หนึ่งร้อยสามสิบแปด
พี่จิ้งหน้าไม่อาย
ช่วงที่มีการประกาศผลการสอบระดับมณฑลนั้น คือช่วงที่ดอกหอมหมื่นลี้หรือคนในยุคนี้เรียกว่าดอกกุ้ยฮวามีกลิ่นหอม จึงถูกเรียกว่าการประกาศผลกุ้ยปั่ง[1]
เมื่อถึงวันประกาศผลสอบ เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ไปที่ร้านซู่ยวี่เซวียน แต่จะรอฟังผลสอบอยู่ในเรือน
แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าในภายภาคหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นจะได้เป็นเสนาบดี การสอบระดับมณฑลนั้นเขาย่อมสอบผ่านอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เธอก็ยังอดกระวนกระวายไม่ได้ จึงมักจะวิ่งออกไปมองหน้าประตูเรือนอยู่บ่อยครั้ง
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมีท่าทีนิ่งสงบมาก เขายืนอยู่หลังโต๊ะและกำลังถือพู่กันวาดภาพ
เมื่อวาดเสร็จแล้ว เขากวักมือเรียกเสวี่ยเจียเยว่ผ่านหน้าต่าง “มานี่”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็เดินกลับเข้าไปในเรือน พอเธอเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มก็คว้าแขนเรียวเล็กของเธอให้เข้าไปอยู่ข้างกายเขา และชี้ไปที่ภาพวาดในกระดาษบนโต๊ะพร้อมเอ่ยถาม
“เจ้าว่าภาพที่ข้าวาดเป็นอย่างไรบ้าง”
เสวี่ยเจียเยว่ก้มหน้าลงมองครู่หนึ่ง เห็นภาพสาวน้อยแววตาสดใสและยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด ในมือถือกิ่งท้อพร้อมกับก้มหน้าลงดอมดมดอกสีชมพูอ่อน ด้านข้างยังมีบทกวีเขียนเอาไว้
‘ต้นเถาเยาว์เยาว์ ดอกเถาลกเพา สาวเข้าอาวาห์ ศรีสง่าเรือนเหย้า[2]
ความในใจซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้ [3]’
ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่อ เธอก้มหน้าไม่กล่าวอันใด ทำเหมือนตนไม่เข้าใจความหมายนั้น
แต่ระหว่างพวกเขาสองคน เสวี่ยหยวนจิ้งมักเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูด เขาจึงจับมือทั้งสองข้างของเด็กสาวขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าคิดจะแต่งงานกับข้าเมื่อไร”
เขาอยากถามเช่นนี้ทุกวัน เพียงหวังว่าเสวี่ยเจียเยว่จะตอบตกลงในไม่ช้า
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นระรัว ในขณะที่กำลังจะตอบนั้น ก็ได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้นจากด้านนอก และเสียงกีบม้าวิ่งใกล้เข้ามา
เธอรีบชักมือออกจากมือของเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันที
พอพ้นประตูเรือนก็เห็นคนหลายคนเดินเข้ามาจากประตูลานเรือน และมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “นี่คือเรือนของคุณชายเสวี่ยหรือไม่ ได้โปรดรีบออกมาโดยเร็ว ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านสอบผ่านแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามอย่างละเอียด ก็รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับสูงสุดในการสอบระดับมณฑล ซึ่งเรียกว่า ‘เจี้ยหยวน’ เธอดีใจมากจึงรีบหันกลับไปเรียกชายหนุ่ม “ท่านพี่ รีบมาเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ดีใจเท่าไรนัก เมื่อครู่เขาเห็นสีหน้าและการแสดงออกของเสวี่ยเจียเยว่ ก็คิดว่าไม่แน่อีกฝ่ายอาจจะตอบตกลงแต่งงานกับเขาในไม่ช้า แต่ทันใดนั้นก็ถูกคนที่มาแจ้งข่าวเหล่านี้ขัดจังหวะเสียก่อน
เขาเดินออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาและฝีเท้าที่ไม่เร็วไม่ช้านัก เมื่อผู้แจ้งข่าวรู้ว่าเขาคือเสวี่ยหยวนจิ้ง ทุกคนก็รีบเข้ามาแสดงความยินดีกับชายหนุ่ม
ม้าหลายตัวถูกผูกไว้กับต้นไม้ที่หน้าประตูลานเรือน และเมื่อชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินเช่นนั้นต่างก็วิ่งมาดูด้วยความสนใจ ทำให้คนแน่นขนัดอยู่หน้าประตูลานเรือน
เสวี่ยเจียเยว่รีบนำอั่งเปามอบให้ผู้แจ้งข่าวเหล่านั้น เสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับสูงสุด เงินอั่งเปาที่ผู้แจ้งข่าวต้องการย่อมสูงไม่น้อย แต่ตอนนี้เธอดีใจมาก อีกทั้งยังพอมีเงินแล้วจึงให้ไปตามที่พวกเขาขอ
ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งผู้แจ้งข่าวและชาวบ้านที่มาดูออกไปได้ จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็นำกระดาษสีแดงแผ่นใหญ่มาให้เสวี่ยหยวนจิ้งดูด้วยความดีใจ
“ท่านพี่ ท่านดูสิ ท่านสอบผ่านได้เจี้ยหยวนด้วยนะเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรับกระดาษแผ่นนั้นมา จากนั้นก็วางเอาไว้บนโต๊ะข้างๆ ก่อนจะหันไปจับมือเสวี่ยเจียเยว่ และก้มหน้าลงมองอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยถาม “เยว่เอ๋อร์ เจ้าคิดจะแต่งงานกับข้าเมื่อไร”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ตอบคำถามของเขา ทั้งยังขัดขืน “ท่านพี่ ท่านสอบได้อันดับสูงสุดในระดับมณฑลนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี หากเจ้ายอมตกลงแต่งงานกับข้าตอนนี้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีถึงสองเรื่อง เยว่เอ๋อร์ เจ้าอยากมีเรื่องที่น่ายินดีสองเรื่องหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
มุมปากเสวี่ยเจียเยว่กระตุกเล็กน้อย เหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องที่ตัวเองสอบได้อันดับสูงสุดในการสอบระดับมณฑล ‘นี่มันเรื่องใหญ่เชียวนะท่านพี่’
เมื่อดิ้นไม่หลุด เธอก็ได้แต่ตอบอย่างคลุมเครือ “รอข้าโตกว่านี้อีกหน่อยได้หรือไม่”
ตอนนี้ร่างของเอ้อร์ยาเพิ่งอายุสิบสี่ปี แม้ว่าในยุคนี้คนอายุสิบสี่ปีจะออกเรือนไปหลายคนแล้ว แต่ถ้าคิดว่าตอนที่เธออายุสิบสี่ในภพที่จากมา เธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ถึงอย่างไรเธอก็รับไม่ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวอันใด ได้แต่จับจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาขื่นขม มองจนหัวใจของเสวี่ยเจียเยว่สั่นสะท้าน ในขณะที่เกือบจะพ่ายแพ้ความสง่างามของเขาและตอบตกลง เธอก็ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อเยว่เอ๋อร์อยากได้เช่นนี้ ข้าก็ได้แต่รับปากเจ้าไป แต่ว่า…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็โน้มตัวเข้าหาและเอ่ยเสียงเบาที่ข้างหูของเด็กสาว “แต่ข้าอายุยี่สิบปีแล้ว เยว่เอ๋อร์ ข้าต้องทนทุกข์ทรมานทุกคืนนะ”
มีเสียงหัวเราะเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น ในขณะที่กล่าวจบเขาก็ไม่ได้ยืดตัวตรงในทันที แต่กลับเลียติ่งหูที่อ่อนนุ่มดั่งหยกของเสวี่ยเจียเยว่ช้าๆ ราวกับว่านี่คืออาหารอันโอชะที่สุดก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่แก้มร้อนจนแทบจะระเบิด ตอนนี้เธออายจนแทบกลายเป็นความโกรธไปแล้ว จากนั้นจึงอ้าปากและกัดเข้าที่ต้นคอของชายหนุ่ม
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ขัดขืน เพียงหัวเราะเบาๆ และปล่อยให้เด็กสาวกัดเขาเช่นนั้น ส่วนตัวเขาก็ยังคงเลียติ่งหูของอีกฝ่าย จากนั้นก็จูบเบาๆ และหยอกล้อกับติ่งหูอ่อนนุ่มต่ออย่างช้าๆ
ลมหายใจของชายหนุ่มถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าอีกประเดี๋ยวตัวเขาจะกลายเป็นไฟลุกลาม จึงรีบผลักเขาออกไป จากนั้นก็ยืนอยู่กับที่ ยกสองมือเท้าสะเอว และกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนง
“ต่อให้ท่านทุกข์ทรมานเพียงใดก็ต้องอดทน หรือแม้ข้าจะตอบตกลงแต่งงานกับท่านแล้ว ท่านก็ยังต้องอดทน”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง “พอถึงตอนนั้นเจ้าก็คงห้ามไม่ได้ อีกอย่าง… พอเจ้าแต่งงานกับข้า ทุกคืนคนที่ทรมานน่าจะเป็นเจ้า เยว่เอ๋อร์ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเรี่ยวแรงของข้านั้นดียิ่งนัก”
เสวี่ยเจียเยว่หน้าแดงจนเลือดแทบหยดออกมาได้แล้วก็ไม่ปาน เขาพูดเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร เธอนับถือเสวี่ยหยวนจิ้งจริงๆ
หลังจากจ้องมองเขาอย่างเขินอายและโมโหครู่หนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่ก็เลือกที่จะเงียบอย่างชาญฉลาด ก่อนจะลากตัวเสวี่ยหยวนจิ้งออกไปกินอาหารที่ร้านของเถ้าแก่ลู่สักมื้อ
เรื่องใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องฉลอง
เมื่อพวกเขามาถึงร้านอาหาร ก็ได้ยินคนมากมายพูดถึงเรื่องผลการสอบในวันนี้ เสวี่ยเจียเยว่ฟังอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าคนที่ได้อันดับสองในการสอบระดับมณฑลคือตันหงอี้ ส่วนข่งซิวผิงและลู่ลี่เซวียนก็ได้อันดับที่ดีเช่นกัน แต่เจี่ยจื้อเจ๋อนั้นไม่ผ่าน ได้ยินว่าบิดาของเขาจะให้เจี่ยจื้อเจ๋อไปฝึกการสู้รบกับทหารที่ค่ายสักหลายปี เมื่อเขาออกมาจะได้รับตำแหน่งแม่ทัพ
เนื่องจากลู่ลี่เซวียนก็สอบผ่านเช่นกัน วันนี้เถ้าแก่ลู่ดีใจยิ่งนัก เขาจึงมอบอาหารให้ลูกค้าที่เข้ามากินในร้านเพิ่มอีกหนึ่งจานโดยไม่คิดเงิน ทำให้หลายคนเอ่ยชื่นชมเถ้าแก่ลู่ว่าเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าจะมีคนจำเสวี่ยหยวนจิ้งได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะมีคนมากมายเข้ามาทักทายอย่างแน่นอน เธอจึงขอนั่งในห้องที่เป็นส่วนตัว เพื่อจะได้ปิดประตูกินอาหารและพูดคุยกันได้อย่างสะดวก
แต่ทำเช่นนั้นก็ไม่ดี เพราะห้องส่วนตัวนั้น เมื่อลูกจ้างในร้านส่งอาหารเสร็จก็จะถอยออกไป ทันทีที่ลงกลอนไม้บนประตู ไหนเลยจะห้ามปรามเสวี่ยหยวนจิ้งได้ อีกทั้งเรี่ยวแรงของเขาก็มากกว่าเธอ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ใจอ่อนกับเขาได้ง่ายๆ
สุดท้ายด้วยการเย้าหยอกและบรรยากาศเป็นใจ ก็ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งทนไม่ไหวจนเข้ามากอดจูบเธอ เมื่อลูกจ้างในร้านเคาะประตูเพื่อนำอาหารมาส่ง ใบหน้าคมของเขาก็ยังคงอ่อนโยนและดูไม่ทุกข์ร้อนอันใด ราวกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่อ่อนโยนและสง่างามเหมือนหยกล้ำค่า กลับเป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่พวงแก้มสองข้างแดงเรื่อ นัยน์ตาเป็นประกายไปด้วยน้ำใส ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำท่ากินอาหารเท่านั้น เพราะไม่กล้าให้ใครเห็นหน้าเธอในตอนนี้
แต่ถึงเสวี่ยเจียเยว่จะโกรธอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทั้งที่ชั่วขณะนั้นเธออยากจะกัดเสวี่ยหยวนจิ้งให้ตายไปเลยยิ่งดี ทว่าไม่นานก็ถูกเขารวบตัวเข้าไปในอ้อมกอดและกล่าวคำหวานหยอกล้อ ทำให้ความโกรธหายไปจนหมดสิ้น
หลังจากพวกเขากินอาหารเสร็จแล้ว ริมฝีปากของเสวี่ยเจียเยว่ก็บวมแดงเล็กน้อย ดวงตาของเธอแดงเรื่อและมีน้ำใสๆ คลออยู่ ช่างเหมือนกับปีศาจน้อยยั่วยวนใจคนก็ไม่ปาน
เสวี่ยหยวนจิ้งจะยอมให้คนอื่นเห็นเสวี่ยเจียเยว่ในตอนนี้ได้อย่างไร หมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น เขาสวมให้เด็กสาวด้วยตัวเอง จากนั้นก็จูงมืออีกฝ่ายเดินไปตามทางที่จะกลับเรือนอย่างช้าๆ
วันนี้อากาศดีบนถนนจึงมีผู้คนสัญจรไม่ขาดสาย เมื่อลมพัดโชยมา กลิ่นหอมของดอกไม้ก็นำความสดชื่นและสงบมาด้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของเขาหวานฉ่ำปานน้ำผึ้ง
เมื่อเขาหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ แม้ว่าจะมีผ้าโปร่งสีขาวบนหมวกบดบังทำให้มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เขาก็ยังอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
มีเสวี่ยเจียเยว่คอยเคียงข้างเช่นนี้ จิตใจของเขารู้สึกสงบและอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทั้งชีวิตนี้เขาไม่สนใจเรื่องอื่นใดแล้ว
หลังจากการประกาศผลสอบผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีคนถือกระดาษแผ่นหนึ่งมาหาเสวี่ยหยวนจิ้งถึงหน้าประตูเรือน
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปดูใกล้ๆ ก็รู้ว่าคือเทียบเชิญไปงานเลี้ยงลู่หมิง[4] ซึ่งจัดขึ้นในที่ว่าการเมืองผิงหยาง โดยมีผู้ตรวจการเป็นเจ้าภาพ และจะเชิญผู้ที่สอบผ่านในครั้งนี้เข้าร่วมงานเลี้ยงนั้น
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่านี่คือประเพณี ผู้ที่สามารถสอบผ่านระดับมณฑลจะได้รับเชิญไปงานเลี้ยงลู่หมิง หากจะพูดกันตามจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เสวี่ยหยวนจิ้งได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ และเสวี่ยเจียเยว่เองก็รู้ดีว่าในงานจะต้องมีคนโอ้อวดตนเอง รวมทั้งคนที่ชอบดูถูกผู้อื่น เธอจึงคิดจะตัดชุดที่ดีที่สุดให้เสวี่ยหยวนจิ้งสวมไปร่วมงานในครั้งนี้
หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียด เสวี่ยเจียเยว่ก็ตัดชุดที่มีสาบเสื้อตรงซึ่งทำจากผ้าแพรสีเทาหม่น คอเสื้อกับแขนเสื้อเย็บด้วยผ้าต่วนสีเขียว
พอถึงวันที่ต้องไปร่วมงานเลี้ยง เสวี่ยเจียเยว่ก็ช่วยเสวี่ยหยวนจิ้งแต่งตัวอยู่ในเรือน ใบหน้าของเขาหล่อเหลา และสีทั้งสองนี้ก็เข้ากับเขายิ่งนัก บนเอวผูกด้วยผ้าต่วนสีเขียวเช่นเดียวกัน และแขวนจี้หยกปลาคู่สีขาวเอาไว้ ดูสง่างามจนไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยทีเดียว
เสวี่ยเจียเยว่เม้มริมฝีปากมองไปที่เขา สุดท้ายก็กล่าวด้วยความปวดใจเล็กน้อย “อย่าได้สวมชุดที่ข้าตั้งใจทำให้ท่านไปให้สตรีอื่นดูเล่า หากท่านตกหลุมรักหญิงอื่น ข้าจะทำสิ่งใดให้ท่านได้อีก นอกจากทำชุดเจ้าบ่าว”
เธอไม่วางใจเพราะมีนางเอกอีกแปดคนที่ยังไม่ปรากฏตัว
“นี่เจ้ากำลังหึงอยู่หรือ” เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้มบาง
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่หึงหวงเขาก็มีความสุขยิ่งนัก หากเด็กสาวหึง นั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีเขาอยู่ในหัวใจ
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ แต่ไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งดูออก เธอจึงเอ่ยเสียงแข็ง“ใครจะมีเวลามาหึงท่านกัน รีบไปร่วมงานเลี้ยงได้แล้ว หากยังชักช้าอืดอาดจะสายเอาได้”
เสวี่ยหยวนจิ้งคว้าตัวเด็กสาวเข้ามากอดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงจูบพวงแก้มที่ขาวเนียนดั่งหยกงาม และเอ่ยเสียงเบาข้างหูอีกฝ่าย
“เจ้าพูดถึงชุดเจ้าบ่าว ข้าก็นึกขึ้นได้ ตอนนี้ข้าสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว ต่อไปก็ต้องสอบระดับเมืองหลวง และสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็ถึงวัยปักปิ่น มิสู้รอให้ข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่งผ่านแล้ว พวกเราค่อยแต่งงานกันตอนนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าต้องเริ่มทำชุดแต่งงานแล้ว ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันเอาได้”
“ใครบอกว่าข้าจะแต่งงานกับท่าน ข้ารับปากว่าจะแต่งงานกับท่านแล้วหรือ” เสวี่ยเจียเยว่อยากผลักเขาออกไป แต่ก็จนใจเพราะแรงน้อย ไม่ว่าจะผลักอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม แม้ว่าใบหน้าขาวเนียนจะแดงเรื่อ แต่เธอกลับพยายามทำหน้าบึ้งตึง “รอให้ท่านสอบต่อหน้าพระที่นั่งผ่านก่อนค่อยว่ากันเถิด”
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงจูบเสวี่ยเจียเยว่อย่างห้ามใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมสอบผ่านแน่นอน เจ้าจงทำตามที่ข้าบอก เริ่มตัดชุดแต่งงานเสียตั้งแต่ตอนนี้”
หลังจากอ้อยอิ่งอยู่นาน ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็ชักทนไม่ไหว จึงพยายามผลักเขาออกไป และชายหนุ่มก็เดินออกจากเรือนไปด้วยรอยยิ้ม
[1] การประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบ ซึ่งจะอยู่ในช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติ
[2] ต้นเถาเยาว์เยาว์ ดอกเถาลกเพา สาวเข้าอาวาห์ ศรีสง่าเรือนเหย้า แปลโดย อาจารย์ยง อิงคเวทย์
[3] ความในใจซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้ หมายถึง พฤติกรรม จุดประสงค์ หรือแผนการชั่วร้ายของบุคคลใด ที่แม้บุคคลนั้นจะไม่ประกาศหรือแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่คนทั่วไปก็สามารถรับรู้ได้
[4] งานเลี้ยงที่จัดขึ้นหลังการสอบระดับมณฑล