หนึ่งร้อยสิบแปด
พี่จิ้งแกล้งน้อง
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่ชอบความรู้สึกเหมือนถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกักขังตลอดเวลาเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นห่วงความรู้สึกของชายหนุ่ม เพราะเห็นเขาเป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง จึงไม่เคยกระด้างกระเดื่องกับเขา ต่อให้คำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งจะทำให้เธออึดอัด แต่เธอก็เอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้มหวาน
“ท่านพี่ ข้าอายุสิบสามปีแล้วนะเจ้าคะ ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว หากไปไหนมาไหนคนเดียวท่านจะไม่วางใจได้อย่างไร หรือท่านกังวลว่าจะมีใครมาทุบตีข้าและลักพาตัวข้าไป”
เสวี่ยหยวนจิ้งแค่นเสียงออกมาเบาๆ เขาไม่ได้กลัวว่าใครจะมาลักพาตัวเสวี่ยเจียเยว่ แต่เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับตันหงอี้และลู่ลี่เซวียนต่างหาก
ปีที่ผ่านมาตันหงอี้กับน้องสาวมาก่อความวุ่นวายที่ร้านซู่ยวี่เซวียน แล้วจู่ๆ ตันหงอี้ก็เดินเหม่อลอยออกไปจากร้าน สองวันต่อจากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ทำตามคำสั่งของเสวี่ยเจียเยว่ โดยนำก้อนทองไปฝากไว้ที่สำนักศึกษาถัวเยว่เพื่อคืนให้แก่คุณชายผู้นั้น ทว่าขณะที่เขากำลังจะเดินกลับ ตันหงอี้ก็ร้องเรียกเอาไว้
เขารู้มาตลอดว่าตันหงอี้เป็นคนกล้า แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่าชอบเสวี่ยเจียเยว่ และอยากสู่ขอเด็กสาวไปเป็นภรรยา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็แผ่รังสีเย็นชาออกมา และหันกลับไปมองตันหงอี้ในทันที
แต่ตันหงอี้ไม่ใช่เนี่ยหงเทาหรือเจี่ยจื้อเจ๋อ แม้จะเห็นว่ายามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาคมกริบและสีหน้าดุดันยิ่งนัก ทว่าในใจเขากลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย
เขารู้ดีว่าผู้เป็นพี่ชายก็เปรียบเสมือนบิดา ถึงแม้ในใจของเขาจะไม่อยากผูกมิตรกับเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ถ้าเขาต้องการสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ก็ต้องก้มหน้ายอมรับอีกฝ่ายในฐานะพี่ชายของภรรยา ดังนั้นต่อให้เสวี่ยหยวนจิ้งจะมีท่าทีเย็นชาหรือทำกับเขาอย่างไร เขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธลงไป
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า แม้ในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งจะเดือดดาลเพียงใดก็ไม่ทำอะไรเขา เพียงยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
“เจ้าฝันไปเถอะ ข้าไม่มีทางยอมให้นางแต่งงานกับเจ้าแน่นอน”
เมื่อกล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เสวี่ยหยวนจิ้งมิได้เอ่ยเรื่องนี้กับเสวี่ยเจียเยว่แม้แต่คำเดียว และเขาก็ป้องกันอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เด็กสาวมีโอกาสพบกับตันหงอี้ แต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ จะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ในใจของเขาไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ยังมีลู่ลี่เซวียนอีกคน ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ตัดสินใจร่วมทำการค้ากับเถ้าแก่ลู่ ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ลู่คิดอะไรอยู่ หากมีเรื่องเจรจากับเสวี่ยเจียเยว่ เขาจะไม่มาด้วยตัวเองและไม่ยอมสั่งให้บ่าวรับใช้มาแทน กลับให้ลู่ลี่เซวียนมาแทนทุกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้ลู่ลี่เซวียนก็มีโอกาสได้พบหน้าเสวี่ยเจียเยว่มากขึ้น
ลู่ลี่เซวียนเดิมทีเป็นคนอ่อนโยนและไม่สู้คน กระทั่งขี้อาย แต่เสวี่ยเจียเยว่ดูเหมือนจะชอบพูดคุยกับคนเช่นนี้ ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงมักจะเห็นเด็กสาวนั่งพูดคุยและหัวเราะกับชายหนุ่มผู้นั้น ตอนที่ลู่ลี่เซวียนสอบซิ่วฉายผ่าน เสวี่ยเจียเยว่ก็ตั้งใจไปแสดงความยินดี แต่เขาที่สอบได้อันดับหนึ่งของทั้งสามสนามสอบกลับไม่เห็นเด็กสาวมาแสดงความยินดีด้วยเลย…
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลู่ลี่เซวียนจะมีความสำคัญในใจของเสวี่ยเจียเยว่มากกว่าเขาหรือไม่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของตนดวงนี้เต็มไปด้วยน้ำส้มสายชูที่หมักกว่าร้อยปีก็ไม่ปาน เปรี้ยวจนใกล้จะเป็นฟอง ช่างทรมานยิ่งนัก
เมื่อมองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ เขาก็เห็นแม่นางน้อยกำลังเอื้อมมือไปเลิกม่านขึ้น และหันหน้ามองออกไปข้างนอกเพื่อชมทิวทัศน์
ช่วงเดือนห้าเป็นเวลาที่ดอกไม้บาน ข้างถนนเต็มไปด้วยต้นหวยชู่ และยามนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่ง เมื่อลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างรถม้า ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกหวยชู่ด้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งมองไปที่ร่างบอบบางและใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่
เด็กสาวอายุสิบสามปีงดงามยิ่งนัก ราวกับดอกหวยชู่สีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังบานสะพรั่งอยู่บนกิ่งก้าน อ่อนโยนและงดงามจนคนมองไม่อาจละสายตาไปไหนได้
ทั้งที่อยู่กับเสวี่ยเจียเยว่ทั้งวัน และคิดถึงเด็กสาวทั้งคืน แต่เขากลับต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในหัวใจ แล้วทนดูแม่นางน้อยพูดคุยและหัวเราะกับชายอื่น ทั้งยังต้องอดทนกับชายที่เข้ามาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่อีก…
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจดี ที่คนเหล่านั้นต้องการแต่งงานกับเสวี่ยเจียเยว่ เพราะคิดว่าเขาเป็นพี่ชายของเด็กสาว พี่ชายก็เหมือนบิดา หากอยากสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ แต่ถ้าเขาไม่ตกลงแล้วการแต่งงานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตันหงอี้ก็คงคิดเหมือนคนอื่นๆ จึงปฏิบัติกับเขาดีกว่าเมื่อก่อนมาก…
หากเสวี่ยเจียเยว่เป็นน้องสาวที่แท้จริงของเขา หรือเขาไม่เคยมีความคิดเป็นอื่นกับเด็กสาว เมื่อเห็นชายอื่นมาสู่ขอแม่นางน้อย เขาย่อมดีใจมิใช่น้อย และเต็มใจให้เจ้าตัวเลือกสามีดีๆ สักคนแล้ว แต่ตอนนี้…
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของเขาเปรี้ยวจนกลายเป็นขม รู้สึกราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับเท้าของตัวเอง
เขาไม่ควรพูดต่อหน้าเสวี่ยเจียเยว่ว่าจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนน้องสาว หากเป็นเหมือนที่ชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงกล่าว เขาต้องปฏิบัติต่อเสวี่ยเจียเยว่เหมือนว่าที่ภรรยาของตน และประกาศต่อหน้าทุกคนด้วย เพื่อไม่ต้องมากังวลกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
หลังจากที่เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆ จู่ๆ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ลุกไปนั่งข้างเสวี่ยเจียเยว่
พื้นที่ในรถม้านี้มีจำกัด เมื่อยามนี้เขาลุกไปนั่งฝั่งเดียวกับเด็กสาว ร่างกายของทั้งสองจึงสัมผัสกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่ประหลาดใจยิ่งนัก เธอหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งในทันที และแววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัย
เสวี่ยหยวนจิ้งทำเป็นมองไม่เห็นกิริยาของอีกฝ่าย ก่อนจะมองออกไปด้านนอก และกล่าวออกมาด้วยท่าทีสงบ
“เมื่อครู่ข้าได้กลิ่นดอกหวยชู่ ข้างทางมีดอกหวยชู่บานสะพรั่งอยู่ใช่หรือไม่”
เอ่ยราวกับเขาออกมาข้างนอกเพื่อดูว่ามีต้นหวยชู่หรือไม่…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สงสัยอันใดต่อ เธอชี้ไปยังทางที่รถม้าเพิ่งผ่านมาเมื่อสักครู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ท่านดูนั่น ตรงนั้นมีดอกหวยชู่บานเต็มเลยเจ้าค่ะ สีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ อีกทั้งกลิ่นยังหอมมากด้วย เมื่อครู่นี้ท่านเองก็ได้กลิ่นเช่นกันใช่หรือไม่ หอมหรือไม่เจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งฉวยโอกาสยามที่เด็กสาวไม่ทันได้สังเกต ก้มลงสูดดมเส้นผมของอีกฝ่ายและกล่าวเสียงเบา “อือ หอมจริงๆ”
ทันใดนั้นรถม้าก็สั่นสะเทือน ทำให้ร่างของคนทั้งสองโยกคลอนไปมาตามจังหวะการสั่นไหว เสวี่ยหยวนจิ้งโอบไหล่เสวี่ยเจียเยว่เอาไว้และคว้าเข้ามาในอ้อมกอดของตน ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “นั่งดีๆ”
ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาเป่ารดติ่งหูกับพวงแก้มของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ ทำให้เธอรู้สึกคันยุบยิบบริเวณนั้น
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของเธอพลันร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบดิ้นออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม และนั่งตัวตรงพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น ทว่าหากมองดีๆ จะเห็นว่าใบหน้าราวหยกขาวของเธอแดงระเรื่อจางๆ
เดิมทีใบหน้าของเด็กสาวงดงามอยู่แล้ว เมื่อมีสีแดงเรื่อในยามนี้ ก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เจ้าตัวมากยิ่งขึ้น เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้มอง สติของเขาก็หลุดลอยออกไปไกลแสนไกล อยากจะโผเข้าไปจูบแก้มที่แดงเรื่อของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ เสียให้ได้
เขาเอื้อมมือไปกุมมือทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้แน่น และเอ่ยเรียกเสียงเบา “เยว่เอ๋อร์”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ช่วงที่ผ่านมาเธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งนับวันยิ่งสนิทกันมากเกินกว่าคำว่าพี่น้อง แต่ปลอบใจตัวเองอยู่หลายครั้งว่าเขาเพียงรักและอยากทะนุถนอมเธอในฐานะน้องสาวเท่านั้น ทว่าตอนนี้เธอเริ่มอดคิดไม่ได้แล้ว…
ขณะที่ในใจของเธอกำลังจัดการกับภาพที่คลุมเครือในตอนนี้ ก็โชคดีที่รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นได้ยินเสียงคนขับรถม้าดังขึ้นมาจากด้านนอก
“คุณชายเสวี่ย แม่นางเสวี่ย ถึงแล้วขอรับ”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็รีบชักมือออกจากสองมือที่ร้อนผ่าวของเสวี่ยหยวนจิ้งพร้อมกับเงยหน้ากล่าว
“ท่านพี่ ถึงแล้วเจ้าค่ะ รีบลงจากรถม้ากันเถอะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งมิได้กล่าวคำใด ชายหนุ่มเพียงมองเด็กสาวด้วยแววตาลึกล้ำครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้นทำให้เสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัว จึงได้แต่หลุบตาลงและไม่กล้ามองเขาอีก
จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเสวี่ยหยวนจิ้งถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเห็นเส้นแสงลอดผ่านเข้ามา ที่แท้ชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปเลิกม่านขึ้นแล้วลงจากรถม้าไปนั่นเอง
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกนั้น เธอก็เห็นมือเรียวยาวขาวเนียนยื่นเข้ามา และในเวลาเดียวกันเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้น
“มานี่”
เขาคิดจะประคองเด็กสาวลงมาจากรถม้า
หากเป็นเช่นในอดีต เสวี่ยเจียเยว่คงไม่ลังเลที่จะยื่นมือออกไปและยอมให้เขาประคองลงจากรถม้า แต่ช่วงหลังๆ มานี้เสวี่ยหยวนจิ้งทำตัวใกล้ชิดกับเธอมากกว่าเมื่อก่อน นับวันยิ่งเกินคำว่าความสัมพันธ์แบบพี่น้อง และเมื่อครู่ที่อยู่ในรถม้าก็เพิ่งมีเหตุการณ์คลุมเครือเกิดขึ้น ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่อยากให้เขาช่วยประคอง
ในขณะที่เธอกำลังจะหาข้ออ้างปฏิเสธ เพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัดระหว่างพวกเขาทั้งสอง ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ทำราวกับหมดความอดทน ชายหนุ่มไม่รอให้เธอเป็นฝ่ายยื่นมือไปจับมือเขา แต่เอื้อมมือมาจับมือเธอเอง
เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ว่าฝ่ามือของเขานั้นร้อนผ่าว ราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจจะร้อนจนลวกมือของเธอ ทำให้เธอตกใจจนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าก็เริ่มซีดเผือด
จากนั้นเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนเขากำลังหัวเราะเสียงต่ำอยู่
“ยังไม่ลงมาอีกหรือ จะให้ข้าขึ้นไปอุ้มเจ้าลงมาใช่หรือไม่”
นี่เขากำลังแกล้งเธออยู่หรือ
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกได้ทันทีว่าใบหน้าของตนเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครา จึงรีบจับมือของเขาลงจากรถม้า
โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ใช่คนได้คืบจะเอาศอก เมื่อเห็นว่าสมควรแล้วก็พอ พอเธอลงมาจากรถม้าเขาก็ปล่อยมือทันที และหันไปสั่งคนขับรถม้าให้รอพวกเขาอยู่ตรงนี้
เมื่อชายผู้นั้นตอบตกลง เสวี่ยหยวนจิ้งก็หันกลับไปเรียกเสวี่ยเจียเยว่ “เยว่เอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่ตอบรับเสียงเบา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังเขาไป
ถึงแม้ว่าเธอจะก้มหน้า ทว่าก็แอบเงยหน้าขึ้นมาอยู่บ่อยๆ เธอเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดินอยู่ข้างหน้า จากนั้นจึงก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
ยามนี้เธอรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
เสวี่ยหยวนจิ้งกลั่นแกล้งเพื่อทำให้เธอเข้าใจผิดใช่หรือไม่ เธอควรจะเอ่ยปากถามเขาตรงๆ ดีไหม หากถามแล้วชายหนุ่มตอบว่าเขาไม่ได้แกล้ง ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคิดไปเอง เธอจะทำอย่างไร ส่วนเรื่องอายไม่อายนั้นเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือเสวี่ยหยวนจิ้งมีความคิดเป็นอื่นกับเธอหรือไม่ เขาจึงค่อยๆ ทำตัวแปลกไป
เธอรู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเย็นชากับสตรีทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่มีใจให้เขา สามารถใช้คำว่าเขาแทบไม่เหลียวมองเลยก็ได้
เสวี่ยเจียเยว่จมจ่อมอยู่กับความคิดของตน โดยไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่เบื้องหน้าหยุดเดินและหันกลับมามองเธอ เธอเอาแต่เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งเขายังโอบไหล่เธอเอาไว้ด้วย
เสื้อผ้าสำหรับสวมในช่วงฤดูร้อนจะโปร่งบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นในขณะนี้แม้ว่าจะมีชุดคลุมสีเขียวของเสวี่ยหยวนจิ้งกั้นไว้ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็สัมผัสได้ถึงผิวอันอบอุ่นของเขา กระทั่งได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอตรงหน้าอกข้างซ้ายของชายหนุ่ม
ในตอนแรกสมองของเธอยังคงว่างเปล่า สติจึงยังไม่กลับมา แต่เมื่อได้สติแล้ว หัวใจของเธอก็เต้นรัวราวกับมีใครตีกลองอยู่ด้านใน จนต้องรีบดิ้นออกจากอ้อมกอดของเสวี่ยหยวนจิ้ง
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมีกำลังมากนัก ตอนนี้สองแขนของเขากอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา หากเขาไม่เต็มใจจะปล่อย เธอจะดิ้นหลุดออกมาได้อย่างไร
ในที่สุดใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็แดงเรื่อ ทั้งอายและโกรธจนอดกระทืบเท้าเร่าๆ ไม่ได้ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือกล่าวออกมา
“ท่านพี่ ปล่อยข้าเจ้าค่ะ”