เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงคำพูดที่ลูกค้าคุยกับเจ้าของร้านขายใบชาที่วัดต้าเซียงกั๋ววันนั้น เจ้าของร้านบอกว่าตลาดวัดต้าเซียงกั๋วจัดขึ้นแค่วันที่สิบห้าของเดือน แต่ค่าเช่าห้องเปิดร้านค้าในเมืองหลวงมีราคาแพงนัก เขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้ ดังนั้นเธอจึงอยากจะสร้างร้านค้าบนที่ดินที่เป็นแอ่งน้ำขังแห่งนั้น ไม่ต้องสร้างมาก และพื้นที่ทุกร้านก็ไม่ต้องใหญ่มากเช่นกัน ทำเช่นนี้ค่าเช่าจะได้ไม่แพงเกินไป เธอยังสามารถแบ่งที่ดินเพื่อสร้างเป็นแผงลอยเล็กๆ จากนั้นก็แบ่งให้เช่าได้อีก
เมื่อมีพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากมาเช่าแผงและร้านค้าที่เธอสร้าง ก็จะกลายเป็นตลาดที่มีสินค้าหลากหลาย และลูกค้าที่เดินเข้ามาในตลาดแห่งนี้ก็จะรู้สึกเหมือนได้ท่องไปตั้งแต่เหนือจดใต้ อาจมีแม้กระทั่งสินค้าจากต่างแดนทุกประเภทจนละลานตา ไม่ว่าใครอยากจะซื้ออะไร ขอเพียงมาที่ตลาดแห่งนี้ก็จะสามารถหาซื้อได้ เช่นนี้มีแต่ได้กับได้ใช่หรือไม่
ที่นี่จะเป็นอาณาจักรที่เธอสร้างขึ้นมา จากนั้นก็จะใช้ชีวิตในฐานะผู้เก็บค่าเช่าทุกวันอย่างที่ฝันเอาไว้ ทั้งยังสามารถขายอาหารทุกอย่างในตลาดของตัวเอง…
ยิ่งคิดเสวี่ยเจียเยว่ก็ยิ่งตื่นเต้น ความกลัวในใจของเธอพลันหายไป
“ทำธุรกิจ” เธอมองเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ท่านพี่ ข้าจะสร้างอาณาจักรธุรกิจของข้า และข้าก็จะเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจนี้”
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยประโยคนี้ ดวงตาของเธอเป็นประกายยิ่งนัก ราวกับแสงดาวที่ส่องกระทบแม่น้ำก็ไม่ปาน ดูเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก
เสวี่ยหยวนจิ้งกุมมือเด็กสาวเอาไว้แน่น แม้เขาจะไม่เข้าใจคำว่า ‘อาณาจักรธุรกิจ’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา แต่ช่วงที่ผ่านมานี้เขาเห็นเสวี่ยเจียเยว่เปิดร้านซู่ยวี่เซวียนและหาเงินจากพริก ทั้งยังรู้ว่าเด็กสาวมีความคิดมากมายในใจ จึงไม่คิดสงสัยว่าเสวี่ยเจียเยว่จะทำได้อย่างที่เจ้าตัวเอ่ยออกมาหรือไม่
เดิมทีเด็กสาวเป็นคนโดดเด่น และไม่มีอะไรมาขวางเจ้าตัวได้ รวมถึงตัวเขาด้วย…
ริมฝีปากได้รูปของเสวี่ยหยวนจิ้งเม้มเป็นเส้นตรง เขามองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาเคร่งขรึม และไม่ได้กล่าวอันใดออกมา
มีความคิดหนึ่งร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งในหัวของเขา เขาไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนเช่นนั้น อยากให้เด็กสาวเป็นเหมือนช่วงที่ผ่านมานี้ อยู่แต่ในเรือนทั้งวัน ให้เขาได้เห็นหน้าอีกฝ่ายเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มจับไหล่เสวี่ยเจียเยว่แน่น ทำให้เด็กสาวเจ็บปวดจนต้องร้องออกมาเบาๆ
“ท่านพี่ ข้าเจ็บ”
เสวี่ยหยวนจิ้งผ่อนแรงมือเล็กน้อย แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ยังตึงเครียด ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
“ข้าไม่เห็นด้วย” น้ำเสียงของเขานิ่งขรึม ดวงตาสีดำขลับลึกล้ำราวกับบ่อน้ำที่เงียบสงบ “ต่อไปเจ้าต้องอยู่แต่ในเรือน ห้ามออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนที่ดินผืนนั้น ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น”
ในระหว่างทางที่เดินกลับมาเสวี่ยเจียเยว่คิดถึงอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง รู้สึกได้ว่าเลือดในตัวเธอกำลังพลุ่งพล่าน และหัวใจก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิม แต่ตอนนี้คำพูดที่เหมือนถังน้ำแข็งของเสวี่ยหยวนจิ้งกลับทำให้หัวใจของเธอเย็นชาลงทันที
แต่เธอจะยอมรับได้อย่างไร… เสวี่ยเจียเยว่อยากจะทำตามความฝัน เธอจะยอมแพ้เพียงเพราะคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งได้อย่างไร
“ทำไม” เธอเอ่ยถาม “เหตุใดข้าต้องอยู่แต่ในเรือน ห้ามเดินออกจากประตูแม้แต่ก้าวเดียว ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น เมื่อก่อนท่านเองก็ไม่เคยคัดค้านข้าเรื่องทำการค้าขาย ท่านเคยบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้”
“ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน” เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่นั้นราวกับคมดาบ “เจ้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดต้าเซียงกั๋วไปแล้วหรือ หากเจ้าโผล่หน้าออกไปข้างนอกตลอดทั้งวัน คราวที่แล้วเป็นบุตรชายของโส่วฝู คราวหน้าอาจจะเป็นบุตรชายของขุนนางคนไหนอีกก็ได้ ไม่ใช่จะโชคดีเหมือนคราวที่แล้วเสมอไป หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าจะทำอย่างไร และข้าจะทำอย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงัน ความจริงแล้วเธอเข้าใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งหวังดี แต่ถึงอย่างไรในภพที่จากมาเธอก็ไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน หรือแม้แต่ได้ยินก็ยังน้อยมาก เธอมักจะรู้สึกเสมอว่าเหตุการณ์ไม่ดีจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น… แรงดึงดูดของอาณาจักรธุรกิจในหัวเธอยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางทิ้งไปตอนนี้เด็ดขาด
เธอเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องของข้า ข้าขอจัดการเอง ท่านไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่ง และถ้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะขอรับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง แต่ถ้าต้องอยู่แต่ในเรือน ออกไปไหนไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อกล่าวจบเธอก็คิดจะเดินเข้าไปในเรือน แต่รู้สึกว่าแขนขวาของตนถูกจับแน่นขึ้น ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็พุ่งมาจากด้านหลัง ก่อนที่ร่างของเธอจะถอยกลับไปโดยบังคับตัวเองไม่ได้
เธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งใช้มือข้างหนึ่งจับกดกับเสาระเบียงทางเดิน มืออีกข้างจับกรามของเธอแน่นราวกับนิ้วของเขากลายเป็นเหล็กแข็ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ
“เรื่องของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายอย่างนั้นหรือ เยว่เอ๋อร์ แม้ว่าข้าจะรักเจ้า รักจนอยากจะกลืนกินเจ้าเข้าไป แต่ใช่ว่าจะตามใจเจ้าไปทุกเรื่อง เรื่องที่ดินแอ่งน้ำขังผืนนั้น ต่อไปเจ้าอย่าได้แม้แต่จะคิด เจ้าต้องอยู่แต่ในเรือน ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น หากไม่อย่างนั้น เยว่เอ๋อร์ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหากข้าโกรธจริงๆ แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เมื่อก่อนหากเสวี่ยหยวนจิ้งดุเธอเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่คงใช้ไม้ตายบีบน้ำตาออกมาแล้ว แต่อาณาจักรธุรกิจเป็นความฝันของเธอ จึงรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เธอจะต้องทำให้มันเป็นจริงให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น… เขายังสั่งห้ามเธอออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว จะเป็นไปได้อย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังล้ำเส้นเธอ หลายปีมานี้บางครั้งเธอก็แอบโกรธอยู่เงียบๆ ที่เขาวางอำนาจและทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอมากเกินไป เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าความโกรธครั้งเก่ายังไม่หาย ก็มีความโกรธใหม่เพิ่มเข้ามา ทำให้เสวี่ยเจียเยว่เดือดดาลจนดวงตาแดงก่ำ
“หากข้าไม่เชื่อฟังเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรกับข้าหรือ” เธอตำหนิเขาอย่างเดือดดาลและไม่เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ เช่นทุกครั้งที่โกรธเขามาก “เสวี่ยหยวนจิ้ง ข้าเป็นคน ข้าไม่ใช่นก หรือถ้าเป็นนก ข้าก็อยากบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างอิสระ ไม่ใช่จะถูกขังอยู่ในกรงของเจ้าทั้งวัน ข้าจะบอกเจ้าให้นะ หากเจ้าบังคับข้าเช่นนี้ เจ้าก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
มนุษย์ย่อมไร้เหตุผลเสมอเมื่อทะเลาะกัน เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่ทำอะไร เขาก็ไม่มีทางบอกตรงๆ เช่นนี้ แต่จะเลือกใช้วิธีจัดการในแบบของเขา จนทำให้เธอโกรธ ทว่าสุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกผิดจนตัดสินใจไม่ทำเรื่องเหล่านั้นอีก แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินประโยคที่เด็กสาวพูดออกมา
“เจ้าจะทำอะไร” สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งเย็นชาราวกับดาบที่เพิ่งถูกชักออกมาจากฝัก ดวงตาดำขลับเหมือนเมฆที่ก่อตัวเป็นพายุบนท้องฟ้า “จะหนีไปจากข้า จากนั้นก็โบยบินไปทั่วท้องฟ้า ทำเรื่องที่เจ้าต้องการจะทำใช่หรือไม่”
นี่คือสิ่งที่เสวี่ยหยวนจิ้งกังวลที่สุด และเป็นเรื่องที่เขากลัวที่สุด ดังนั้นชายหนุ่มจึงอยากจะขังเสวี่ยเจียเยว่ไว้ในเรือน ต่อให้ต้องใช้ความอบอุ่นรับมือ หรือใช้การบีบบังคับ เขาก็ไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด ที่ผ่านมาเขาใช้ความอ่อนโยนรับมือกับเด็กสาวมาโดยตลอด ตาข่ายที่ทออย่างแน่นหนาทำให้เสวี่ยเจียเยว่ก้าวออกไปไม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว แต่ตอนนี้เขากำลังเดือดดาลอย่างมากจนหัวใจแทบระเบิด ดวงตาแดงก่ำ และแน่นอนว่าความอ่อนโยนนั้นใช้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ทั้งชีวิตนี้เจ้าเลิกคิดที่จะไปจากข้าได้เลย” เขายิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นไม่รอให้เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยปากโต้แย้ง ก็ก้มหน้ากัดริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
เสวี่ยเจียเยว่เจ็บปวดจึงเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย นั่นทำให้เขาใช้โอกาสนี้ตวัดปลายลิ้นเข้ามาในปากของเธออย่างบ้าคลั่ง ไม่มีความรักลึกซึ้งเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว
ตอนนี้เธอโกรธมากเช่นกัน แล้วจะยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งสมปรารถนาได้อย่างไร ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามดิ้นรนขัดขืน
แต่ที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยดิ้นหลุดอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังโกรธ เธอจะดิ้นหลุดได้อย่างไร ช่างเหมือนหนอนที่เขย่าต้นไม้เสียจริง แทบไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็ใช้ไม้ตายคือบีบน้ำตาออกมา ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งดูเหมือนจะไม่สนใจสักนิด เขาอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินตรงไปที่ห้องทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว
ห้องทางทิศตะวันตกเป็นห้องนอนของเสวี่ยหยวนจิ้ง และเสวี่ยเจียเยว่ก็มาที่นี่ทุกวัน การตกแต่งทุกอย่างในห้องนี้เธอคุ้นเคยยิ่งนัก โดยเฉพาะกระถางดอกสุ่ยเซียน[1] บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขา เธอก็มักจะมาเปลี่ยนน้ำในกระถางให้บ่อยๆ อย่างระวัง
แต่ตอนนี้เมื่อถูกเสวี่ยหยวนจิ้งอุ้มเข้ามา เธอกลับรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
มือทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่ถูกแขนเสวี่ยหยวนจิ้งกดไว้ที่ด้านหลังของเธอ เขาแทบไม่ได้ใช้แรงเลยด้วยซ้ำ แต่มีเพียงสองขาของเธอเท่านั้นที่ขยับได้ แต่ไม่ว่าเธอจะเตะอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยเธอลง หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็เดินตรงมาที่เตียงแล้ววางเธอลง
เสวี่ยเจียเยว่ร้องด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันก็พยายามจะลุกขึ้นและหนีลงจากเตียง แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือมาจับแขนของเธอไว้แล้วดึงกลับไปได้
“ข้าอุตส่าห์ทะนุถนอมเจ้ามาตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็ให้เจ้าตัดสินใจก่อน แต่เจ้ายังบอกว่าข้าบังคับเจ้า เยว่เอ๋อร์ เจ้ายังไม่ได้เห็นตอนที่ข้าบีบบังคับจริงๆ และตอนนี้ข้าก็จะทำให้เจ้าได้เห็นว่าการบีบบังคับคนจริงๆ เป็นอย่างไร”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ มุมปากก็ยกยิ้มอย่างชัดเจน แต่ดวงตาดำขลับนั้นไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ราวกับทะเลสาบน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัวแรง เธอรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่ตรงหน้านี้ราวกับปีนขึ้นมาจากขุมนรกก็ไม่ปาน แม้ว่าใบหน้าของเขาจะหล่อเหลา แต่ท่าทางเช่นนี้กลับทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
[1] คือดอกแดฟโฟดิล