หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า
พี่จิ้งหยอกเย้าน้องเยว่
รถม้าที่เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งอยู่นั้นวิ่งไปจนกระทั่งถึงชานเมือง
เมื่อเดินทางมาถึงจุดที่พวกเขาเคยจอดรถม้าเอาไว้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็เลิกม่านขึ้นแล้วลงจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงหันกลับไปยื่นมือให้เสวี่ยเจียเยว่เพื่อจะช่วยพยุง
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่กำลังหงุดหงิด ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตนเป็นอันใดไป ราวกับว่าต้องมนตร์ให้หลงใหลก็ไม่ปาน ไม่ทันไรก็เอ่ยออกไปว่าขอลองสักครั้ง แต่น้ำที่หกไปแล้วก็ยากจะเก็บขึ้นมา[1]ต่อให้อธิบายเช่นไรมันก็สายไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นมือเรียวของชายหนุ่มยื่นมาตรงหน้า เธอยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าตนอยากจะจับมือเขาหรือไม่ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ให้โอกาสเธอได้ลังเลต่อ เพราะเขาโน้มตัวมาจับมือเธอเอาไว้แน่น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
“เยว่เอ๋อร์ มาอยู่ข้างข้า”
เขาเป็นเช่นนี้เสมอมา ในความอ่อนโยนนั้นยังมีความแข็งกระด้าง เมื่อตัดสินใจในเรื่องใดแล้วก็วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งยังอดทน แต่ตราบใดที่มีโอกาส… แม้จะเป็นเพียงน้อยนิด เขาล้วนคว้ามันเอาไว้ และจะไม่มีวันปล่อยมันไป
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจดี ต่อให้เธอไม่เห็นด้วยกับเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เธอเองก็พลั้งปากเอ่ยว่าขอลองสักครั้ง เกรงว่าคราวนี้เขาจะยิ่งไม่มีทางยอมแพ้แล้ว
เธอถอนหายใจอย่างเงียบๆ กระนั้นก็ยังเลือกที่จะเอื้อมมือไปจับมือของชายหนุ่มแล้วลงจากรถม้าไป
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาว ขณะเดียวกันเขาก็เผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นบนใบหน้าโดยไม่ปิดบัง เสวี่ยเจียเยว่หน้าแดงเรื่อเพราะเขินอายสายตาของชายหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าลงพร้อมกับใช้นิ้วพันสายรัดเสื้ออย่างประหม่า
โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้กล่าวหรือทำอะไรให้เธอประหม่ายิ่งกว่าเดิม เขาเพียงจูงมือเธอเดินไปยังที่ดินเบื้องหน้า
ชายชราแซ่อูและคนในครอบครัวของเขากำลังเด็ดพริกอยู่ ด้านข้างมีกระสอบใบใหญ่ใส่พริกที่พวกเขาเด็ดแล้ววางไว้หลายใบ
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเดินมา ชายชราแซ่อูก็ปลดกระบุงที่อยู่ด้านหลังออกแล้วส่งให้ลูกชายที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินไปทักทายพวกเขาทั้งสองคน
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเขาสองสามประโยค จึงได้รู้ว่าหลายวันมานี้ชายชรานำพริกไปตากบนลานตีข้าวจนแห้งตามคำสั่งของเธอ และตอนนี้พวกมันก็อยู่ในกระสอบสำหรับเก็บพริกแห้งเรียบร้อยแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเบาๆ และบอกว่าเธอจะนำพริกที่ตากจนแห้งทั้งหมดกลับไปด้วย ส่วนพริกที่เด็ดในวันนี้ก็ให้เขานำไปตากให้แห้งเช่นเคย จากนั้นค่อยมอบให้เธอ ทั้งยังบอกอีกว่าในปีหน้าอยากจะเช่าที่ดินของเขาสักสองสามหมู่
เมื่อคิดดูแล้ว ปีนี้ต้องการพริกอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิมาถึงเธอก็ต้องการต้นกล้าพริกมากยิ่งขึ้น
ชายชราแซ่อูพยักหน้ารับ จากนั้นทั้งสองก็เจรจากันเรื่องค่าเช่าที่ดินในปีหน้า เมื่อตกลงกันเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงขอให้เสวี่ยหยวนจิ้งร่างสัญญาขึ้นมาสองใบ
วันนี้เสวี่ยเจียเยว่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องเจรจาเรื่องเช่าที่ดินกับชายชราในปีหน้า จึงเตรียมกระดาษ หมึก พู่กัน และหินฝนหมึกติดตัวมาด้วย ตอนนี้เธอหยิบของเหล่านั้นออกมาจากถุงผ้า เพื่อให้เสวี่ยหยวนจิ้งร่างสัญญาขึ้นมา
เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมเชื่อฟังเด็กสาว เขาฝนหมึกในทันที ก่อนจะกางกระดาษออก หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึก แล้วก้มหน้าลงตวัดพู่กันบนกระดาษโดยไม่ต้องคิดให้มากความ
สัญญานั้นสำคัญมาก และแน่นอนว่าจำเป็นต้องอ่านให้ละเอียด แต่ชายชราแซ่อูอ่านหนังสือไม่ออก เขาหยิบสัญญาออกไปเรียกผู้อื่น ไม่นานนักหญิงสาววัยแรกแย้มนางหนึ่งก็เดินเข้ามา
แม่นางผู้นี้อายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี รูปร่างบอบบางอรชร มีใบหน้าโดดเด่นงดงามยิ่ง ดวงตาคู่นั้นก็ดูพิเศษไม่เหมือนใคร ราวคันฉ่องที่เปล่งประกายก็ไม่ปาน
ชายชราแนะนำให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ได้รู้จักนาง “นางเป็นหลานสาวของข้าเอง แซ่อู ชื่ออาซิ่ว วันนี้ข้าให้นางกับแม่ของนางมาช่วยเด็ดพริก เมื่อนางยังเป็นเด็กได้แอบเรียนอยู่หลายปี จึงอ่านตัวหนังสือง่ายๆ ออก”
ในขณะที่เอ่ยนั้น เขาก็ยื่นสัญญาให้นาง อาซิ่วเข้ามารับไป ก่อนจะก้มหน้าลงมองตัวอักษรทีละตัวๆ อย่างละเอียด ไม่นานนักนางก็ส่งสัญญาคืนให้ชายชรา เมื่อเอ่ยถามจึงได้รู้ว่าสัญญานี้คนเขียนก็คือเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นสายตาของนางเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว หลังจากตะลึงงันไปชั่วครู่ นางก็หันไปเอ่ยกับชายชรา
“ท่านตา สัญญานี้เขียนดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านประทับรอยนิ้วมือได้เลย ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”
เสวี่ยเจียเยว่หยิบแท่นประทับหมึกสีแดงออกมา จากนั้นเธอกับชายชราต่างก็ประทับรอยนิ้วมือของตนลงบนสัญญาทั้งสองใบ ก่อนที่เธอจะมอบเงินค่าจ้างในปีนี้และค่าเช่าที่ดินในปีหน้าให้อีกฝ่าย
เมื่อเธอทำธุระเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินเข้ามา พร้อมกับล้วงผ้าสะอาดออกมาหนึ่งผืน จากนั้นจึงจับมือเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นมา แล้วก้มหน้าก้มตาเช็ดรอยหมึกสีแดงบนนิ้วหัวแม่มือของเธออย่างระมัดระวัง
ทั้งที่ชายชรากับอาซิ่วก็อยู่ที่นี่ด้วย…
เสวี่ยเจียเยว่หน้าแดงเรื่อ ก่อนจะรีบชักมือของตนกลับมาและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ไม่ต้องเช็ดเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นอาซิ่วกำลังมองมา ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็แดงเรื่อมากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่ได้
โชคดีที่ตอนนี้ชายชราเก็บสัญญากับเงินเรียบร้อยแล้ว เขาเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่รีบเร่งเดินทางมาหลายชั่วยาม จึงขอให้พวกเขาพักที่กระท่อม จากนั้นเขาก็เอ่ยอาซิ่วให้ออกไปเด็ดพริกด้วยกัน
อาซิ่วดูเหมือนจะยังไม่อยากจากไปนัก นางกำลังเอ่ยชมเสวี่ยหยวนจิ้งว่าเขาเขียนตัวอักษรได้งดงามมาก ส่วนตนนั้นก็ชอบฝึกเขียนตัวอักษรเช่นกัน แต่ยังหาสมุดคัดลายมือดีๆ ไม่ได้ จึงเอ่ยถามชายหนุ่มว่ามีสมุดคัดลายมือดีๆ แนะนำนางหรือไม่
ปกติแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งจะเย็นชาต่อสตรีแปลกหน้ามาโดยตลอด ยิ่งตอนนี้เขากำลังจับมือเสวี่ยเจียเยว่และจดจ่ออยู่กับการเช็ดรอยหมึกสีแดงบนนิ้วหัวแม่มือของเด็กสาว ดังนั้นท่าทีที่เขามีต่ออาซิ่วจึงดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอ่ยออกมาสั้นๆ ว่าตนไม่รู้ เมื่ออาซิ่วถามเรื่องอื่นกับเขา ชายหนุ่มก็ตอบด้วยท่าทีเย็นชาเช่นเคย คำตอบของเขามีไม่เกินสองคำ ชั่วขณะนั้นบรรยากาศพลันอึดอัดขึ้นมาไม่น้อย
โชคดีที่ชายชราลากตัวอาซิ่วออกไป เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เมื่อตาหลานเดินออกไปแล้ว ในกระท่อมแห่งนี้ก็เหลือเพียงเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งสองคนเท่านั้น
ไม่ว่าเมื่อไรที่เสวี่ยเจียเยว่ได้อยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งตามลำพัง จิตใจของเธอก็มักจะไม่สงบสุข ใบหน้าร้อนผ่าว และไม่กล้ามองตาอีกฝ่าย ได้แต่ทำท่าเหมือนกำลังมองพิจารณากระท่อมหลังนี้อย่างละเอียดเท่านั้น
ที่ดินของครอบครัวชายชรานั้นมีอยู่มากและปลูกพืชหลายชนิด ในฤดูร้อนของทุกปีแตงโมจะสุกงอม แต่เพราะกังวลว่าจะมีสัตว์ป่ามาทำลาย หรือไม่ก็มีคนมาขโมย ดังนั้นเขาจึงสร้างกระท่อมหลังนี้ขึ้นมาเพื่ออยู่เฝ้าในเวลากลางคืน เป็นกระท่อมที่เรียบง่าย ด้านในมีสิ่งของไม่มากนัก มีที่นอน เก้าอี้ตัวเล็กเก่าๆ กาน้ำชา และถ้วยชา
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังมองสำรวจภายในกระท่อมอยู่นั้น เธอก็สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคนเข้ามาใกล้ ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคือเสวี่ยหยวนจิ้ง
อยู่ด้วยกันมานานแล้ว เธอสามารถจำกลิ่นกายของชายหนุ่มได้ กลิ่นเหมือนต้นสนท่ามกลางหิมะขาว ทั้งสดชื่นและเย็นสบายๆ
อันที่จริงแล้วเธอชอบกลิ่นกายของเขามาก เพราะทำให้เธอรู้สึกสบายใจเมื่อได้กลิ่นนั้น
เสวี่ยเจียเยว่คิดจะหลบ แต่การเคลื่อนไหวของเสวี่ยหยวนจิ้งกลับรวดเร็วกว่า เขายื่นแขนออกมากอดเธอจากด้านหลัง จากนั้นก็ก้มหน้าลงจูบติ่งหูที่ขาวนุ่มของเธอ พร้อมเอ่ยเสียงต่ำด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคิดจะหลบข้าอย่างนั้นหรือ”
เมื่อจู่ๆ ก็ถูกกัดติ่งหูด้วยแรงที่ไม่หนักไม่เบามากนัก ร่างกายของเสวี่ยเจียเยว่จึงอ่อนยวบลงในทันที จนเกือบจะครางเสียงต่ำออกมา โชคดีที่เธอยังพออดทนได้ แต่ใบหน้าก็แดงเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ได้แต่เอ่ยตำหนิเขาเสียงต่ำ
“เสวี่ยหยวนจิ้ง เจ้าทำอันใด รีบปล่อยข้า พวกท่านผู้เฒ่าอูยังอยู่ข้างนอกนะ” เมื่อตำหนิเขา เธอก็ไม่เรียกชายหนุ่มว่า ‘ท่านพี่’ ด้วย
ถึงกระนั้นเธอก็ยังรู้สึกเขินอาย อ่อนแรงไปทั่วร่าง ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะตำหนิชายหนุ่ม แต่น้ำเสียงกลับไม่มีแววขุ่นเคืองสักนิด คล้ายลูกแมวที่กำลังออดอ้อนร้องเหมียวๆ เสียมากกว่า
เสวี่ยหยวนจิ้งไหนเลยจะยอมปล่อย เขากลับเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้าเรียกชื่อข้าจนคล่องปากขึ้นแล้ว ไม่เรียกท่านพี่แล้วหรือ”
เขากัดติ่งหูเธอเช่นนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ทำให้หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่สั่นสะท้าน แต่จากนั้นไม่นานเขาก็ปล่อยเธอและขยับมานั่งอยู่ข้างๆ มองใบหน้าที่แดงเรื่อด้วยรอยยิ้มมีความสุข
เสวี่ยเจียเยว่ทั้งอายทั้งโกรธ จนถลึงตามองเขาครู่หนึ่งอย่างอดมิได้
แต่ตอนนี้ใบหน้าของเธอแดงเรื่อเป็นอย่างมาก การถลึงตามองในครั้งนี้ แม้จะบอกว่ามีความโกรธสามส่วน เขินอายอีกเจ็ดส่วน แต่แววตากลับมีเสน่ห์ตรึงใจคนมอง และวูบไหวดั่งมีสายน้ำไหลวนอยู่ภายใน ทำให้หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นไหวอย่างรุนแรงในทันที
ในขณะที่เขาคิดจะคว้าตัวเสวี่ยเจียเยว่เข้ามากอด ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ เด็กสาวก็รู้เจตนาของเขา จึงรีบหมุนตัวลุกขึ้นวิ่งออกไปด้านนอกกระท่อมอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยหยวนจิ้งได้แต่ยิ้มออกมาอย่างจนใจ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายออกไป
ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว แม้ว่ายังมีชาวนาทำงานอยู่ในทุ่งนา แต่ก็มีไม่มาก อีกทั้งพืชผลส่วนใหญ่ถูกเก็บเกี่ยวไปมากแล้ว เมล็ดผักกาดก้านขาวและข้าวสาลีที่เพิ่งหว่านไปยังไม่มีต้นกล้างอกขึ้นมาจากพื้นดิน ทำให้ทุ่งนาว่างเปล่าไร้สีสัน ตรงกันข้ามกับแปลงพริกแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยใบสีเขียวชอุ่มและผลพริกสีแดงฉาน สีของมันดูฉูดฉาดเป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่กำลังยืนมองชายชราแซ่อูและคนในครอบครัวของเขาช่วยกันเด็ดพริก ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินไปยืนข้างๆ คนร่างบอบบาง
สายลมในช่วงต้นฤดูหนาวพัดโชยมาจากพื้นที่ราบ ทำให้เส้นผมนุ่มลื่นของเสวี่ยเจียเยว่ปลิวสยายไล้แก้มของชายหนุ่มจนเกิดอาการคันยุบยิบ
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง ก่อนจะเดินเข้าใกล้เสวี่ยเจียเยว่อีกสองก้าว
ได้อยู่กับเด็กสาวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด สายลมอ่อนๆ หรือทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้านี้ล้วนงดงามไม่น้อย
เมื่อสังเกตเห็นว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ เสวี่ยเจียเยว่ก็หันไปมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตามองพื้นต่อไป
เธอเห็นอาซิ่วกำลังพูดคุยบางอย่างกับชายชรา ในขณะที่นางกำลังพูดนั้นก็มองมาทางเสวี่ยเจียเยว่ด้วย ชายชราพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็เด็ดพริกต่อ
เนื่องจากตอนนี้กิจการร้านซู่ยวี่เซวียนนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เสวี่ยเจียเยว่ได้เช่าร้านข้างๆ และขยายร้านซู่ยวี่เซวียนให้ใหญ่กว่าเดิม ทว่าแม้จะจ้างนายบัญชีมาทำงานที่ร้านแล้ว เธอก็ยังคงต้องไปตรวจบัญชีที่ร้านอีกรอบ จึงยืนมองพวกเขาต่อครู่หนึ่ง แล้วเรียกชายชราเข้ามาหา เอ่ยถามเขาว่ากระสอบพริกที่ตากแห้งแล้วอยู่ที่ไหน เธอจะนำมันกลับไปด้วย
เมื่อชายชราได้ยินเช่นนั้น จึงเรียกลูกชายของตนให้เข้ามาหา และไปยกกระสอบพริกสามใบใหญ่ออกมา ก่อนจะนำไปมัดไว้ท้ายรถม้าที่เสวี่ยเจียเยว่จ้างมา
หลังจากทำธุระทุกอย่างเสร็จสรรพ เสวี่ยเจียเยว่จึงขอตัวลาชายชรา ทันใดนั้นก็เห็นว่าเขาถูมือของตนไปมาและกล่าวกับเธออย่างเขินอาย
“แม่นางเสวี่ย มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากพูด แต่ไม่รู้ว่าควรเอ่ยออกมาหรือไม่”
ตั้งแต่รู้จักกันมา เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าชายชราเป็นคนซื่อสัตย์ยิ่งนัก ดังนั้นเธอจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที “ท่านผู้เฒ่าอู ท่านกล่าวเช่นนี้เกรงใจข้าเกินไปแล้ว ท่านมีเรื่องอันใดก็พูดมาเถิดเจ้าค่ะ”
จากนั้นเธอก็ได้ยินชายชราเอ่ยถาม “หลานสาวของข้าผู้นั้น นางเพิ่งถามข้าว่าแม่นางเสวี่ยและคุณชายเสวี่ยขาดคนช่วยเหลือหรือไม่ นางไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ไปชั่วชีวิต อยากติดตามเจ้ากับคุณชายเสวี่ย แม่นางเสวี่ย เอ่อ… เจ้าว่า… อาซิ่วพอจะไปช่วยเหลือในเรือนของเจ้าได้หรือไม่ เด็กคนนั้นเป็นคนมีความอดทน นางรู้หนังสือ ไม่สร้างปัญหาให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ที่เธอเห็นอาซิ่วพูดบางอย่างกับชายชรา เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องนี้
เรื่องนี้ย่อมมิใช่ปัญหาใหญ่อันใด ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะตอบนั้น เสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้นมา
“ขอบคุณที่ท่านผู้เฒ่าไว้ใจพวกข้า แต่ข้ากับเยว่เอ๋อร์อยู่กันได้เป็นอย่างดีแล้ว ไม่รบกวนหลานสาวของท่านดีกว่าขอรับ”
ชายชราเป็นคนหน้าบางอยู่แล้ว เมื่อได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น เขาจึงมิได้กล่าวอันใดต่อ หลังจากเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งขอตัวลา เขาและลูกชายก็เดินกลับไปเด็ดพริกต่อทันที
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นพวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว จึงหันไปหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง
ทั้งที่พวกเขายังสามารถรับคนช่วยงานได้อีกหนึ่งคน เหตุใดชายหนุ่มจึงกล่าวเช่นนั้นกับชายชรา
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของอีกฝ่าย เขาก็อดที่จะยกมือขึ้นหยิกแก้มเนียนนุ่มเบาๆ ไม่ได้ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าช่างโง่จริงๆ เลยนะ เจ้าควรอยู่ข้างกายข้าต่อไปจะดีกว่า มิเช่นนั้นจะเป็นดั่งสำนวนที่ว่า ถูกคนขายแล้วยังต้องช่วยเขานับเงินอีก[2]”
[1] หมายถึง เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนกลับคืนมาได้
[2] หมายถึง ไม่เพียงไม่รู้ว่าตนถูกคนใช้ประโยชน์แล้ว ยังคิดว่าคนผู้นั้นกำลังช่วยตนอยู่