจ้ากล่าวมา พี่ชายของนางจะต้องกลายเป็นขุนนางที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน หากตอนนั้นเจ้าได้เป็นน้องเขยของเขา เขาจะไม่ช่วยเจ้าในเรื่องตำแหน่งขุนนางหรือ”
เถ้าแก่ลู่คิดว่าการแต่งงานระหว่างบุตรชายของตนกับเสวี่ยเจียเยว่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ไม่น้อย จนอยากจะเชิญแม่สื่อไปสู่ขอฝ่ายหญิงถึงเรือนตอนนี้เลย
“มีพี่ชายเป็นคนเช่นนั้น ตัวนางเองจึงเป็นคนเช่นนั้นด้วย ต่อไปคนที่จะเข้าไปสู่ขอนางไม่ต่อแถวยาวเหยียดจนเลยไปถึงถนนใหญ่เลยหรือ ไม่ได้ ข้าต้องฉวยโอกาสตอนที่พี่ชายของนางยังไม่เป็นขุนนาง ขอหมั้นหมายนางให้เจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้”
เขาพูดพลางเดินมุ่งหน้าไปตามทางที่จะกลับเรือน “พวกเรารีบกลับไปบอกเรื่องนี้กับแม่ของเจ้าเถอะ ให้นางเป็นคนไปสู่ขอแม่นางเสวี่ยที่เรือนในวันพรุ่งนี้”
ยามนี้หัวใจของลู่ลี่เซวียนเต้นรัวเร็วจนกลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก ใบหน้าที่เดิมทีแดงอยู่แล้วก็แดงขึ้นอีกราวกับจะมีเลือดหยดออกมาก็ไม่ปาน
เขาจับมือบิดาเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ท่านพูดอันใดขอรับ แม่นางเสวี่ยเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว แล้วข้า… ข้าก็ยังเรียนอยู่นะขอรับ ยังไม่ได้สอบซิ่วฉายด้วยซ้ำ ท่าน… ท่านจะเจรจาสู่ขอภรรยาให้ข้าแล้วหรือขอรับ”
“เจ้าเด็กโง่” เถ้าแก่ลู่มองบุตรชายด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนนิสัยขี้อาย และตอนนี้เจ้ากำลังเขินอายอยู่ใช่หรือไม่ แต่ถ้ารอให้แม่นางเสวี่ยโตขึ้น และพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก เจ้าคิดว่าถึงตอนนั้นจะได้แต่งงานกับนางหรือ คงถูกคนอื่นแย่งชิงไปก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเราต้องชิงสู่ขอหมั้นหมายนางเอาไว้ล่วงหน้า ส่วนเรื่องที่เจ้ายังไม่ได้สอบซิ่วฉายนั้น มันเกี่ยวอันใดกับการหมั้นหมายของเจ้า หรือหมั้นแล้วเจ้าจะสอบไม่ได้”
ใบหน้าของลู่ลี่เซวียนแดงเรื่อ เขาก้มหน้าลงพลางเอ่ย “ท่านพ่อ ท่านไม่รู้อันใด คราว… คราวที่แล้ว เจี่ยจื้อเจ๋อลูกชายของตระกูลทหารเคยเอ่ยว่าอยากเป็นน้องเขยของเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ถูกเขาตอบปฏิเสธ ท่านคิดว่าตระกูลของพวกเราสู้ตระกูลเจี่ยได้หรือขอรับ เขาจะต้องไม่ยอมรับการสู่ขอครั้งนี้อย่างแน่นอน อีกอย่าง… ข้าเป็นสหายของเขา เรียนด้วยกันทุกวัน หากเขาปฏิเสธ ข้า… ต่อไปข้าจะมองหน้าเขาติดได้เยี่ยงไรขอรับ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
ถ้อยคำที่เขากล่าวมานั้นฟังดูสมเหตุสมผล เถ้าแก่ลู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้อกังวลนี้ของเจ้าก็สมเหตุสมผลเช่นกัน”
จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจระคนเสียดาย “แต่เมื่อครู่นี้แม่นางเสวี่ยผู้นั้นถือได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถในการทำการค้า ใจข้าอยากได้นางมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ อีกอย่าง… ไม่แน่ว่าพี่ชายของนางอาจจะสอบได้ตำแหน่งจอหงวน[1] ก็เป็นได้ หากได้เกี่ยวดองกับครอบครัวที่มีคนสอบได้ตำแหน่งจอหงวน หน้าของพ่อจะบานขนาดไหน”
“ท่าน… ท่านรอข้าสอบซิ่วฉายแล้วค่อยหาแม่สื่อไปเจรจาสู่ขอจะดีกว่านะขอรับ” ศีรษะของลู่ลี่เซวียนยิ่งก้มต่ำลงทุกขณะ น้ำเสียงของเขาก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าแดงก่ำราวกับจะลุกไหม้ได้ก็ไม่ปาน
“พอ… พอถึงตอนนั้น หากข้ามีตำแหน่งแล้ว ข้า… ข้าอยากขอนางแต่งงานด้วยใจจริง หยวนจิ้งจะต้องเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ขอรับ”
เถ้าแก่ลู่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดถูก หลังปีใหม่นี้เจ้าต้องสอบซิ่วฉายแล้ว หลังจากเจ้าสอบเสร็จ ข้าค่อยเชิญแม่สื่อไปสู่ขอก็แล้วกัน พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ขายผ้าให้นางในราคาน้อยกว่าท้องตลาดสองส่วนเลย สามส่วนก็ยังไม่มีปัญหา”
เมื่อเห็นว่าศีรษะของลู่ลี่เซวียนก้มต่ำลงจวนจะถึงหน้าอกเต็มที ใบหน้าก็แดงก่ำ เถ้าแก่ลู่จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดเจ้าถึงได้เกิดมาขี้อายถึงเพียงนี้ ยังไม่ได้เจรจาสู่ขอภรรยาเจ้าก็เขินอายจนหน้าแดงขนาดนี้ได้อย่างไร ข้าว่าแม่นางเสวี่ยผู้นั้นใจกว้างไม่น้อย หากเจ้าได้แต่งงานกับนาง นางจะไม่เป็นฝ่ายหาเงินให้เจ้ากินเจ้าใช้หรือ เมื่อถึงตอนนั้นความเป็นสามีของเจ้าจะเอาไว้ตรงไหนหากอยู่ต่อหน้านาง”
กระนั้นเขาก็พอใจในตัวเสวี่ยเจียเยว่เป็นอย่างมาก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีก “แต่คนทำการค้าต้องใจกว้างอย่างนางถึงจะดี แม้เจ้าจะมีอำนาจของการเป็นสามีต่อหน้านางหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ข้าเห็นว่าพี่ชายของนางทำดีกับนางอยู่ไม่น้อย ตอนลูกจ้างในร้านยกน้ำชาให้ขณะที่แม่นางเสวี่ยจะเอื้อมมือไปรับถ้วยชา พี่ชายของนางเห็นว่าน้ำชานั้นร้อนอยู่มาก เขาก็รับไปเป่าให้หายเย็นก่อนส่งให้นาง ตอนที่แม่นางเสวี่ยพูดคุยกับข้า เขาไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะนางสักคำ เพียงมองนางด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาเท่านั้น มีพี่ชายคอยดูแลน้องสาวเช่นนี้ ในภายภาคหน้าเจ้าจะยังรังแกนางได้อีกหรือ หากนางไม่รังแกเจ้าก็ถือว่าบุญโขแล้ว”
เมื่อลู่ลี่เซวียนได้ยินเช่นนั้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นรีบเอ่ยทันที “ข้า… ข้าไม่มีทางรังแกนางอย่างแน่นอน ข้า… ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี”
ราวกับว่าเขาต้องการยืนยันกับใครบางคน แม้เสียงนั้นจะเบา… ทว่าหนักแน่นยิ่งนัก
เถ้าแก่ลู่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะตบศีรษะลูกชายเบาๆ “เอาละ เจ้าลูกโง่ ข้าไม่ใช่พี่ชายของนาง เจ้าจะมายืนยันกับข้าที่นี่ได้อย่างไร”
ลู่ลี่เซวียนยกมือขึ้นลูบศีรษะของตนพลางยิ้มแย้มด้วยความเหนียมอาย ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยถามบิดาอีกครั้ง “ท่านพ่อ ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่แม่นางเสวี่ยพูดกับท่านเมื่อครู่ ท่านก็ยอมตกลงแล้วใช่หรือไม่ ร้านตัดชุดของนางยังเปิดกิจการได้ไม่นานนัก เกรงว่าเงินในมือต้องขัดสนอยู่ไม่น้อย ท่านช่วยนางสักครั้ง ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ร้านตัดชุดของนางอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้นะขอรับ”
เถ้าแก่ลู่เพียงยิ้มแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะจูงมือลูกชายเดินมุ่งหน้ากลับเรือน เมื่อลู่ลี่เซวียนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาถึงได้กล่าวตอบ
“แม้ว่าพ่อของเจ้าจะพอใจในตัวนางและนึกอยากให้มาเป็นสะใภ้ แต่ตราบใดที่นางยังไม่ได้แต่งกับเจ้า นางก็ยังไม่ใช่คนของตระกูลลู่ แม้แต่พี่น้องยังต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องนี้ ค่อยว่ากันอีกทีเถิด”
ลู่ลี่เซวียนไม่รู้จะพูดเช่นไร จึงทำได้เพียงเดินตามบิดาไปอย่างงุนงง
ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งก็เพิ่งเดินเข้าเรือน
…
เสี่ยวฉานทำกับข้าวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นพวกเขากลับมา นางก็เอ่ยทักทายก่อนจะกลับเรือนของตน
เสวี่ยเจียเยว่ยกกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะในห้องโถง จากนั้นจึงนั่งลงตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งและเริ่มกิน
เป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งไม่พอใจเล็กน้อยที่เมื่อครู่นี้พบลู่ลี่เซวียนที่หน้าร้านรุ่ยซิงหลง ตอนนี้เขาจึงอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
ในตอนนั้นสายตาของลู่ลี่เซวียนมองไปที่เสวี่ยเจียเยว่…
เขาช้อนตามองก็เห็นว่าแม่นางน้อยกำลังจดจ่ออยู่กับการกินข้าว
ว่ากันว่าหญิงงามจะดูงดงามยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียนและอยู่ในสายตาของคนรัก ขณะนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ พลางคิดว่าใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ไม่มีหญิงใดสามารถเทียบได้ ยามนี้มีบุรุษต้องการสู่ขอแม่นางน้อยต่อหน้าเขาอย่างต่อเนื่อง หากโตกว่านี้อีกหน่อย จะไม่มีคนมาสู่ขอมากขึ้นหรือ อีกอย่าง… หากเสวี่ยเจียเยว่ได้พบกับคนมีอำนาจจะเป็นเช่นไร ตอนนี้เขาเป็นเพียงบุรุษสามัญชน ไม่มีอำนาจในมือแม้แต่น้อย จะสามารถปกป้องดูแลคนตรงหน้าได้เยี่ยงไร
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงอยากให้การสอบซิ่วฉายเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ และมะรืนนี้ก็เป็นการสอบตำแหน่งจวี่เหริน[2] และวันถัดไปก็เป็นการสอบตำแหน่งจิ้นซื่อ[3] เมื่อเขามีอำนาจอยู่ในมือแล้ว ถึงจะสามารถปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ได้ ชายอื่นก็จะไม่กล้าปรารถนาในตัวแม่นางผู้นี้อีกต่อไป
เสวี่ยเจียเยว่กินข้าวหมดไปหนึ่งชามแล้ว หลังจากเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่กินข้าว เอาแต่จ้องเธอนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เธอเอ่ยถามเขาด้วยความสงสัย “ท่านพี่ ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่กินข้าวเล่า”
ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ได้สติกลับมา และรีบเอ่ยตอบไป “ข้าไม่ได้คิดสิ่งใด”
จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินข้าว หลังจากกินเสร็จแล้วทั้งสองคนจึงล้างหน้าบ้วนปาก และเข้าไปพักผ่อนในห้องของตน
ฝนโปรยปรายลงมาในช่วงกลางดึก สาดกระทบหลังคาเรือนและใบการบูรในลานเสียงดังเปาะแปะ เสวี่ยหยวนจิ้งฝันเหมือนคืนนั้นอีกครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองมุ้งด้านบนอย่างตะลึงงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นหากางเกงสะอาดมาสวมแทนกางเกงตัวเมื่อคืน จากนั้นจึงรีบนำกางเกงตัวนั้นไปซักก่อนที่เสวี่ยเจียเยว่จะตื่นขึ้นมา
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่กะพริบตาปริบๆ มองกางเกงที่ตากอยู่บนเสาไม้ไผ่ในเรือน
ช่วงนี้เธอเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มเปลี่ยนกางเกงนอนบ่อยกว่าเมื่อก่อน และทุกครั้งเขาก็เป็นคนซักด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้เธอหรือเสี่ยวฉานซักให้ เมื่อคิดว่าตอนนี้เขาอายุสิบเจ็ดปีแล้ว กำลังเป็นช่วงเจริญพันธุ์… เธอก็อดยิ้มไม่ได้
ดูเหมือนว่าพี่ชายของเธอจะรู้เรื่องทางโลกแล้ว แต่ก็ยังนับว่าช้าเกินไป เพราะในยุคนี้บุรุษอายุสิบเจ็ดปีก็ให้กำเนิดบุตรไปหลายคนแล้ว แต่เขาเพิ่งรู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าแม่นางคนใดที่เขาฝันถึงเมื่อคืน แต่สำนักศึกษาไท่ชูไม่มีผู้เรียนที่เป็นสตรี เป็นเพราะเขาได้พบพี่สาวน้องสาวของสหายในสำนักศึกษา หรือว่านางเอกคนที่ห้าจะปรากฏตัวแล้ว
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังสงสัยอย่างหนัก เสวี่ยหยวนจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเธอ
พอเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายมองไปยังกางเกงที่ตากอยู่บนเสาไม้ไผ่ เขาก็ตื่นตระหนกและรีบเอ่ยถามทันที “อยู่ดีๆ เจ้ายิ้มทำไม ยังยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้อีก”
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเย้าแหย่ แต่ยังคงปฏิเสธ “ข้ายิ้มเสียเมื่อไร”
เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้เพียงว่าตอนนี้ท่าทางของตนดูเลิ่กลั่กไม่น้อย อีกทั้งยังกระวนกระวายใจและรู้สึกอับอาย เพราะกลัวเสวี่ยเจียเยว่จะรู้ว่าตนคือคนที่อยู่ในฝันของเขาเมื่อคืน
เขารู้สึกว่าตัวเองช่างน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของเขาจึงทะมึนลง กระนั้นท่าทางยังดูลุกลี้ลุกลนไม่น้อย
“เจ้ายังบอกว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มอีกหรือ เห็นอยู่ว่าเจ้ากำลังยิ้ม บอกข้ามา เจ้ายิ้มเพราะอะไรกันแน่”
[1] ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งของการสอบจิ้นซื่อ
[2] ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล
[3] ผู้ที่สอบผ่านการคัดเลือกขั้นสูงสุด