หนึ่งร้อยหกสิบ
กลับมาจากการสอบ
คิ้วของชายหนุ่มดำขลับราวกับวาดด้วยน้ำหมึก มุมปากยกยิ้มบางๆ เสวี่ยเจียเยว่โยนผักที่เธอกำลังล้างอยู่ในมือทิ้งไปทันที และรีบวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็กางแขนออกพร้อมยิ้มกว้าง
“ท่านพี่” เสวี่ยเจียเยว่โผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ทันใดนั้นหัวใจที่เคว้งคว้างก็กลับมาสดใสดังเดิม “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งโอบกอดเด็กสาวแน่น พร้อมกับก้มหน้าลงบรรจงจูบแก้มอันขาวเนียน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
“อือ ข้ากลับมาแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่โอบคอของเขาด้วยสองมืออย่างดีใจ ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นจูบริมฝีปากของชายหนุ่ม
หาได้ยากที่เสวี่ยเจียเยว่จะเป็นฝ่ายกระทำก่อนเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมไม่ปฏิเสธ ทั้งยังจับท้ายทอยของเด็กสาวเอาไว้ เพื่อเพิ่มความลึกซึ้งให้จูบในครั้งนี้
พวกเขาจูบกันอยู่ครู่ใหญ่ เสวี่ยเจียเยว่ก็ซบใบหน้าแนบอกของชายหนุ่ม ทันใดนั้นเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามเขา
“ท่านพี่ ท่านเข้ามาได้อย่างไร ข้าลงกลอนประตูลานเรือนเอาไว้นะเจ้าคะ”
เมื่อครู่เธอไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูลานเรือนสักนิด…
“ข้ารอไม่ได้ ข้าอยากเจอเจ้าเร็วๆ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้เข้ามาทางประตู ข้ามกำแพงเรือนเข้ามาเลย” เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงจูบคิ้วโก่งได้รูปของเสวี่ยเจียเยว่ พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เยว่เอ๋อร์ หลายวันมานี้เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่”
หากข้ามกำแพงแทนการเข้าออกผ่านประตู เช่นนั้นประตูใหญ่ทั้งสองบานนั้นยังจำเป็นอยู่หรือไม่
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเสวี่ยหยวนจิ้ง เพียงผลักเขาออกจากห้องครัว
“ข้าต้มน้ำร้อนไว้แล้ว ท่านนำถังไม้เข้ามาตักไปอาบในห้องอาบน้ำเถอะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในห้องเล็กๆ ในสถานที่สอบมาหลายวันคงเหนื่อยล้าเต็มที ให้เขาไปอาบน้ำขจัดความอ่อนเพลียก่อน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วอาหารทุกอย่างก็คงพร้อมพอดี หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเธอจะส่งเขาเข้านอนเร็วกว่าที่ผ่านมา เพื่อพักให้หายเหนื่อย
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด และเดินไปหิ้วถังไม้จากห้องด้านข้าง จากนั้นจึงเข้ามาตักน้ำใส่ถังเพื่อนำไปเทลงอ่างไม้ในห้องอาบน้ำ
อ่างไม้สำหรับอาบน้ำนั้น เสวี่ยเจียเยว่ขัดถูทำความสะอาดไว้แล้ว ทั้งยังแขวนเสื้อผ้าสะอาดเอาไว้เรียบร้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนรักความสะอาด หลายวันมานี้เพราะมีข้อจำกัดเรื่องห้องพักระหว่างสอบ เขาจึงไม่ได้ดูแลตัวเองดีเท่าไรนัก ตอนนี้เมื่อเขาได้นั่งแช่ในน้ำที่ร้อนพอเหมาะ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าสะอาด และเทน้ำที่เหลือทิ้งไป ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
ชายหนุ่มพบว่าหมอนบนเตียงไม่ได้วางไว้ที่เดิม ผ้าห่มที่พับไว้นั้นก็ต่างจากตอนที่เขาจะไป ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ เขามักจะคว่ำลงทุกครั้งหลังดื่มเสร็จ แต่ตอนนี้มันกลับหงายขึ้น เมื่อเดินเข้าไปดู ก็พบว่าด้านในนั้นมีน้ำชาที่ยังดื่ม ไม่หมดเหลืออยู่ครึ่งถ้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งใช้ผ้าแห้งเช็ดน้ำบนเส้นผม พร้อมกับเดินไปที่เตียงเพื่อตรวจดู และพบว่ามีเส้นผมสีดำอยู่บนหมอนของเขา
เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู เส้นผมนี้ยาวมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของเขา…
เมื่อชายหนุ่มลองไตร่ตรองดู ก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงคลี่ยิ้มบางก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องของตน
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ทำอาหารเสร็จแล้ว เธอกำลังยกอาหารทั้งหมดไปวางบนโต๊ะในห้องโถง เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง จึงหยิบตะบันไฟไปจุดเทียนบนเชิงเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะ
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าในห้องโถงมีแสงเทียนสว่างแล้ว จึงยกฝาครอบลายผีเสื้อตอมดอกไม้ไปวางครอบเชิงเทียน จากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวคำใด เพียงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกไม่ไว้ใจรอยยิ้มของเขาจึงเอ่ยถาม “อยู่ดีๆ ท่านจะยิ้มทำไมเล่าเจ้าคะ”
เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าที่เสวี่ยเจียเยว่เตรียมไว้ให้ เมื่อที่เอวของเขาไม่มีผ้าผูกไว้ ทำให้ชายหนุ่มดูผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนมาก ผมยังไม่แห้งดีจึงมีหยดน้ำเกาะอยู่บนใบหน้าด้านข้างของเขา ภายใต้แสงสีส้มที่ส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ความเย็นชาและยากจะเข้าหาดูแปลกตาไม่น้อย
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัวเร็ว เมื่อเห็นว่าเขายังคงมองเธอด้วยรอยยิ้มก็เริ่มรู้สึกเขินอาย จึงถลึงตามองแล้วเอ่ยถามเขาเสียงสูง
“ท่านยิ้มอันใดกันเจ้าคะ”
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ความเขินอายกลับขับให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งได้มองก็รู้สึกเหมือนถูกอุ้งเท้าของลูกแมวข่วนเบาๆ ทั้งคัน ทั้งอ่อนยวบ แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังแหบแห้งโดยไม่รู้ตัว
“หลายวันมานี้เจ้านอนที่ไหนหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ชะงักทันที จากนั้นพวงแก้มทั้งสองข้างพลันแดงเรื่อ หัวใจเต้นรัวผิดจังหวะ แต่สีหน้ายังคงนิ่งสงบ
“คำถามนี้ของท่านช่างน่าขำนัก ข้าจะนอนที่ใดได้เล่าเจ้าคะ ก็ต้องนอนในห้องของข้าน่ะสิ”
เสวี่ยเจียเยว่ต้องการเอ่ยคำพูดปกปิดซ่อนเร้น แต่กลับกลายเป็นการเปิดเผยให้เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ไปเสียแล้ว
หลังจากพูดจบ เธอกลัวว่าชายหนุ่มจะซักไซ้อันใดอีกจึงรีบเอ่ยต่อ “ท่านหิวแล้วหรือ ข้ายกอาหารมาแล้ว ถ้าไม่รีบกินอาหารจะเย็นชืดเอาได้นะเจ้าคะ”
เธอผลักเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ได้กล่าวอันใด ส่วนตนก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือถือชามข้าว แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว
แต่ใบหน้ายังคงเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจก็เต้นรัว
ความหมายในคำถามของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่นี้… หรือชายหนุ่มอาจจะรู้ว่าหลายวันมานี้เธอนอนอยู่ในห้องของเขา แต่เขารู้ได้อย่างไร หรือเขาจงใจถามเช่นนี้เพื่อหลอกเธอ หากเสวี่ยหยวนจิ้งรู้ความจริงว่าหลายวันมานี้เธอไปนอนที่ห้องของเขา…
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าการร่วมหอของพวกเขาต้องเกิดขึ้นก่อนพิธีแต่งงานเป็นแน่
ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ในชามข้าวก็มีเนื้อปลาเพิ่มเข้ามาหนึ่งชิ้น
มันคือเนื้อส่วนท้องของปลาที่ไม่มีก้างแม้แต่ชิ้นเดียว
ทุกครั้งที่เสวี่ยเจียเยว่กินปลา เธอจะคายก้างของมันออกมาไม่ได้ โดยเฉพาะก้างปลาเล็กๆ ดังนั้นทุกครั้งที่กินปลา เสวี่ยหยวนจิ้งจะคีบเนื้อส่วนท้องของปลาที่ไม่มีก้างให้เธอกินเสมอ
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยิ้มให้
“เหตุใดกินแต่ข้าวเล่า ไม่กินกับด้วยหรือ”
รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยนภายใต้แสงเทียน แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
จู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่า ต่อให้ต้องร่วมหอก่อนเวลาอันควรก็ไม่เป็นอันใด เพราะตอนนี้เธอพร้อมแล้ว
ดังนั้นเธอจึงมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยแววตาจริงจังพลางกล่าวขึ้น “ท่านพี่ ความจริงแล้วหลายวันมานี้ข้านอนอยู่ในห้องของท่าน ท่านไม่อยู่ที่เรือน ข้าคิดถึงท่าน คิดถึงจนไม่อาจข่มตาหลับได้ พอข้านอนบนเตียงของท่าน กลิ่นของท่านที่ยังหลงเหลือในผ้าห่มทำให้ข้ารู้สึกสงบใจยิ่งขึ้น และทำให้ข้านอนหลับได้อย่างสบายใจ”
เสวี่ยหยวนจิ้งฟังจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปกอดเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากนุ่ม
หลังจากจูบแล้ว ชายหนุ่มยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมของอีกฝ่าย และเอ่ยออกมาด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก
“เยว่เอ๋อร์ ข้าดีใจมาก ความในใจของเจ้าเช่นนี้ ต่อไปเจ้าพูดกับข้าได้เลย ไม่ต้องอาย ข้าจะไม่หัวเราะเจ้า กลับกันข้าจะมีแต่ดีใจ”
เสวี่ยเจียเยว่ส่งเสียงรับคำในลำคอ ก่อนจะยื่นมือไปโอบเอวของชายหนุ่มด้วยความพอใจไม่น้อย
หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่เก็บชามกับตะเกียบไปล้างที่ห้องครัว เมื่อเธอล้างเสร็จแล้วเดินกลับมาที่ห้องโถง ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยล้าไม่น้อย ชายหนุ่มใช้มือค้ำลงบนไหล่ทั้งสองข้าง ภายใต้แสงเทียนเส้นผมของเขาเหมือนกับเส้นไหมก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่ย่องเข้าไปเบาๆ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังได้ยินอยู่ดี
“เรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือ” เขาช้อนตาขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับแฝงรอยยิ้มจางๆ
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า จากนั้นเธอก็เอ่ยถามชายหนุ่ม “ในเมื่อท่านเหนื่อยขนาดนี้ เหตุใดไม่ไปนอนเล่า”
เขาคงไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายวัน
“เจ้าไม่อยู่ ข้านอนไม่หลับ” เสวี่ยหยวนจิ้งนั่งตัวตรง ก่อนจะเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย “มานี่”
เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็คว้าเอวของเธอเอาไว้ อุ้มเธอขึ้นนั่งบนขาของตน คางของเขาเกยอยู่บนไหล่เธอ เอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วใช้ปลายจมูกถูกับคอที่ขาวเนียนของเธอ สูดกลิ่นหอม อ่อนๆ จากร่างกายบอบบาง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“เยว่เอ๋อร์ หลายวันมานี้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ได้กอดเจ้าเช่นนี้ รู้สึกดีจริงๆ”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกจั๊กจี้เมื่อถูกปลายจมูกของเขาถูคอเหมือนลูกสุนัขเช่นนี้ จึงยิ้มพลางหลบเลี่ยง และเมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น ในใจของเธอก็ซาบซึ้งยิ่งนัก จึงเอื้อมมือไปโอบคอของเขาเอาไว้
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกมีความสุขอย่างมาก
เขารู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ตนเข้าใกล้เสวี่ยเจียเยว่ อีกฝ่ายยังขัดขืนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่เพียงไม่ขัดขืนเท่านั้น บางครั้งเด็กสาวยังเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
เขาอดไม่ได้จึงยกมือขึ้นจับท้ายทอยของเสวี่ยเจียเยว่แล้วโน้มเข้าหา จากนั้นก็ยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย
หลายวันมานี้เขาคิดถึงเสวี่ยเจียเยว่จนแทบเสียสติ เมื่อตอนนี้ร่างงามราวหยกอันอ่อนนุ่มอยู่ในอ้อมกอดของเขา ได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ชายหนุ่มก็อยากจะบดขยี้ร่างนี้ให้แหลกละเอียดและหลอมเข้าไปในเลือดเนื้อของเขา ไม่อยากแยกจากกันไปตลอดกาล
หลังจากทั้งสองจูบกัน ไม่เพียงแต่แววตาของเสวี่ยเจียเยว่ที่ปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกบางๆ เท่านั้น แม้แต่ดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้งยังพร่ามัวด้วยความลุ่มหลงจนแดงก่ำไม่น้อย
“คืนนี้นอนกับข้านะ” ริมฝีปากของเขายังคงอยู่บนคางราวหยกขาวของเสวี่ยเจียเยว่ ขณะที่เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ต่อไปนี้พวกเรามานอนด้วยกันเถอะ”
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัว ดวงตาที่พร่ามัวของเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้ง
มือของเขาโอบรอบเอวของเธอ แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นกลางก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวบนฝ่ามือนั้น แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ ลมหายใจจากปากของเขาพ่นลงกระทบคางของเธอ ลำคอร้อนผ่าวราวกับสามารถหลอมละลายหัวใจของเธอได้ก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มผู้นี้อยู่กับเสวี่ยเจียเยว่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ที่ผ่านมาก็รักใคร่เอ็นดูเธอ เธออยากได้อะไรเขาก็ล้วนตามใจ แม้ว่าเขาจะโกรธก็ยังไม่ยอมทำร้ายเธอ อีกทั้งพวกเขาทั้งสองคนยังลงชื่อในหนังสือสมรสแล้ว…
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหัวใจของตนราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน มันอบอุ่นและอ่อนยวบ
เธอรักบุรุษผู้นี้ จึงพร้อมจะยอมให้เขาทุกอย่าง… ทั้งหัวใจและร่างกาย
เสวี่ยเจียเยว่จับศีรษะของเขาด้วยมือทั้งสองข้าง แนบหน้าผากของตนกับหน้าผากชายหนุ่ม สายตาจับจ้องกันและกัน จากนั้นเธอก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ”