หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ด
ถูกตามใจจนเสียคน
เมื่อได้ยินคำถามของเสวี่ยเจียเยว่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็หันไปตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่”
แต่วันนี้สำนักศึกษาไม่ได้หยุดเรียน…
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังคิดจะเอ่ยถาม ก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นมาอีก
“ข้าขอลากับท่านอาจารย์หนึ่งวัน”
เสวี่ยเจียเยว่เงียบลงทันที เพราะรู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ปล่อยให้เธอไปที่ชานเมืองคนเดียวแน่ ถึงได้ขอหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อไปกับเธอ
แต่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร…
“ข้าโตแล้ว จะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้หรืออย่างไร เหตุใดท่านต้องลาหยุดหนึ่งวันเพื่อไปกับข้าด้วย ทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้การเรียนของท่านล่าช้าไปมิใช่หรือเจ้าคะ”
เธอเร่งเร้าให้เขาไปสำนักศึกษาเดี๋ยวนี้ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ขยับเขยื้อน ทั้งยังพูดขึ้นมาอีก
“ถึงข้าจะขอลาหยุดกับอาจารย์เพราะเป็นห่วงที่ปล่อยเจ้าออกไปชานเมืองคนเดียว แต่ความจริงแล้วข้าคิดว่าหลังจากนี้คงไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกแล้ว ข้ารู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอนมา ความรู้ที่มากกว่านี้เขาก็คงสอนข้าไม่ได้แล้ว”
ความหมายของเขาคือตอนนี้อาจารย์ในสำนักศึกษาไท่ชูไม่มีความรู้ใดจะสอนเขาได้อีก ตอนนี้เขากลายเป็นศิษย์ที่เก่งกาจกว่าอาจารย์ไปเสียแล้ว อีกอย่าง… ถึงอย่างไรเขาก็จะเรียนจบในปีนี้ ยามนี้ต่อให้คนอื่นๆ ไปเรียนต่อให้ครบกำหนด แต่เขาไม่จำเป็นต้องไปก็ได้
แม้สีหน้าของเขาจะเย็นชาไร้ความรู้สึก และคนอื่นอาจคิดว่าคำพูดนั้นฟังดูอวดดีนัก แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาโอ้อวด
เป็นเพราะในใจของเธอรู้ดีจึงอดตกใจไม่ได้ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางอย่างเงียบๆ
ในภพที่จากมาเธอเคยได้ยินว่า ในสมัยโบราณชายผู้หนึ่งรับราชการตั้งแต่ตอนอายุสิบสองปี จึงพูดถึงแต่สังคมของคนฉลาด แต่ก็ไม่ได้ตัดสินว่าถ้าตนทำอะไรไม่ได้แล้วคนอื่นจะทำไม่ได้ ความหมายคือเขาไม่ได้โอ้อวดว่าตนฉลาด แต่เพราะสังคมของเขามีแต่คนฉลาด จึงคิดว่าการพูดเรื่องเหล่านั้นดูปกติธรรมดา ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ดูถูกสติปัญญาของคนอื่นเช่นกัน
โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้พูดคำที่น่าประหลาดใจออกมาอีก ยามนี้คนทั้งสองยืนอยู่นอกประตูลานเรือนเพื่อรอรถม้า
เมื่อรถม้ามาถึงแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินเข้าไปใกล้แล้วยื่นมือขวาออกไปแหวกม่าน ก่อนหันกลับไปมองเสวี่ยเจียเยว่พร้อมกับยื่นมือซ้ายออกไปหาอีกฝ่าย เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการประคองเด็กสาวขึ้นรถม้า
เสวี่ยเจียเยว่มองมือของเขาอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อยากยื่นมือออกไปอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนอยู่ดี เธอคิดจะขึ้นไปบนรถม้าด้วยตัวเอง
แต่เธอเพิ่งขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งโน้มตัวมาจับมือขวาของเธอเอาไว้
เสวี่ยเจียเยว่กลัวความหนาว เธอมักจะรู้สึกเย็นที่มือกับเท้าในช่วงฤดูหนาว แต่ตอนนี้เธอกลับสัมผัสได้ว่ามือที่เสวี่ยหยวนจิ้งคว้าไปนั้นมันร้อนผ่าวเป็นอย่างมาก
ราวกับมือของเธอถูกไฟลวกก็ไม่ปาน เธอคิดจะสลัดมือของเขาออกไป แต่เสวี่ยหยวนจิ้งใช้แรงเพียงเล็กน้อย เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่สามารถสลัดให้หลุดออกไปได้
“เหตุใดมือของเจ้าถึงเย็นเช่นนี้” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม จากนั้นเขาบอกให้คนขับรถม้ารอสักครู่ ส่วนตนก็ดึงเสวี่ยเจียเยว่กลับมาที่เรือน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงดึงเธอกลับเข้าเรือนมา แต่เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งปล่อยมือเธอแล้วใช้กุญแจไขประตู ก่อนจะยกเตาอุ่นมือออกมาจากเรือน เธอก็เข้าใจกระจ่างชัดแล้ว
เตาอุ่นมือนี้พวกเขาใช้ไปเมื่อปีที่แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนรักความสะอาด ดังนั้นหลังจากที่เขานำเตาอุ่นมือออกมาจึงล้างทั้งภายในและภายนอก จากนั้นในเตาก็เต็มไปด้วยน้ำร้อน ก่อนที่เขาจะยัดเข้าไปในอ้อมแขนข้างหนึ่งของเสวี่ยเจียเยว่ และจับมืออีกข้างของเธอเอาไว้พร้อมกับจูงออกไปด้านนอก เมื่อถึงข้างรถม้าเขาก็พยุงเธอขึ้นไป
การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มลื่นไหลดั่งเมฆเหินน้ำไหล จนเสวี่ยเจียเยว่ไม่สามารถขัดขืนใดๆ ได้
ในที่สุดเขาก็ถือกล่องไม้ไผ่ใบใหม่ขึ้นไปนั่งบนรถม้า หลังจากสั่งคนขับรถม้าให้รีบออกเดินทาง เขาก็ลดม่านลง
แม้วันนี้ท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง แต่ภายในรถม้าก็มีแสงสว่างน้อยกว่าด้านนอก ตอนนี้ม่านถูกลดลง ก็ยิ่งทำให้ภายในรถม้ามืดยิ่งกว่าเดิม
เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดระหว่างเดินทาง เสวี่ยเจียเยว่จึงหลับตาลงทันที โดยแสร้งเป็นว่าเธอกำลังหลับ ด้วยวิธีนี้เธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
ช่วงที่ผ่านมานี้เธอมักจะรู้สึกว่าชายหนุ่มอยากพูดอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ แม้กระทั่งหน้าตายังแสดงให้เธอรู้สึกว่าเขากำลังแกล้งอยู่จริงๆ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สามารถรับมือกับท่าทีของเขาได้ เพราะทุกครั้งใบหน้าของเธอจะแดงเรื่อ หัวใจก็เต้นรัวจนต้องหมุนตัวหนีไปมองทางอื่น
เธอรู้ดีว่าตัวเองน่าสมเพชนัก อ่อนแอและขายหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ก็คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ดังนั้นเพื่อไม่ให้เขาแกล้งเธอได้อีก เสวี่ยเจียเยว่จึงต้องแกล้งหลับต่อหน้าเขาเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้เขาจะยั่วโมโหเธอไม่ได้อีกแล้วใช่หรือไม่
เป็นจริงดังคาด เมื่อรถม้าวิ่งไปได้สักพัก ด้านในรถม้าก็เงียบสงบ ทว่ามันเงียบเกินไป…
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองไปด้านขวาอย่างเงียบๆ และมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่ตรงหน้า ในมือของเขากำลังถือม้วนตำรา สีหน้าดูจดจ่อไม่ใช่น้อย
เธอปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง และกอดเตาอุ่นมือเอาไว้
เตาอุ่นมือนั้นอุ่นมาก ทำให้มือทั้งสองข้างของเธออบอุ่นไม่น้อย แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ในใจ เหมือนว่ามีบางอย่างขาดหายไป
เธอจมอยู่กับความคิดนี้ขณะเดินทาง รถม้าที่วิ่งไปบนถนนโยกเยกไปมา เมื่อเสวี่ยเจียเยว่หลับตาเช่นนี้ สุดท้ายก็เผลอหลับไปจริงๆ โดยไม่รู้ตัว
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงลมหายใจของเด็กสาวเบาๆ มุมปากของเขาพลันยกยิ้มขึ้น ก่อนจะวางตำราในมือลง
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสวี่ยเจียเยว่แกล้งหลับ แต่เขาเองก็เข้าใจดี การที่เด็กสาวเป็นเช่นนี้เพราะไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร แม้ว่าชายหนุ่มจะอ่านตำรา แต่หางตาเขาก็แอบมองเสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา และแม้เขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายแอบเหลือบมองมา แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้ตัว เพราะไม่อยากให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัดใจนั่นเอง
วันนี้เขาแกล้งเสวี่ยเจียเยว่ไปหลายครั้งแล้ว หากแกล้งอีกแม่นางน้อยต้องกระโดดขึ้นมาเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหางเป็นแน่ ผลที่ได้จะตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง… เรื่องนี้อย่างไรก็รีบร้อนไม่ได้ หากจะให้ดีที่สุดต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเท่านั้น
อย่างไรเสียเสวี่ยเจียเยว่ก็มิได้หวาดระแวงเขาจริงๆ ไม่อย่างนั้นตอนที่เขากระเซ้าเย้าแหย่ อีกฝ่ายควรจะเดินหนีไปด้วยสีหน้าเย็นชาและไม่พูดไม่จาสักคำแล้ว ไม่ใช่วิ่งหนีไปอย่างเขินอายพร้อมใบหน้าแดงเรื่อเช่นนั้น กระทั่งไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับการตอแยของเขาอย่างไร จึงทำได้เพียงแกล้งหลับบนรถม้า
เสวี่ยเจียเยว่คงเชื่อใจและหวังพึ่งพาเขาอยู่ ตัวเด็กสาวเองก็มีปฏิกิริยาตอบรับการเย้าหยอกของเขา แต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง หรือว่าในใจของอีกฝ่ายมีเรื่องใดซ่อนอยู่ เหตุใดถึงได้บังคับตัวเองไม่ให้หวั่นไหวกับเขามากขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาหยอกเย้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งเห็นได้ชัดว่าเสวี่ยเจียเยว่หวั่นไหวกับเขาอยู่เล็กน้อย แต่ผ่านไปสักพักใบหน้าอันงดงามก็มืดมนลง
เสวี่ยเจียเยว่ซ่อนสิ่งใดไว้ในใจกันแน่ แล้วมันเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดไม่ตก หลังจากมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหลครู่หนึ่ง เขาก็ย้ายไปนั่งข้างๆ อีกฝ่ายอย่างห้ามใจไม่ได้ พร้อมกับบรรจงจูบที่หน้าผากขาวเนียน จากนั้นเขาก็ไม่สามารถอดใจไหว จึงก้มต่ำลงบรรจงจูบริมฝีปากแดงเรื่อของคนร่างบอบบางเบาๆ
แต่เพราะกลัวว่าเสวี่ยเจียเยว่จะตื่น จูบนี้จึงเป็นเหมือนกับแมลงปอที่กำลังบินแตะผืนน้ำเท่านั้น
ทว่าเท่านี้จะทำให้เขาพอใจได้อย่างไร ชายหนุ่มอยากจะจูบริมฝีปากของเสวี่ยเจียเยว่อย่างดุเดือด ดูดกลืนลิ้นนุ่มๆ และชื้นแฉะของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง…
สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่เริ่มมืดมนลง และศีรษะของเขาก็ยิ่งก้มต่ำลงอย่างช้าๆ
แต่สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น เพียงใช้ปลายจมูกสัมผัสกับปลายจมูกของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ และกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะอันแหบแห้ง “เจ้าเด็กโง่”
เสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังหลับคล้ายจะรู้สึกตัว จึงหันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้สัมผัสเด็กสาวอีก เพียงคว้าร่างนุ่มนิ่มเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็หลับตานอนอย่างสบายใจ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่งัวเงียตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกว่าร่างกายของตนเหมือนอยู่ข้างเตาไฟ เพราะมันอบอุ่นไปทั่วทั้งตัว
เธอขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังก้มหน้าลงมองเธอ
ราวกับนัยน์ตาของเขาเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนที่ได้มองสัมผัสถึงความอบอุ่นเหมือนอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน
เพราะเธอเพิ่งตื่นสติจึงยังเลือนรางอยู่ไม่น้อย พอเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็ตะลึงงันอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะพึมพำเรียกเขา “ท่านพี่”
เมื่อได้ยินเสียงของเสวี่ยเจียเยว่ รอยยิ้มในแววตาของชายหนุ่มก็ยิ่งเป็นประกายมากขึ้น เด็กสาวยังคงเชื่อใจเขาเหมือนที่เคยเป็นมา
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังงัวเงีย ใบหน้าแดงก่ำ และดวงตาก็เหมือนมีไอน้ำชั้นบางๆ ห่อหุ้มอยู่ ทำให้หัวใจของเขาราวกับถูกรัดแน่นขึ้น อีกทั้งสายตายังมืดมนลง
ไม่นานนักเขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้อีก จึงใช้มือทั้งสองข้างจับใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ พร้อมกับก้มลงบรรจงจูบริมฝีปากแดงเรื่อทันที
กระทั่งปลายลิ้นถูกเขาดูดอย่างรุนแรง เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้สติกลับมา ไม่นานเธอก็รู้สึกตัว ทำให้พวงแก้มสองข้างร้อนผ่าวดั่งถูกไฟเผา
ช่วงที่ผ่านมานี้แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะหยอกเย้าเธอเป็นครั้งคราว แต่การสัมผัสอย่างใกล้ชิดที่สุดก็มีเพียงจูงมือและกอดเท่านั้น หลังจากมีปากเสียงกันวันนั้นเขาก็ไม่เคยจูบเธออีกเลย
ทว่าตอนนี้…
เสวี่ยเจียเยว่ทั้งอายทั้งโกรธ หัวใจของเธอเต้นรัวแรงจวนจะทะลุออกมาจากอก มือไม้ทั้งสองข้างปัดไปมาเป็นพัลวัน แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอไป ในขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นตีชายหนุ่มนั้น หัวใจของเธอกลับทำไม่ลง อยากจะเอ่ยปากทักท้วง แต่ปลายลิ้นกลับถูกรุกล้ำ เสียงที่เปล่งออกมาจึงกลายเป็นอู้อี้ เมื่อถูกเขาจับพวงแก้มทั้งสองข้างเอาไว้ตลอดเวลาเช่นนี้ จูบของเขาก็ยิ่งดูดดื่มมากขึ้น
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งปล่อยเธอแล้ว เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอถูกดูดออกไปด้วย ไม่ว่าตรงไหนก็อ่อนแรง แม้แต่จะยกปลายนิ้วก็ยังทำไม่ได้ เพราะเธอถูกจูบอย่างรุนแรง จึงนั่งหอบหายใจอยู่ในอ้อมแขนของเสวี่ยหยวนจิ้ง
พอใบหน้าแนบชิดแผงอกของชายหนุ่ม เธอก็สัมผัสได้ถึงความร้อนแผดเผาไปทั่วร่างกายของเขา หัวใจในอกข้างซ้ายของเขากำลังเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมา
ไม่รู้ว่าเขาตื่นเต้นหรือเพราะประหม่ากันแน่
แต่ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกอายจนโกรธแล้ว และเกลียดตัวเองที่ไม่อาจขัดขืนได้ ทั้งที่บอกว่าอยากอยู่ให้ห่างจากเขา ทว่าเวลาผ่านมานานกว่าครึ่งปีก็ยังถูกเขาหยอกล้อจนหน้าแดงเรื่อหัวใจเต้นแรง ทั้งตอนนี้ยังถูกจูบด้วยความรุนแรงอีก เธอจะหนีให้ห่างได้อย่างไร เกรงว่าจะยิ่งใกล้ชิดกับเขามากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
สุดท้ายเธอก็ดุด่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ลง อยากจะตบหน้าเขาสักครั้งก็ยังทำไม่ได้ เมื่อเธอคิดจะจากไป กลับรู้สึกว่าความโกรธทั้งหมดมันจุกอยู่ในอก จะขึ้นก็ไม่ได้ จะลงก็ไม่ได้ ความเสียใจพลันพรั่งพรูออกมาจากหัวใจ จากนั้นหยาดน้ำตาก็ไหลพรากลงมาทันที
ดูเหมือนว่าเธอจะเสียใจได้ง่ายๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสวี่ยหยวนจิ้ง
เขายุ่งวุ่นวายไม่เลิก เมื่อเขาจูบเธอก็เสียใจ แต่ถ้าเขาทำตัวห่างเหิน ไม่สนิทกับเธอเหมือนก่อน เสวี่ยเจียเยว่ก็เสียใจเช่นกัน ทว่ายามนี้เธอไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ตราบใดที่อยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง หากเธออยากร้องไห้ก็จะร้องออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะในใจของเสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่า ตราบใดที่ตนร้องไห้ เสวี่ยหยวนจิ้งจะเข้ามาปลอบโยนและบอกว่าเขารู้สึกผิด แต่ไหนแต่ไรมาเธอถูกชายหนุ่มตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเสมอ ทว่าเธอยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง