สิบแปด
ขึ้นเขาด้วยกัน
วันรุ่งขึ้นเมื่อฟ้าสาง เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปตามเส้นทางขึ้นภูเขา
ยามนี้ใบหญ้าสองข้างทางล้วนปกคลุมไปด้วยน้ำค้างขาวโพลน แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องทำให้เกิดประกายระยิบระยับ
เสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดินอยู่เบื้องหน้าเธอ
เด็กหนุ่มสวมชุดผ้าหยาบสีดำทั้งตัว ซึ่งคงใช้มาเป็นเวลานานแล้ว เพราะบางส่วนที่ถูกซักล้างซีดลงจนเห็นได้ชัด แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็บดบังความสง่างามของเขาไม่ได้
คนบางคนมีความสง่างามมาตั้งแต่เกิด ตัวอย่างเช่นคุณลุงหมิงในภพที่เธอจากมา แม้ว่าเขาจะแฝงกายเข้าไปอยู่ในแก๊งอันธพาล แต่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้ไม่เหมือนกับอันธพาลทั่วไป ภายภาคหน้าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่ายามนี้เขาจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ กลับเหมือนมังกรที่กำลังหลับชั่วคราว สักวันเขาจะต้องพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในภายภาคหน้า เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้อำนาจมาครองแล้ว เขาจะต้องเอาคืนอย่างสาสมแน่นอน เมื่อถึงวันนั้น เสวี่ยเจียเยว่หวังว่าเขาคงไม่ทำให้เธอลำบากเพราะความชั่วร้ายของเอ้อร์ยา เธอขอเพียงเท่านี้ก็พอ
เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจ พลางเร่งฝีเท้าตามเสวี่ยหยวนจิ้งไป
เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งขึ้นเขาเป็นประจำ เมื่อรู้ว่าจะต้องขึ้นเขาอีกครั้ง จึงเตรียมของจำเป็นที่ต้องใช้พร้อมสรรพ เสวี่ยเจียเยว่ก็เตรียมข้าวของเช่นเดียวกัน ทว่าล้วนเป็นของกินที่เธอแอบขโมยมาสะสมในยามปกติ ทั้งยังมีน้ำด้วย ส่วนของอื่นๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้าง เธอคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็วิ่งไปถามเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ… เขาเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเย็นชา และไม่เอ่ยตอบอะไรสักคำ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป
เสวี่ยเจียเยว่ยืนนิ่งด้วยความตะลึง
เธอคิดในใจว่าเหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้ไม่เป็นใบ้ไปเลย
เสวี่ยเจียเยว่เห็นกระบุงใบใหญ่ที่เสวี่ยหยวนจิ้งสะพายบนหลัง ไม่เพียงเท่านั้น ที่เอวของเขายังมีมีดกับจอบเล่มเล็กแขวนเอาไว้ด้วย จู่ๆ เธอก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่น้อย
แม้เธอไม่รู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง และคว้าอะไรได้ก็เอา แต่เมื่อมีคนที่ไว้วางใจได้คนหนึ่ง เธอก็คิดว่าขณะขึ้นเขาในหลายวันนี้ เธอจะต้องเร่งฝีเท้าตามเสวี่ยหยวนจิ้งให้ทัน มิเช่นนั้นในป่าลึกบนภูเขาลูกใหญ่ หากเธอหลงทางขึ้นมา แปดหรือเก้าในสิบส่วนเธอไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน
ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ข้ามภพมา ยามที่ไม่มีอะไรทำเธอก็มักจะมองภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้าน ในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ต้นไม้บนภูเขาจะเขียวชอุ่ม ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ใบหญ้าบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเหี่ยวเฉาแล้ว ทว่าบนภูเขาก็มีต้นเฟิง[1] ต้นหวงหลู[2] และที่พิเศษกว่านั้นคือ เมื่อใบเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเปลวไฟหลังจากผ่านน้ำค้างไปแล้ว ก็เป็นภาพที่งดงามวิจิตรตระการตาไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่มองใบเฟิงที่ร่วงลงมาเต็มพื้นข้างทางเดินบนภูเขา ก่อนจะก้มลงเก็บขึ้นมาดูใบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมา พินิจมองและคิดว่าหากเธอขึ้นเขาไม่ไหว ก็จะใช้กิ่งไม้นี้เป็นไม้เท้าช่วยในการเดิน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหยุดเดิน และหันมามองเธอด้วยสายตาเย็นชา
เขาเห็นว่าเธอไม่ได้เดินตาม จึงตั้งใจหยุดรอกระมัง
เสวี่ยเจียเยว่ดีใจจนโบกกิ่งไม้พลางยิ้มให้เสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ข้าเก็บเผื่อท่านเอาไหม ถ้าท่านเดินจนล้าแล้วก็ใช้กิ่งไม้เป็นไม้เท้าได้”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองอีกฝ่ายด้วยความเฉยชาครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับแล้วก้าวเท้าต่อโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
“…”
เสวี่ยเจียเยว่มักจะรู้สึกว่าเธอล่วงเกินเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่เสมอ แต่สวรรค์เอ๋ย เธอไม่รู้จริงๆ ว่าตนไปล่วงเกินเขาตั้งแต่เมื่อไร
จนกระทั่งถึงยามที่ทั้งสองคนหยุดพักเตรียมตัวจะกินข้าวกลางวัน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังคงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นเคย
บรรยากาศรอบกายชวนให้รู้สึกอึดอัด หากเป็นเมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่ยังเมินเฉยต่อเขาได้ ทว่าตอนนี้น่าเสียดายนัก เรื่องในป่าเขาเธอไม่มีความรู้แม้แต่น้อย หลายวันต่อจากนี้เธอคงต้องพึ่งพาอาศัยเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น แล้วช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เธอจะกล้าล่วงเกินผู้นำทางท่านนี้ได้อย่างไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงปลดกระบุงใบเล็กบนหลังลงมา ก่อนจะกำข้าวสาลีคั่วกำหนึ่งออกจากถุงผ้าใบเล็ก และยื่นมือไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ข้าเห็นท่านกินข้าวเช้าไม่เยอะเท่าไร อีกทั้งเมื่อครู่นี้ก็เดินทางขึ้นเขามาเสียไกลขนาดนี้ ท่านคงหิวแย่แล้วใช่หรือไม่ ข้าวสาลีคั่วนี้ข้าให้ท่านกินเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองข้าวสาลีคั่ว ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าเล็กด้วยความเย็นชา
เสวี่ยเจียเยว่พยายามยิ้มให้ดูจริงใจมากขึ้น ทว่าน่าเสียดายที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงมองเธอแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ยังหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอีกด้วย
ความรู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่สะโพกเย็นยะเยือกเช่นนี้ บ่งบอกว่าเธอกำลังเสียใจมาก อยากจะเดินจากไป ทว่าเธอกลัวหลงทาง จึงทำได้เพียงมองตามเสวี่ยหยวนจิ้งตลอดเวลา
ครู่หนึ่งเสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินกลับมา ในมือถือกิ่งไม้แห้งกำเล็กมาด้วย
หลังจากวางกิ่งไม้แห้งเหล่านั้นลงพื้นแล้ว เขาก็หาก้อนหินขนาดไม่ใหญ่มากมาสองก้อน
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาวางหินสองก้อนลงบนพื้นโดยให้ห่างกันเล็กน้อย ก่อนจะกอบใบไม้แห้งสีเหลืองกำใหญ่มาใส่ลงไปในที่ว่างระหว่างก้อนหิน แล้วใช้ตะบันไฟจุดไฟ จากนั้นก็ค่อยๆ วางกิ่งไม้แห้งลงไป
เมื่อกิ่งไม้ติดไฟแล้ว เขาก็หยิบหม้อใบเล็กออกมาจากกระบุงใบใหญ่ที่วางเอาไว้เมื่อครู่ เทน้ำลงไปในหม้อแล้วนำไปวางบนก้อนหิน
เสวี่ยเจียเยว่กำลังตะลึงงันมองเขาตาค้าง เธอรู้สึกว่ากระบุงใบใหญ่ที่เสวี่ยหยวนจิ้งสะพายหลังมานั้น เป็นเหมือนกระเป๋าของตัวการ์ตูนในโทรทัศน์อย่างโดราเอมอนที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ
ในหม้อนั้นมีน้ำเพียงครึ่งเดียว แต่ไฟลุกไหม้อย่างแรง ไม่นานน้ำก็เดือดปุดๆ พร้อมทั้งมีไอน้ำลอยขึ้นมา เมื่อถูกลมบนเขาในปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน มันก็ลอยออกไป
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหยิบหมั่นโถวธัญพืชสองลูกออกมาจากกระบุงไม้ไผ่ จากนั้นก็เทน้ำร้อนใส่ถ้วยดินเผาเนื้อหยาบ ก่อนจะดื่มน้ำพลางกินหมั่นโถวไปด้วย ทำราวกับไม่มีใครอยู่ด้วยอย่างไรอย่างนั้น
หมั่นโถวธัญพืชแบบนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็มีเหมือนกัน เพราะเมื่อวานนี้ซุนซิ่งฮวาเป็นคนสั่งให้เธอทำ ทั้งสองคนต้องขึ้นเขาไปเก็บของป่า ต้องมีของกินติดไม้ติดมือมาด้วย แต่ซุนซิ่งฮวามีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว แม้จะเป็นหมั่นโถวธัญพืชก็ไม่ยอมให้เธอทำมาก นับดูแล้วก็ได้หมั่นโถวมาคนละหกลูกเท่านั้น
แม้จะกินหมั่นโถวลูกหนึ่งในหนึ่งมื้อ อย่างมากก็อยู่ได้แค่สองวันเท่านั้น แต่เมื่อต้องเข้าไปในป่าลึกบนเขา เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวัน หมั่นโถวหกลูกนี้มันจะไปพออะไรกัน
ตอนนั้นเสวี่ยหย่งฝูรู้สึกไม่พอใจจึงเอ่ยขึ้นมาสองประโยค ทว่ากลับถูกซุนซิ่งฮวาถลึงตาใส่
“พวกเขาสองคนอายุยังน้อย จะกินได้มากสักเท่าไร กินให้น้อยหน่อย ในสองสามวันนี้หมั่นโถวหกลูกยังไม่พอกินอีกหรือ อีกอย่าง… ข้าได้ยินเขาพูดกันว่าตอนนี้ของป่าบนเขามีมากโข ทั้งลูกพลับป่า องุ่นป่า มีอะไรบ้างที่กินไม่ได้ เจ้ายังกลัวว่าพวกเขาจะหิวตายอีกหรือ”
ทว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกลับกินหมั่นโถวสองลูกในมื้อเดียว…
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาด ในเมื่อตอนนี้เขากล้ากินหมั่นโถวสองลูกในหนึ่งมื้อ ก็หมายความว่าเขาต้องมีแผนการดีๆ ในใจแล้วแน่นอน
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งกินหมั่นโถวไปแล้วหนึ่งลูก ก็ยกถ้วยดินเผาใบนั้นขึ้นมาเป่าน้ำร้อนแล้วดื่ม
ช่วงนี้อากาศกำลังหนาวมาก โดยเฉพาะในป่าเขา ต้นไม้ล้วนบดบังแสงแดดได้เป็นอย่างดี ลมบนเขาก็พัดแรง ทำให้รู้สึกหนาวเย็นกว่าบนพื้นที่ราบ การได้ดื่มน้ำร้อนๆ สักถ้วยจะทำให้รู้สึกสบายไม่น้อย
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ออกมาจากเรือนก็ได้นำกาน้ำใบใหญ่ติดมาด้วย เดิมทีเธอทำใจไว้แล้วว่าหลายวันนี้จะต้องได้ดื่มน้ำเย็น แต่คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่นั่งอยู่เบื้องหน้าจะดื่มน้ำร้อนที่เพิ่งต้มเสร็จอย่างสบายใจ…
เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้นย่อมอยากดื่มเช่นกัน แต่เมื่อครู่เธอเพิ่งถูกเสวี่ยหยวนจิ้งเมินเฉยใส่ ตอนนี้จึงไม่อยากพูดอะไร
เธอก้มหน้ากินข้าวสาลีคั่วในมืออย่างไม่ใส่ใจเขา
ข้าวสาลีคั่วมีไม่มาก เพราะครอบครัวปลูกไว้เพียงเล็กน้อย หากซุนซิ่งฮวาไม่กำชับเอาไว้ตอนตากเมล็ดข้าวสาลี เสวี่ยเจียเยว่คงขโมยมามากกว่านี้ เธอทำข้าวสาลีคั่วโดยอาศัยความทรงจำซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดในภพที่จากมาตอนดูยายทำ
โชคดีที่เธอทำได้ แม้จะไม่เป็นสีเหลืองทองเหมือนที่ยายทำ แต่ไหม้เกรียมเล็กน้อย ทว่าเมื่อดมดูแล้วก็ได้กลิ่นหอมมากเหมือนกัน
เมื่อกินข้าวสาลีคั่วแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็อยากดื่มน้ำร้อน
หากในยามนี้ได้ทำไข่ลวกสักฟอง โรยข้าวสาลีคั่วลงไป กินเช่นนี้สักถ้วย คงมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
ไข่ไก่นั้นเธอนำมาด้วย แต่ไม่มีหม้อกับน้ำร้อน แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมี แต่เธอก็ไม่อยากเอ่ยปากขอยืมเขา เพราะถึงเธอจะพูดอย่างไร เขาก็คงไม่มีทางให้ยืมอยู่ดี คงมองเธอด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่นโดยไม่สนใจ จะตอบคำถามสักคำก็คงไม่มีเช่นเคย
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจอย่างโศกเศร้ากับชะตากรรมอันขมขื่นของตน และก้มหน้ากินข้าวสาลีคั่วเงียบๆ โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่นั่งอยู่เบื้องหน้ากำลังมองเธออยู่
เขานึกว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเอ่ยปากขอน้ำร้อน ทว่านั่งรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่ได้ยินคำขอเสียที
คนตรงหน้ามักจะเป็นฝ่ายแสดงความเป็นมิตรกับเขาไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงได้ต่างไปจากเดิม เห็นอยู่ว่าตรงหน้ามีหม้อน้ำร้อนแท้ๆ แต่ยังยอมกล้ำกลืนฝืนทนดื่มน้ำเย็นโดยไม่เอ่ยปากขอเขา ดูเหมือนเป็นคนทะนงตัวไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะเยาะอย่างไร้เสียง หลายเดือนก่อน ยามเห็นเขาทีไรแม่นางน้อยจะรีบเข้ามาพูดคุยด้วย แม้ว่าเขาจะทำหน้าเย็นชาใส่ก็ตาม และไม่ว่าเขาจะปฏิบัติตัวเช่นเดิมกี่ครั้ง อีกฝ่ายก็ชวนสนทนาก่อนเสมอ แต่เมื่อวานกลับเอ่ยว่าไม่อยากมากับเขา อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงเขาอีกด้วย
สายตาของเขาจับจ้องเสวี่ยเจียเยว่ไม่วาง ขณะที่อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตากินข้าวสาลีคั่ว
ยามนี้แม่นางน้อยนั่งกินเงียบๆ หยิบข้าวสาลีคั่วในมือใส่ปากทีละเม็ด ทว่าในความทรงจำของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น เอ้อร์ยาในอดีตกินอย่างตะกละตะกลาม ตามที่ซุนซิ่งฮวาบอกว่านางเป็นผีอดอยากมาเกิดในท้องของตน
ก่อนหน้านี้ที่เอ้อร์ยาสกปรกและตะกละตะกลาม เขาก็พอเข้าใจว่านางยังไม่ออกเรือน หากเติบใหญ่แล้วคงทำตัวสงบเสงี่ยม ทว่าตอนนี้นิสัยกลับเปลี่ยนไปจากอดีตราวกับเป็นคนละคน
คิดแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกสับสน เหมือนมีบางอย่างอยากจะเอ่ยถามอีกฝ่าย
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่กินข้าวสาลีคั่วไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว และดื่มน้ำเย็นลงไปหลายอึก แต่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากขอน้ำร้อนจากเขาเลย
ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็อดไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเอง
“ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้ามีของกินอยู่กับตัวมากใช่หรือไม่”
[1] เฟิง คือต้นเมเปิล
[2] หวงหลู คือต้นไม้สูบบุหรี่ มีดอกคล้ายควันบุหรี่หรือเขม่า จึงได้เรียกว่าต้นไม้สูบบุหรี่