หนึ่งร้อยยี่สิบสาม
ความขัดแย้งเล็กๆ
ตั้งแต่ได้พบกันมา ตันหงอี้ไม่เคยกลัวเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ชั่วขณะนั้นในใจของเขากลับสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ กระนั้นเขาก็ยังทำใจดีสู้เสือเอ่ยถาม
“เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าจะทำหน้าดุร้ายไปทำไมกัน ไม่เห็นหรือว่าเยว่เอ๋อร์ตกใจแล้ว”
เมื่อชายหนุ่มกล่าวประโยคนี้จบ เสวี่ยเจียเยว่ก็หันไปมองเขาพลางคร่ำครวญในใจ
ด้วยนิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้ง…
ตันหงอี้ยังคิดว่าเธอตายไม่เร็วพอหรืออย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองตันหงอี้ด้วยแววตามืดทะมึนราวกับปลายมีด หากแววตาของเขามีรูปร่าง เกรงว่าตอนนี้ตันหงอี้คงถูกตัดจนขาดเป็นสองท่อนแล้ว
“เจ้าเรียกนางว่าเยว่เอ๋อร์ได้หรือ”
ช่างเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจจริงๆ ตันหงอี้นั้นคือคุณชายจากตระกูลร่ำรวย บิดาของเขากับคนในราชสำนักมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หากเสวี่ยหยวนจิ้งยั่วโทสะคุณชายผู้นี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
คิดได้ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงรีบตะโกนใส่เสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเธอเอ่ยเช่นนั้นออกไป ตันหงอี้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับดูไม่พอใจเท่าไรนัก
เสวี่ยเจียเยว่ถึงขั้นตะคอกใส่เขาเพื่อตันหงอี้เชียวหรือ ทั้งที่เมื่อก่อนเด็กสาวเอ่ยเสียงสูงต่อหน้าเขาแทบนับครั้งได้
เสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสได้ถึงไฟโทสะ นั่นคือไฟแห่งความหึงหวง อีกไม่กี่ลมหายใจมันก็จะแผดเผาหัวใจของเขา และจะเผาไหม้สติทั้งหมดของเขาจนหมดสิ้น
เขาไม่กล่าวคำใด ตาคู่นั้นเอาแต่จ้องมองเสวี่ยเจียเยว่เพียงคนเดียว
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ถูกเขามองเช่นนั้น เธอก็รีบก้มหน้าลงพร้อมกับประสานมือใช้นิ้วพันกันไปมาอย่างกลัดกลุ้ม
ส่วนตันหงอี้เห็นท่าทางหวาดกลัวของเด็กสาวแล้วย่อมสงสารจับใจ จึงรีบเอาตัวบังเบื้องหน้าแม่นางน้อย ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
“เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าคิดจะทำสิ่งใด เยว่เอ๋อร์ก็แค่พูดเพื่อข้าเท่านั้น เจ้าถึงกับต้องดุนางขนาดนี้ด้วยหรือ”
คำพูดของเขาเปรียบดั่งการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ เสวี่ยหยวนจิ้งกำมือแน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือเขาปูดโปนขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ไม่สนใจตันหงอี้อีก เพียงมองเสวี่ยเจียเยว่และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มานี่”
เสวี่ยเจียเยว่มักจะกล้าหาญเมื่ออยู่ต่อหน้าตันหงอี้ ไม่ว่าคำพูดใดเธอก็กล้าพูดออกมา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอกลับเกิดความหวาดกลัว ทว่าก็ยังมีความดื้อรั้นแฝงอยู่ด้วย
เขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้เธอไปหา ก่อนหน้านี้ก็จับเธอกดเข้ากับกำแพง ทั้งยังจูบโดยไม่ได้รับการยินยอมจากเธอ ไม่เพียงเท่านั้น ยังบอกให้เธอปฏิบัติกับเขาเหมือนสามี เขาคิดว่าพูดอะไรก็ต้องได้สิ่งนั้นอย่างนั้นหรือ เธอไม่ทำหรอก
เสวี่ยเจียเยว่ได้แต่ก้มหน้าและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกัดริมฝีปากล่างอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่ยอมขยับเท้าเด็ดขาด
แน่นอนว่าตันหงอี้ต้องพูดเพื่อเสวี่ยเจียเยว่ “เฮ้อ เสวี่ยหยวนจิ้ง วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป พี่ชายอย่างเจ้าใช้ได้ที่ไหน ถ้าเจ้าขุ่นเคืองก็มาลงที่ข้า เหตุใดต้องลงกับเยว่เอ๋อร์ด้วยเล่า”
เมื่อเขากล่าวจบก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก้าวเท้าตรงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายรุ้งก็ไม่ปาน
ตันหงอี้ตื่นตกใจในทันที สองเท้าของเขาแยกห่างออกจากกันเล็กน้อย เตรียมพร้อมรับการโจมตีจากอีกฝ่าย
แต่คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเดินผ่านเขาไป ก่อนจะจับแขนของเสวี่ยเจียเยว่แล้วลากตัวเด็กสาวไปอยู่ข้างกายของตน เมื่อเสวี่ยเจียเยว่จะขัดขืน ก็ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งโอบไหล่ให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของตน ในตอนนี้ต่อให้เด็กสาวดิ้นรนขัดขืนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้
การเคลื่อนไหวของเสวี่ยหยวนจิ้งลื่นไหลราวกับเมฆเหินน้ำไหล ตันหงอี้ที่อยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงตาค้างเลยทีเดียว
ใจหนึ่งเขาคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งสามารถทำเช่นนั้นกับสตรีได้ ช่างน่านับถือจริงๆ แต่อีกใจก็คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นกับเสวี่ยเจียเยว่ได้เยี่ยงไร ในเมื่อเด็กสาวคือน้องสาวของเขา
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกงุนงงไม่น้อย เพราะแม้ว่าเขากับตันอวี้เหอและตันอวี้ฉาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องกลับอยู่ในระดับที่แทบเรียกได้ว่าไม่ได้สนิทสนมกันสักนิด และเขาเองก็เคยเห็นพี่น้องทะเลาะตบตีกันอยู่บ้าง ทว่าความสัมพันธ์ของเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ในตอนนี้ คือเรื่องปกติหรือแปลกประหลาด
พอเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ขัดขืนอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบให้เสวี่ยหยวนจิ้งปฏิบัติเช่นนี้ ความเดือดดาลก็ปะทุขึ้นในใจของตันหงอี้ เขาเอื้อมมือไปเพื่อจะดึงเสวี่ยเจียเยว่ออกจากอ้อมกอดของเสวี่ยหยวนจิ้ง ขณะเดียวกันก็ตะคอกใส่ชายหนุ่ม
“ปล่อยนาง! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางไม่ชอบให้เจ้ากอดเช่นนี้”
แต่เมื่อเขายื่นมือออกไปก็ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งปัดออกทันที แม้แต่จะสัมผัสเสวี่ยเจียเยว่ก็ทำไม่ได้
เป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงเดือดดาลหลังจากได้ยินตันหงอี้เรียกเสวี่ยเจียเยว่ว่า ‘เยว่เอ๋อร์’เขาจึงแค่นเสียงเย็นชาพร้อมกับยื่นมือออกไปอย่างกะทันหันราวกับสายฟ้าแลบ จับแขนขวาของตันหงอี้เอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะใช้แรงดึงลงไปด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นคนทั้งสามได้ยินเพียงเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น เพราะแขนของตันหงอี้ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งดึงลงด้านล่างอย่างผิดธรรมชาติจนข้อต่อกระดูกหลุด ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของเจ้าตัว
ท่ามกลางเสียงโอดครวญนั้น เสียงอันเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้น “เจ้ามีสิทธิ์อันใดที่ยื่นมือมาสอดเรื่องระหว่างข้ากับเยว่เอ๋อร์ อีกอย่าง… ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกนางว่าเยว่เอ๋อร์ได้ ครั้งนี้ข้าเพียงสั่งสอนเจ้า หากครั้งหน้ายังมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก คงไม่ใช่แค่ข้อต่อกระดูกหลุดเพียงเท่านี้แน่”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น เขาก็โอบกอดเสวี่ยเจียเยว่เดินไปข้างหน้า
แม้ว่าตันหงอี้จะเจ็บปวดแขนขวาเพียงใด แต่เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ทำสีหน้าราวกับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งบีบบังคับ เขาก็อดทนต่อความเจ็บปวดแล้วร้องตะโกนออกไปด้วยใบหน้าซีดเซียว “เสวี่ยหยวนจิ้ง ปล่อยนาง!”
ในขณะที่กล่าวนั้น เขาพุ่งตัวไปโดยคิดจะแย่งชิงตัวเสวี่ยเจียเยว่ออกมาจากอ้อมกอดของเสวี่ยหยวนจิ้ง
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกดไว้ในอ้อมกอดของเขาจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ และใบหน้าก็ถูกแขนเสื้อของเขาบดบังจึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่บทสนทนาของตันหงอี้กับเขานั้น เธอได้ยินทุกคำ
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดือดดาลแล้วจริงๆ เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน ทว่าตันหงอี้กลับยังวุ่นวายไม่เลิก การทำเช่นนั้นไม่เท่ากับการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟหรือ หากเขาก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น สถานการณ์คงยากจะควบคุม
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้ง จึงใจสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าเขาจะโมโหจนก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก จึงพยายามโผล่ศีรษะออกมาจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม แล้วพูดกับตันหงอี้ที่กำลังพุ่งเข้ามา
“ขอร้องละ เจ้ารีบกลับไปเถอะ นี่มันเรื่องระหว่างข้ากับพี่ชายข้า เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลย ยิ่งเจ้ายุ่งมากเท่าไรมันก็ยิ่งวุ่นวายมากเท่านั้น ข้าจะไปหาเจ้าเพื่ออธิบายในภายหลังดีหรือไม่”
เมื่อตันหงอี้เห็นเด็กสาวใช้สายตาและน้ำเสียงอ้อนวอนเช่นนั้น เขาก็หยุดชะงักในทันที
พอลองคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองพี่น้อง ตอนนี้ดูท่าพวกเขาสองคนกำลังมีเรื่องเข้าใจผิดกัน เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเดือดดาล และตลอดเวลาที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็ไม่ชอบเขา หากตอนนี้เขายื่นมือเข้าไปสอด เกรงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะยิ่งโมโหมากกว่าเดิม จนกระทั่งเอาความเดือดดาลทั้งหมดไปลงกับเสวี่ยเจียเยว่คนเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นจะไม่เท่ากับว่าเขาทำร้ายแม่นางน้อยหรือ
เสวี่ยหยวนจิ้งมอบความรักให้เสวี่ยเจียเยว่มาโดยตลอด ไม่เคยทำร้ายน้องสาวสักครั้ง แม้แต่ด่าก็ยังไม่เคย ครั้งนี้อีกฝ่ายคงไม่ทำร้ายเสวี่ยเจียเยว่หรอกกระมัง เพียงแต่พวกเขามีเรื่องเข้าใจผิดกัน หากเปิดใจพูดคุยก็คงหมดเรื่องแล้วใช่หรือไม่ ความเกลียดชังไหนเลยจะสลักลึกลงในใจของพี่น้องได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น สุดท้ายตันหงอี้ก็กัดฟันตัดใจไม่พุ่งเข้าไปอีก แต่เขายังกล่าวกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย อีกสองวันข้าจะมาเยี่ยมเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ศีรษะของเธอก็ถูกแขนเสื้อของเสวี่ยหยวนจิ้งคลุมอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนั้นก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาเกร็งขึ้น เขาต้องหันกลับไปหาเรื่องตันหงอี้เป็นแน่
เธอคิดแล้วรีบกอดเอวเขาเอาไว้แน่น รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาแข็งทื่อไปชั่วขณะ ในที่สุดชายหนุ่มก็ผ่อนคลายและกอดเธอเดินต่อไป
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้น คงเป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูลานเรือน ตามด้วยเสียงเปิดประตู จากนั้นเธอถูกเขาพาเดินเข้าไปข้างในทั้งที่ยังกอดอยู่อย่างนั้น
ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งพาเธอเดินเข้าไปนั้น เสวี่ยเจียเยว่แอบมองผ่านช่องว่างของแขนเสื้อชายหนุ่ม จึงเห็นว่าตันหงอี้ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว เขาคงเชื่อฟังเธอแล้วเดินกลับไปกระมัง
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่เงียบๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงกลอนไม้ที่ใช้ขัดประตู จากนั้นสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของเธอกดทับกับอะไรบางอย่าง และแสงสว่างก็เจิดจ้าขึ้นมาทันใด
ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยกแขนเสื้อของเขาออกจากใบหน้าเธอ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สามารถลืมตาได้อย่างเต็มที่เพราะแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเหนือศีรษะ เมื่อเธอปรับสายตาเข้ากับแสงได้แล้วจึงลืมตาขึ้นมาได้อย่างเต็มที่ จนเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจ้องมาที่เธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และเธอกำลังถูกเขากดไว้กับกำแพงข้างประตูลานเรือน
ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะขยับตัว กลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกดไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้ ราวกับจะตอกตะปูฝังเธอไว้กับกำแพงนี้ เธอจึงไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย
ในใจของเธอยังคงหวาดกลัวและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่วันนี้เธอเป็นผู้เสียเปรียบ ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งช่วงชิงจูบแรกไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ ตอนนี้เขายังมาทำตัวดุร้ายใส่เธอเช่นนี้อีก
ดวงตาของเธอเริ่มร้อนผ่าวอย่างอดกลั้นไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “ปล่อยข้า…”
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงกดไหล่เด็กสาวไว้กับกำแพงอย่างแน่นหนา พร้อมกับจ้องมองด้วยดวงตาคมกริบ น้ำเสียงของเขาราวกับแท่งเหล็กร้อนที่แช่อยู่ในน้ำแข็ง
“เสวี่ยเจียเยว่ เจ้าโกรธข้ามากใช่หรือไม่ เจ้าไม่รู้หรือว่าด้านนอกมีคนมากเพียงใด และมีอันตรายอยู่รอบตัวเท่าไร เจ้าวิ่งหนีข้าไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ ตอนนี้เจ้ายัง… เจ้ายังกล้ากลับมาพร้อมกับตันหงอี้อีก ไม่เพียงเท่านั้น ยังบอกว่าจะไปหาเขาเพื่ออธิบาย เจ้า… เจ้านี่มัน…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งเดือดดาลมากจริงๆ หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง เส้นเลือดสีเขียวบริเวณขมับปูดโปนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเรียกชื่อเด็กสาวว่า ‘เสวี่ยเจียเยว่’ ด้วย
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก “เมื่อครู่นี้เจ้าอยู่กับเขาตลอดเลยใช่หรือไม่ พวกเจ้าสองคนคุยอะไรกันบ้าง”
ในขณะนี้เสวี่ยเจียเยว่เองก็เดือดดาลมากเช่นกัน
เหตุใดเธอถึงต้องถูกเขากดไว้กับกำแพงเพื่อคาดคั้นเช่นนี้ พร้อมทั้งตำหนิที่เธอวิ่งหนีเขาไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ หากตอนนั้นเขาไม่จูบเธออย่างไร้มารยาท เธอจะวิ่งหนีได้อย่างไร และหากไม่หนีจะเป็นอย่างไร จะให้ตบหน้าเขาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ทะเลาะกับเขาอย่างนั้นหรือ
ด้วยความโกรธเธอจึงไม่ลังเลที่จะพูดให้เสวี่ยหยวนจิ้งโมโหเช่นกัน “ใช่ เมื่อครู่ข้าอยู่กับเขาตลอดเวลา แล้วจะอย่างไร อีกอย่าง… เขายังบอกว่าชอบข้า อยากแต่งงานกับข้า และบอกว่าเรื่องนี้เขาได้พูดกับเจ้าไว้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้าเลย”