หนึ่งร้อยสามสิบห้า
พี่จิ้งเผยไม้ตายสุดท้าย
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เย้าแหย่เสวี่ยเจียเยว่อีก ทั้งสองคนลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมตัวนอกแล้วออกไปจากห้อง เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ เสวี่ยเจียเยว่ก็นำกระดาษที่ใช้จดสูตรอาหารปึกใหญ่มาให้เสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วพวกเขาก็เดินออกจากประตูเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งไปส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่ร้านซู่ยวี่เซวียนก่อน จากนั้นเขาจึงเดินทางไปหาเถ้าแก่ลู่
เพราะกังวลกับเรื่องการสอบของเสวี่ยหยวนจิ้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีกะจิตกะใจมาดูแลร้านซู่ยวี่เซวียน ตอนนี้จึงวุ่นวายอยู่กับการนับจำนวนคนที่มาสั่งตัดชุด และตรวจสอบจำนวนของที่เหลือในห้องเก็บของ
ขณะที่เธอกำลังตรวจดูผ้าและเส้นไหมอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงป้าเฝิงเรียก
“เถ้าแก่เนี้ย มีคนมาหาเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่คิดเพียงว่าเป็นลูกค้ามาตัดชุดเท่านั้น จึงรีบขานรับแล้วเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับถือสมุดจดบันทึกรายการสิ่งของในร้านไปด้วย
เธอเห็นคนผู้หนึ่งกำลังเอนตัวอยู่ข้างโต๊ะคิดเงิน ก้มศีรษะเล็กน้อย ในมือของเขากำลังเล่นที่ทับกระดาษซึ่งทำด้วยไม้ตะโก
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ด้านข้างเข้ามาตกกระทบลงบนตัวเขา ทำให้รอบกายคนผู้นั้นมีแสงสีส้มอ่อนอันอบอุ่น ใบหน้าเขาดูนิ่งขรึมและหล่อเหลาจนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
เขาคือตันหงอี้ เขามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันทันที
ทันใดนั้นตันหงอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ เด็กสาวสวมเสื้อฉางอ๋าว[1] สีม่วงอ่อนลายดอกเหมยสีทอง กับกระโปรงจีบสีเหลืองเปลือกข้าว ร่างอรชรยืนอยู่ตรงนั้นราวกับดอกไห่ถังที่กำลังบานสะพรั่ง
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ยกที่ทับกระดาษไม้ตะโกขึ้นโบกไปทางเสวี่ยเจียเยว่ “ลายแกะสลักรูปดอกบัวบนนี้งดงามยิ่งนัก เจ้าไปซื้อมาจากที่ใดหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่เม้มปากไม่ยอมพูด ความจริงที่ทับกระดาษนี้คนซื้อไม่ใช่เธอ แต่เป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง หลังจากความสัมพันธ์ของทั้งสองคนชัดเจนขึ้น ชายหนุ่มก็มักจะซื้อสิ่งของให้เธออยู่บ่อยๆ ครั้งหนึ่งเธอเคยเอ่ยถาม ก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งตอบกลับมาว่า เขาอยากมอบสิ่งของที่เธอสามารถแตะต้องได้ เพื่อที่เธอจะได้นึกถึงเขาเวลาที่มองมัน
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่พูด ตันหงอี้ก็ยิ้มและวางที่ทับกระดาษไว้ที่เดิม
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้สติกลับมา ก็ขอให้ตันหงอี้ไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนจะบอกให้เสี่ยวฉานไปยกน้ำชามาให้ เมื่อนางยกถาดน้ำชามาส่งให้แล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยกับตันหงอี้ด้วยรอยยิ้ม “อาจเทียบไม่ได้กับชาในเรือนเจ้า คุณชายอย่าได้ถือสา”
น้ำเสียงของเธอนั้นดูให้เกียรติเขาเป็นอย่างมาก แม้จะไม่เรียกว่า ‘ท่าน’ ก็ตาม
ตันหงอี้ได้ยินเช่นนั้นหางตาของเขาก็กระตุกเบาๆ จากนั้นเขาไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าควรจะหาเรื่องใดมาพูดกับเขาดี จึงได้แต่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเช่นกัน
หลังจากเธอปฏิเสธตันหงอี้อย่างตรงไปตรงมาในตอนนั้น เขาก็ไม่เคยมาหาเธอเป็นเวลานานแล้ว เมื่อได้มองชายหนุ่มในตอนนี้ เธอรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปมาก แม้ไม่รู้ว่าควรจะหาคำพูดใดมาสนทนากับเขาดี แต่ถึงอย่างไรก็คิดว่าไม่สมควรที่จะไล่แขกด้วยสีหน้าเย็นชา บางทีคนผู้นี้อาจลืมเรื่องนั้นไปนานแล้ว แล้วเขามาหาเธอในวันนี้เพราะเรื่องอะไร
ในขณะที่เธอกำลังคิดถึงเรื่องนี้ ก็ได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกับโต๊ะเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นว่าตันหงอี้วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ และกำลังช้อนตาขึ้นมองเธอ แววตาของเขานั้นล้ำลึกจนยากจะเข้าใจ
จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา เธอจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ และยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสุภาพ “เจ้ามาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือ”
“ไม่มีธุระแล้วมาหาเจ้าไม่ได้หรือ” เมื่อเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ยิ่งดูกระอักกระอ่วนมากขึ้น ตันหงอี้หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้มองอีกฝ่าย ได้แต่หรี่ตาลงก่อนจะเอื้อมมือไปจับถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะ ใช้นิ้วลูบขอบถ้วยเบาๆ พร้อมกับกล่าวออกมา “นี่ก็ผ่านมานานแล้ว แต่ข้ายังลืมเจ้าไม่ได้ ข้าอยากจะพบเจ้ามาโดยตลอด แต่ข้าก็จนปัญญา”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
หากเป็นตันหงอี้ที่หยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อน เธอยังพอจะโต้เถียงกับเขาได้ และรู้สึกมาตลอดว่าตอนนั้นเขาหน้าหนา ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเสียใจอย่างแน่นอน แต่ตันหงอี้ที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าช่วงที่ผ่านมาเหมือนเขาผ่านเรื่องเศร้าโศกที่ยากจะลืมเลือนมาอย่างไรอย่างนั้น จนเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ เธอรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย เพราะการจะปฏิเสธเขาไปตรงๆ เช่นเมื่อก่อนนั้น เธอทำใจพูดออกไปไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่คิดหาคำพูดที่สละสลวย แต่ก็เห็นตันหงอี้เงยหน้าขึ้นมองเธอพร้อมกับรอยยิ้มบางเสียก่อน
“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังคิดหาคำพูดมาปฏิเสธข้า แต่เมื่อก่อนนี้ข้าฟังคำปฏิเสธของเจ้ามามากพอแล้ว ที่ข้ามาในวันนี้ไม่ได้อยากฟังคำพูดเหล่านั้น ข้าแค่อยากเอ่ยคำพูดที่อยู่ในใจของข้าให้เจ้าได้ฟังเท่านั้น และข้าก็มีเรื่องอยากจะถามเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เจ้ามีเรื่องอะไรอยากจะถามข้าหรือ”
ตันหงอี้โน้มตัวไปหาเสวี่ยเจียเยว่เล็กน้อยโดยมีโต๊ะไม้จีชื่อ[2] กั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มบางๆ กระนั้นมือกลับกำถ้วยชาแน่น
“ตอนนั้นเจ้าพูดกับข้าว่าเจ้ามีคู่หมายแล้ว คำพูดนี้มันคือเรื่องจริง หรือเป็นเพียงเพราะเจ้าอยากปฏิเสธข้า ถึงได้พูดโกหกออกมา”
เสวี่ยเจียเยว่นิ่งค้างไปชั่วขณะ ตอนนั้นเธอทนความดื้อด้านของตันหงอี้ไม่ไหวจริงๆ ถึงได้โกหกเขาไปเช่นนั้น แต่ตอนนี้เธอมีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว…
เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้กับตันหงอี้อย่างไรดี ถึงอย่างไรตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังเป็นพี่น้องกันเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกอึดอัดไม่พูดไม่จา ตันหงอี้ก็ยิ่งกำถ้วยชาแน่นขึ้นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปน พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “คำพูดนั้นเจ้าโกหกข้าใช่หรือไม่”
หัวใจของเขาพลันเกิดความหวังขึ้นมาทันใด หากเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ได้หมั้นหมาย เช่นนั้นเขาก็มีความหวังอยู่ใช่หรือไม่
แต่ทันใดนั้นเสียงอันเย็นชาก็ดังขึ้น “นางไม่ได้โกหกเจ้า นางมีคู่หมายแล้วจริงๆ”
เสวี่ยเจียเยว่ลุกขึ้นทันที ก่อนจะหันไปมองด้านหลัง
เมื่อครู่นี้เธอนั่งหันหลังให้ประตูหน้าร้าน จึงมองไม่เห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นเป็นใคร แต่ตันหงอี้ที่นั่งหันหน้าให้ประตูรู้ว่ามีใครกำลังเดินเข้ามา
เขาไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น กลับกันรอยยิ้มของเขากว้างกว่าเดิม พร้อมกับเอนหลังพิงเก้าอี้และเอ่ยเสียงเบา “เสวี่ยหยวนจิ้ง”
ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวออกมานั้น เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
พอเห็นว่าตอนนี้เขาสาวเท้าเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบนัก หัวใจของเธอก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น“ท่าน… ท่านพี่ ท่าน… ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแววตาของเสวี่ยเจียเยว่ตื่นตระหนก แม้ว่าเขาจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกผ่านสีหน้า กลับพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เหลือบมองตันหงอี้ด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเสวี่ยเจียเยว่แล้วดึงเด็กสาวมายืนข้างตน
เสวี่ยเจียเยว่ขยับไปหาชายหนุ่มอย่างว่าง่าย ท่าทางของเธอดูเชื่อฟังเขาเป็นอย่างมาก
ตันหงอี้ที่นั่งมองอยู่ตรงข้ามรู้สึกตกใจไม่น้อย แต่สีหน้าของเขายังคงดูนิ่งสงบเหมือนไม่ใส่ใจกับการกระทำนั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้มองไปที่ชายหนุ่มอีกคน เพียงก้มหน้าเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าไปช่วยพวกป้าเฝิงข้างในเถอะ ข้าจะคุยกับคุณชายตันเอง”
ในขณะที่กล่าวนั้น เขายกมือขึ้นจับปอยผมทัดใบหูของเด็กสาวไปด้วย
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเผยความจริงต่อหน้าตันหงอี้ เธอจึงรู้สึกไม่สบายใจไม่น้อย แววตาของเธอที่มองเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นเต็มไปด้วยความลังเล
เสวี่ยหยวนจิ้งยกยิ้มมุมปาก และยกมือขึ้นลูบศีรษะของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ “เจ้ากลัวอะไร พี่ชายอยู่ที่นี่ด้วย ให้ข้าจัดการเอง”
กระทั่งน้ำเสียงก็ยังอ่อนโยน ทำให้ตันหงอี้ยิ่งรู้สึกหนักใจมากกว่าเดิม
และตอนนี้เขาได้ยินเสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลงเพียงหนึ่งเสียง จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างช้าๆ
ตอนที่เธอเดินผ่านตันหงอี้นั้น เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าเขาเหลือบมองมาที่เธอ ทว่าไม่นานนักก็เหลือบมองไปทางอื่น สีหน้าของเขายังคงดูสงบนิ่ง
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปข้างในแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เด็กสาวนั่งเมื่อครู่ ก่อนสายตาของเขาจะจับจ้องไปที่ตันหงอี้
ตันหงอี้เองก็มองเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนั้น
แม้ว่าคนทั้งสองจะไม่ได้กล่าวคำใด แต่สายตาที่มองกันและกันนั้นกลับดูตึงเครียดไม่น้อย
จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ้มออกมา แต่เป็นเพียงรอยยิ้มที่เสแสร้ง ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“คุณชายตันเป็นคนฉลาด ตอนนี้เจ้าคงมีเรื่องสงสัยมากมาย” เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้พูดอ้อมค้อมกับตันหงอี้ เขาพูดเข้าประเด็นในทันที “ไม่ผิดหรอก สิ่งที่เจ้ากำลังสงสัยทั้งหมดนั้น แม้ว่าข้ากับเยว่เอ๋อร์จะใช้แซ่เดียวกัน แต่พวกข้ามิใช่พี่น้องกันแท้ๆ และคนที่หมั้นหมายกับนางนั้น… ก็คือข้า”
หลังจากความสงสัยในใจของตันหงอี้ได้รับการยืนยันด้วยคำพูดอย่างตรงไปตรงมาของเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้สมองของเขาก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ
มิน่า… เสวี่ยหยวนจิ้งถึงไม่เลือกใครให้เป็นว่าที่สามีของเสวี่ยเจียเยว่ และแสดงความเป็นเจ้าของเด็กสาวอย่างชัดเจนเช่นนั้น ที่แท้อีกฝ่ายก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่มีสถานะ ‘น้องสาว’…
เขาน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว…
ทว่าต่อให้หัวใจของเขาจะมีคลื่นซัดสาดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงเพียงใด สีหน้าของตันหงอี้ก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย กระทั่งเอ่ยออกมาเพียงคำเดียวเป็นเชิงว่าเขารู้แล้วเท่านั้น ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักนิด
แต่สายตาแหลมคมของเสวี่ยหยวนจิ้งกลับเห็นว่ามือของตันหงอี้กำแน่น หลังมือคู่นั้นมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา
เสวี่ยหยวนจิ้งมองอย่างไม่แยแส ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาที่เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งดื่มไปเมื่อครู่ขึ้นมา และจิบน้ำชาที่เหลืออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเขาก็วางถ้วยชาลงและไม่ได้มองตันหงอี้อีก เพียงมองความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบ
“ในเมื่อคุณชายตันรู้เรื่องนี้แล้ว ข้าก็หวังว่าครั้งหน้าเจ้าจะไม่มารบกวนเยว่เอ๋อร์อีก นางเป็นคนใจอ่อน ไม่เคยพูดจารุนแรงกับใคร เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้นางลำบากใจและเบื่อหน่าย”
คำพูดนี้คล้ายมีดแหลมด้ามหนึ่งแทงเข้ามาในหัวใจของตันหงอี้อย่างรุนแรง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทุกลมหายใจ ราวกับหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ
เดิมทีเขาอยากจะยกยิ้มมุมปาก และอยากโต้เถียงกับเสวี่ยหยวนจิ้งสักประโยค ทว่าเขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว และรู้ว่าต่อให้พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ จึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นแผ่นหลังของตันหงอี้พ้นออกไปจากร้านแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้เก็บสายตากลับมา และหันไปมองม่านสีแดงอ่อนพลางกล่าวออกมา
“ได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่ ออกมาเถอะ”
[1] เป็นเสื้อตัวยาวที่ใช้สวมไว้ด้านนอกสำหรับฤดูหนาว หรือช่วงที่มีอากาศเย็นในฤดูอื่นๆ
[2] เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดไม้ของจีนแต่โบราณกาล