ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย – บทที่ 131 สอบระดับมณฑล

หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด

สอบระดับมณฑล

ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังมองชายหนุ่มด้วยความงุนงง เสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดังขึ้น

“ต่อไปเจ้ายังต้องไปนอนที่เรือนหลักอยู่หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า

เสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปใกล้เด็กสาว ทั้งยังยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม“เมื่อก่อน… เรื่องนี้แล้วแต่เจ้า แต่ตอนนี้แล้วแต่เจ้าไม่ได้แล้ว ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากเจ้า แม้ว่าจะอยู่ในลานเรือนเดียวกันก็ไม่ได้ เจ้าจะย้ายกลับมานอนในห้องเดิมที่เรือนหลังนี้ หรือจะให้ข้าย้ายไปนอนในเรือนหลักกับเจ้า เจ้าเลือกเอง”

ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เธอคิดจะสลัดมือของเขาออก แต่กลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งจับไว้แน่นกว่าเดิม

เสวี่ยเจียเยว่กระทืบเท้าเร่าๆ อย่างร้อนใจ “ป้าเฝิงกับลูกๆ ของนางยังอยู่ที่เรือนนะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมอง ก็เห็นว่าป้าเฝิงและลูกๆ ของนางกำลังกินข้าวกันอยู่ ไม่ได้สนใจพวกเขาที่อยู่ทางนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเจ้าไม่ตกลง ข้าก็จะจับมือเจ้าเช่นนี้ไม่ปล่อย ถ้าป้าเฝิงเห็น ข้าจะบอกว่าเจ้าคือว่าที่ภรรยาของข้า เพียงแต่บอกคนนอกว่าเจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกันเท่านั้น”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เธอก็อดถลึงตามองเขาไม่ได้ “ใครบอกว่าข้าเป็นว่าที่ภรรยาของเจ้า เจ้าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว” ตั้งแต่ตัดสินใจแยกเรือนกันอยู่ เมื่อเธอไม่พอใจเขาทีไรก็จะเรียกชายหนุ่มด้วยคำว่า ‘เจ้า’ ทุกครั้ง

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้โต้แย้ง มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “คืนนี้เจ้าจะย้ายกลับมานอนในเรือนหลังนี้หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นคนพูดจริงทำจริง หากเธอไม่ย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนหลังนี้ เขาก็จะย้ายเข้าไปนอนในเรือนหลักในคืนนี้ แต่ห้องทางทิศตะวันออกของเรือนหลักเป็นห้องนอนของเธอแล้ว ส่วนห้องทางทิศตะวันตกเป็นห้องสำหรับเย็บปักถักร้อย ซึ่งเต็มไปด้วยแบบชุดและสะดึงปักผ้าหลากหลายรูปแบบ จะเหลือที่ให้เขานอนได้อย่างไร หากถึงตอนนั้นเขาต้องไปนอนในห้องทางทิศตะวันออกกับเธอเป็นแน่

เพื่อเลี่ยงปัญหาเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือเสวี่ยเจียเยว่ต้องยอมย้ายกลับมานอนที่เรือนหลังนี้เท่านั้น

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น จึงรีบเร่งเข้าไปช่วยเด็กสาวย้ายของออกมาจากเรือนหลักทันที แต่ตอนกลางคืนเขาก็ไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอันใดกับอีกฝ่าย ทั้งสองนอนในห้องของตนเหมือนที่เคยเป็นมา เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้สบายใจเป็นอย่างมาก

แม้ว่าป้าโจวจะจากไปแล้ว แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกเสมอว่าสักวันนางอาจจะกลับมา ดังนั้นค่าเช่าของเรือนหลักเธอจึงเป็นคนจ่ายมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้ป้าหยางปล่อยให้คนอื่นเข้ามาเช่า

ถึงเธอจะย้ายกลับมานอนที่เรือนฝั่งตะวันออก แต่ห้องทางทิศตะวันตกของเรือนหลักจะยังคงเป็นห้องทำงานของเธอเช่นเคย แบบชุด เครื่องประดับ หรือลวดลายใหม่ที่เธอออกแบบทั้งหมดจะถูกกองเอาไว้ในห้องนั้น แน่นอนว่าเพราะตอนนี้เป็นช่วงที่พริกสุกเต็มที่แล้ว ในห้องทางทิศตะวันตกจึงมีกระดาษที่จดบันทึกวิธีการทำอาหารมากมายวางกองอยู่ด้วย

ต้องขอบคุณที่ในภพก่อนเธอกับยายชอบทำอาหาร ทั้งสองมักจะดูรายการทำอาหารในโทรทัศน์ด้วยกันอยู่เป็นประจำ จากนั้นก็จะเลือกรายการอาหารที่ตนสนใจมาทำตาม เสวี่ยเจียเยว่จึงชำนาญด้านการทำอาหารมากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังมีตัวช่วยอย่างพริกสีแดงอีกด้วย

เธอไม่อยากเปิดร้านอาหารในเมืองผิงหยาง เพราะต้องใช้เงินลงทุนมาก ทั้งยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะได้กำไร แต่เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งคงอยู่ในเมืองผิงหยางอีกไม่นาน เพราะชายหนุ่มสอบซิ่วฉายผ่านแล้ว ในปีหน้าก็เป็นการสอบระดับมณฑล เธอมั่นใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องสอบผ่านอย่างราบรื่นแน่นอน จากนั้นพวกเขาก็ต้องเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อสอบในระดับต่อไป ไม่จำเป็นต้องเปิดร้านอาหารในเมืองผิงหยางเลย

พริกแห้งที่ชายชราแซ่อูมอบให้เมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น เสวี่ยเจียเยว่แบ่งส่วนแรกไว้เพาะปลูกในปีหน้า ส่วนที่สองนำมาทำน้ำมันพริกเผา ส่วนที่สามบดเป็นผงพริก และที่เหลือในกระสอบก็นำมากองไว้ในเรือนหลักเป็นการชั่วคราว

หลังจากนั้นไม่กี่วันเธอทำอาหารเสฉวนแบบดั้งเดิมสองสามอย่างให้เสวี่ยหยวนจิ้งและครอบครัวของป้าเฝิงกิน เมื่อได้รับคำชมจากพวกเขาเป็นเสียงเดียวกัน เธอก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้อื่นเริ่มยอมรับอาหารเหล่านี้

ครุ่นคิดอยู่สองวัน เธอจึงบรรจุน้ำมันพริกเผาเหล่านั้นลงในขวดเล็กๆ หลายขวด พร้อมกับสั่งให้เสี่ยวฉานและหูจื่อไปกินบะหมี่ในร้านแห่งหนึ่งทุกวัน ตอนที่กินนั้นจะต้องหยิบขวดน้ำมันพริกเผาออกมาปรุงรส หากมีลูกค้าที่พบแล้วสนใจ ก็ให้พวกเขาได้ชิมด้วย ถ้าเถ้าแก่ร้านเอ่ยถาม ก็มอบน้ำมันพริกเผาขวดนั้นให้เขาไปด้วยความยินดี

เสี่ยวฉานกับหูจื่อตอบตกลง ทั้งยังขอให้เด็กๆ ในละแวกนั้นที่เล่นกับตนทำเช่นเดียวกัน

เนื่องจากตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไปสำนักศึกษาไม่บ่อยครั้งแล้ว ดังนั้นในทุกวันเสวี่ยเจียเยว่จึงลากเขาออกไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารหลายแห่ง โดยเลือกสั่งหมูเส้นผัดเปรี้ยวหวาน ต้มปลาผักดองเสฉวน ไก่ผัดเผ็ด และเนื้อตุ๋นโดยเฉพาะ ทั้งยังให้เงินป้าเฝิงและลูกๆ ของนางจำนวนหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาผลัดกันไปสั่งอาหารเหล่านี้ที่ร้านอาหารหลายแห่งในเมืองผิงหยาง

แน่นอนว่าร้านอาหารในเมืองผิงหยางไม่มีอาหารตามที่กล่าวมา เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มี แม้แต่ชื่อยังไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่หลังจากนั้นก็มีผู้คนเข้ามาสั่งอาหารเช่นนี้มากขึ้น ทำให้พวกเขาอดประหลาดใจไม่ได้

วันหนึ่งเสวี่ยเจียเยว่พาเสวี่ยหยวนจิ้งไปสั่งอาหารเหล่านั้นในร้านอาหารอีกครั้ง ในที่สุดเถ้าแก่ก็เข้ามาถามว่าอาหารเหล่านั้นมีวิธีการทำอย่างไร แน่นอนว่าเสวี่ยเจียเยว่ต้องวางท่าก่อน บอกว่าร้านอาหารของพวกเขาใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับไม่มีอาหารที่ต้องการ และเมื่อเถ้าแก่ถามอีกครั้ง เธอจึงลุกขึ้นยืนและบอกว่าจะเข้าครัวไปทำอาหารเหล่านั้นเอง

แน่นอนว่าเถ้าแก่ต้องนำทางเธอเข้าไปในห้องครัว

เสวี่ยเจียเยว่สวมผ้าสำหรับกันเปื้อน จากนั้นก็เลือกวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ นอกจากนั้นยังนำของสำคัญอย่างน้ำมันพริกเผา ผงพริก และพริกแห้งมาจัดวางเอาไว้ให้เถ้าแก่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว เธอไม่เพียงกินเองเท่านั้น แต่ยังเชิญเถ้าแก่มาชิมด้วย

เมื่อเถ้าแก่เอ่ยถามเธออย่างประหลาดใจว่ามันคือสิ่งใด เธอก็ทำท่าภาคภูมิใจในตัวเอง จากนั้นจึงทำอาหารอย่างอื่นอีกสองสามอย่าง และเชิญเขามาชิมอาหารแต่ละจาน นอกจากนี้ยังเผื่อแผ่ให้ลูกค้าที่กำลังกินอาหารในร้านได้ชิมด้วย

ทุกคนไม่เคยกินอาหารเช่นนี้มาก่อน จึงไม่คุ้นกับรสชาติของมันเท่าไรนัก แต่แน่นอนว่าพวกเขาชอบเป็นอย่างมาก และชมไม่หยุดปากว่าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน

จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่เขียนวิธีการทำอาหารเหล่านั้นลงบนกระดาษและมอบให้เถ้าแก่ด้วยความเต็มใจ ทั้งยังพูดอย่างจริงจังว่าสูตรอาหารที่อร่อยเช่นนี้ เธอได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และเพราะถูกชะตากับเถ้าแก่ จึงมอบให้โดยไม่คิดเงินสักอีแปะ แล้วขอให้เขาปรุงอาหารเหล่านั้นตามสูตรที่ให้ไว้

เถ้าแก่รับไปด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่ออ่านแล้วก็เห็นว่ามีพริกที่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่เขากลับไม่เคยเห็นมันมาก่อน จึงถามเสวี่ยเจียเยว่ว่านั่นคือสิ่งใด และจะหาซื้อได้จากที่ไหน

เสวี่ยเจียเยว่อุบไว้ไม่ยอมพูดความจริง เพียงบอกว่าตามตลาดทั่วไปนั้นย่อมมีขาย จากนั้นเธอก็ชวนเสวี่ยหยวนจิ้งจากไป

เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ร้านอาหารทุกร้านในเมืองผิงหยางก็มีรายการอาหารเพิ่มขึ้น และในตลาดมีร้านขายพริกร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ ทั้งยังมีคนจากร้านอาหารเข้าๆ ออกๆ ร้านแห่งนั้นไม่ขาดสาย

ในตอนแรกเสวี่ยเจียเยว่ตั้งราคาพริกไว้ไม่สูงเท่าไรนัก แต่เมื่ออาหารเหล่านั้นเริ่มเป็นที่นิยมกันในเมืองผิงหยาง และคนในเมืองก็ไปร้านอาหารเพื่อสั่งมากิน เธอจึงเพิ่มราคาพริกให้สูงขึ้น

เสวี่ยเจียเยว่จ้างลูกชายคนโตของป้าหยางมาขายพริกโดยเฉพาะ และบอกเขาว่าหากคนในร้านอาหารมองพริกที่กองอยู่ในร้านแต่ไม่ซื้อเสียที ให้เขาบอกว่าพริกมีเพียงเท่านี้ ถ้าพวกเขาอยากซื้อก็ให้รีบหน่อย ไม่อย่างนั้นหากรอให้คนอื่นซื้อไปก่อน ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้แล้ว

ตอนนี้มีคนรู้จักพริกชนิดนี้แล้ว และรู้ว่ามาจากต่างแดน แต่มีเพียงเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้นที่ปลูกเป็นจำนวนมาก หากพวกเขาไม่ซื้อจากเด็กสาว ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเดินทางไปต่างแดนเพื่อซื้อพริกชนิดนี้ สุดท้ายแล้วน้ำที่อยู่ห่างไกลก็ไม่อาจช่วยให้คลายความกระหายได้ ดังนั้นเวลาเพียงไม่นาน พริกที่เธอเก็บเกี่ยวมาในปีนี้ก็ถูกผู้คนแย่งซื้อไปจนหมดเกลี้ยง ผงพริกกับน้ำมันพริกเผาเธอก็ขายในราคาสูงเช่นกัน เสวี่ยเจียเยว่จึงได้รับกำไรก้อนโตจากสิ่งเหล่านี้

เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิในปีถัดมา เสวี่ยเจียเยว่นำเมล็ดพันธุ์พริกที่แบ่งไว้เมื่อปีที่แล้วออกมาปลูกในที่ดินของชายชราแซ่อูที่เธอเช่าต่อ และแน่นอนว่าครั้งนี้พื้นที่ปลูกต้องมากกว่าปีที่แล้วหลายหมู่

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่ากำไรก้อนโตที่ได้จากพริกเหล่านี้ เป็นเพราะเธอได้เปรียบในการคว้าโอกาสก่อนใครเท่านั้น พริกเป็นพืชที่ปลูกไม่ยาก หากรอให้ผ่านไปสักปีสองปีที่ผู้คนรู้จักวิธีปลูกแล้ว พริกเหล่านี้ก็จะไร้คุณค่าในทันที

พริบตาเดียวก็ถึงเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ เมื่อถึงวันไป๋ลู่[1] ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยเย็นสบาย ต้นพริกเริ่มเติบโต บรรดาชายหนุ่มก็หลั่งไหลมาสอบระดับมณฑลที่จะจัดขึ้นในทุกสามปี

สถานที่สอบระดับมณฑลอยู่ในเมืองผิงหยาง เมื่อไม่กี่วันก่อนเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มตระเตรียมของที่ควรใช้ในการสอบ เมื่อถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันที่แปดของเดือน เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อทำอาหาร หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เธอก็อยากไปส่งเสวี่ยหยวนจิ้งไปสอบ ทว่ากลับถูกชายหนุ่มห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ด้านนอกมีคนเยอะ” เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าไป ข้าไม่มีทางวางใจได้แน่ รออยู่ที่เรือน รอข้ากลับมาเถอะ”

ใบหน้าของเด็กสาวอายุสิบสี่ปีนับวันยิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ ความงามและเสน่ห์เช่นนี้ไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้ เสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าหลังจากที่เขาเข้าสนามสอบแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จะต้องกลับมาคนเดียว

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่คิดๆ ดูแล้ว เธอก็ยอมตอบตกลง เพราะไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งต้องเป็นห่วงเธอตอนเข้าสนามสอบในช่วงสองสามวันนี้

เธออยากไปส่งเสวี่ยหยวนจิ้งออกจากเรือน แต่กลับถูกชายหนุ่มจับมือเอาไว้

“ข้าจะไปสอบแล้ว ทั้งยังต้องไปหลายวัน เจ้าจะไม่จูบข้าสักหน่อยหรือ”

เมื่อกล่าวจบเขาพลันยื่นหน้าเข้ามาใกล้เด็กสาว

ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้ แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะจูบกับเสวี่ยเจียเยว่อยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็มักจะเป็นเขาที่เริ่มก่อนเสมอ และเสวี่ยเจียเยว่จะยอมรับจูบของเขาอย่างอดทน ทว่าชายหนุ่มอยากให้เด็กสาวเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ดังนั้นจึงคว้าโอกาสนี้พูดขึ้นมา

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าใบหน้าของตนแดงเรื่อขึ้นมาในทันที เธอจึงก้มหน้าไม่ขยับเขยื้อน

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น เขาจึงกล่าวออกมาอีก “การสอบระดับมณฑลนั้นสำคัญมาก หากครั้งนี้สอบไม่ผ่าน ก็ต้องรออีกสามปี เยว่เอ๋อร์ เจ้าอยากให้ข้าสอบผ่านหรือไม่ ถ้าอยาก… เช่นนั้นก็ให้กำลังใจข้าสิ”

รอยยิ้มในดวงตาดำขลับของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เด็กสาวอีกครั้ง

เสวี่ยเจียเยว่กัดฟันกรอดๆ อย่างเงียบๆ ด้วยความโกรธ

อย่าคิดว่าเธอไม่รู้ว่าเขาคิดจะใช้โอกาสนี้ล่อลวงให้เธอเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แต่เสวี่ยเจียเยว่จะทำอย่างไรได้ ถึงอย่างไรการสอบระดับมณฑลก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากเธอปฏิเสธตอนนี้ละก็…

สุดท้ายเธอก็เงยหน้าขึ้น แล้วจูบแก้มของเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา

จูบของเธอเบาราวกับแมลงปอเกาะผิวน้ำ เพียงอยากจะสัมผัสครู่เดียวและถอยกลับไป แต่ขณะที่เธอกำลังจะถอยออกห่างจากแก้มของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น เขากลับเอื้อมมือมาจับท้ายทอยของเธอ และจู่โจมจูบเสวี่ยเจียเยว่อย่างดูดดื่ม

ผ่านไปเป็นเวลานานเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ปล่อยเธอ ก่อนใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ริมฝีปากแดงเรื่อที่ชุ่มชื้นและบวมเล็กน้อยเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “อยู่ในเรือนดีๆ รอข้ากลับมา”

เมื่อกล่าวจบเขาก็ถือสัมภาระแล้วเดินออกไปจากประตูเรือน

เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นหลังของเขาค่อยๆ หายไปจากประตูลานเรือน พลางยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของตนเบาๆ ขณะที่ใบหน้าแดงเรื่อ ผ่านไปครู่ใหญ่เธอถึงได้หมุนตัวกลับมา

[1] เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน ไปจนถึงวันที่ 22 กันยายน เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิค่อยๆ ลดลง ไอน้ำในอากาศกลายเป็นน้ำค้างเกาะบนต้นไม้ใบหญ้าในเวลาค่ำคืน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย
Status: Ongoing
ระหว่างทำวิทยานิพนธ์ก่อนจบการศึกษา จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ ก็เข้ามาอยู่ในนิยายของเพื่อนร่วมห้อง แน่นอนว่าเธอรู้จักตัวละครชายอย่าง เสวี่ยหยวนจิ้ง เป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นพระเอกในเรื่อง คนผู้นี้รูปงามทั้งยังเก่งกาจ แต่ถ้าจำไม่ผิด เขาจะฆ่าแม่เลี้ยงและทำร้ายน้องสาวต่างมารดา ซึ่งโชคร้ายที่เธอมาอยู่ในร่างน้องสาวที่เขาเกลียดชังนี่เอง แล้วเธอจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ในเมื่อ ‘ท่านพี่’ ผู้นี้เย็นชาจนน่ากลัว ดูเหมือนเขาจะไม่มีความเป็นพระเอกเอาเสียเลย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset