ยี่สิบเอ็ด
ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ก่อนอัสดง
ปากถ้ำแห่งนี้ไม่กว้างนัก ต้องก้มตัวถึงจะเดินเข้าไปได้ แต่เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่ากว้างพอสมควร ผนังถ้ำเป็นหินดูสะอาดตา ไม่มีเถาวัลย์หรือใยแมงมุมแม้แต่เส้นเดียว แม้กระทั่งพื้นดินด้านในยังถูกปูด้วยหญ้าหลายชั้นอีกด้วย
เสวี่ยเจียเยว่โน้มตัวลงยื่นมือไปสัมผัส จึงรู้ว่าหญ้าเหล่านั้นแห้งมาก ไม่มีความชื้นแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ราวกับว่าถ้ำแห่งนี้มีคนคอยดูแลอยู่เสมอ เช่นนั้นเสวี่ยหยวนจิ้ง…
เธอหันไปมองเด็กหนุ่ม และพบความประหลาดใจฉายอยู่บนใบหน้าของเขา ทว่าไม่นานก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาเหมือนเคย
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องที่มีคนคอยดูแลถ้ำแห่งนี้ แต่เมื่อครู่เขากลับพาเธอเดินเข้ามาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ นั่นหมายความว่าเขารู้ว่ามีถ้ำอยู่ตรงนี้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่ามีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจ ทว่าเธอก็ยังเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกไป
เธอเข้าใจดี แม้ว่าตอนนี้ความโกรธแค้นในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งจะหายไปบ้างแล้ว และอาจเป็นห่วงเธอ แต่ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่พอที่จะทำให้เธอกล้าเอ่ยถามอะไรกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งก็ดูเหมือนไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับเธอเท่าไรนัก
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปชั่วครู่ หางตาเธอก็เหลือบเห็นว่าเขากำลังปลดกระบุงบนหลังวางลงกับพื้น ก่อนจะหยิบมีดกับถุงสำหรับใส่น้ำขึ้นมา แล้วหันมามองเธอพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้ารออยู่ในนี้ อย่าออกไปไหน”
เขาพูดจบก็หมุนตัวและกำลังจะเดินออกไป
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เมื่อมองปากถ้ำที่แคบจนแสงสว่างแทบส่องเข้ามาไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าเขาจะไปไหน แล้วจะกลับมาเมื่อไร เธอย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา
อีกอย่าง… เธอกังวลว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาหรือไม่ เพราะฉะนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงรีบหยัดกายลุกขึ้น และเดินไปยืนข้างกายเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างรวดเร็ว
“ไม่เอา ท่านพี่ ท่านไปที่ไหน ข้าก็จะไปกับท่านด้วย”
เสวี่ยหยวนจิ้งมีอะไรบางอย่างที่บ่งบอกความเป็นพระเอก หากมีเขาอยู่ด้วย ย่อมไม่มีอะไรมาทำร้ายเธอได้ ในยามนี้ขอเพียงได้เดินอยู่ใกล้ๆ เขา เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกปลอดภัย
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันตะลึงงัน ถึงกับหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ทันที
เสวี่ยเจียเยว่เห็นสายตาลึกล้ำยากจะหยั่งถึงของเขา ก็อดรู้สึกหวาดกลัวมิได้ ครั้นคิดจะหัวเราะแล้วบอกว่าล้อเล่น เธอรออยู่ที่นี่คนเดียวได้ ทว่าจู่ๆ กลับได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้น
“ในเมื่อเจ้าจะไปกับข้า เช่นนั้นก็ตามมาดีๆ หากเจ้าหลงขึ้นมา ข้าไม่มีทางกลับไปตามหาเจ้าแน่”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ก้มตัวเดินออกจากถ้ำไป
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้น ก็สลัดความหวาดกลัวในใจออกไป และรีบเดินตามเขาทันที
แม้ว่าพระอาทิตย์จะยังลอยอยู่บนท้องฟ้า ทว่าความร้อนกลับเบาบางและแสงที่ส่องลงมาดูเหมือนสีของไข่เค็มอย่างไรอย่างนั้น แสงอาทิตย์ที่ยังไม่อัสดงสาดส่องลงบนยอดไม้ ทำให้เห็นความงามอันเงียบสงบ
เสวี่ยเจียเยว่เดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปตักน้ำที่ลำธารสายเล็ก ระหว่างทางที่เดินกลับก็เห็นต้นเกาลัดต้นหนึ่ง ผลเกาลัดบนนั้นล้วนสุกงอมแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งวางถุงที่ใส่น้ำจนเต็มกับมีดไว้บนพื้น ก่อนจะเดินไปเก็บเกาลัดที่หล่นลงมาจากต้น
เสวี่ยเจียเยว่เดินไปเก็บเช่นเดียวกัน โดยนำเกาลัดใส่ถุงผ้าที่เธอถือติดมือมาด้วย
ถุงผ้าใบนี้เธอใช้ใส่ข้าวสาลีคั่วมานั่นเอง เมื่อตอนกลางวันเธอนำออกมากินและใส่ลงไปในถ้วยไข่ลวกส่วนหนึ่ง ตอนหยุดพักระหว่างทางเธอก็แบ่งส่วนที่เหลือกับเสวี่ยหยวนจิ้งจนหมดแล้ว ตอนนี้จึงได้ใช้ถุงผ้าใส่เกาลัดพอดี
เมื่อหางตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบเห็น เขาก็ส่งเกาลัดให้เสวี่ยเจียเยว่เก็บใส่ถุงผ้าโดยไม่เอ่ยคำใด
แต่ถุงผ้าใบนี้ไม่ใหญ่นัก แม้จะใส่เกาลัดจนเต็ม ทว่ายังได้ไม่มากเท่าที่ต้องการ ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดวิธีหนึ่งออก นั่นคือการใช้เสื้อห่อแทน เธอตั้งใจว่าจะต้องเอาเกาลัดทั้งหมดนี้กลับไปด้วยให้ได้
คนที่เคยผ่านความหิวโหยมาก่อน สำหรับของกินมักจะตัดใจทิ้งไม่ลงเสมอ เอากลับไปได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี
เสวี่ยหยวนจิ้งมองการกระทำของเสวี่ยเจียเยว่ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงเดินไปหยิบถุงผ้าที่อัดแน่นไปด้วยเกาลัดจากมือเสวี่ยเจียเยว่มาถือเอาไว้เงียบๆ ก่อนจะหยิบถุงน้ำกับมีดที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปตามทางที่จะกลับถ้ำ โดยมีเสวี่ยเจียเยว่เดินตามหลัง
หลังจากนำถุงน้ำกับเกาลัดกลับมาที่ถ้ำแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินไปหยิบของในกระบุงออกมา
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาหยิบของออกมาจากกระบุงทีละชิ้น ไม่นานของเหล่านั้นก็ถูกจัดวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งสะพายกระบุงแล้วลุกขึ้นยืน ในมือถือมีดไว้ด้วย เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ยังนั่งอยู่บนหญ้าแห้ง เขาก็หรี่ตามอง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
แม้ว่าด้านนอกจะยังมีแสงอาทิตย์ แต่แสงนั้นส่องเข้ามาได้เพียงน้อยนิด ภายในถ้ำจึงมืดสลัว ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ทั้งยังยากจะหยั่งถึงมากกว่าเดิม ราวกับสระลึกที่เต็มไปด้วยน้ำจนแทบมองไม่เห็นก้นสระก็มิปาน
เธอเข้าใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะออกไปด้านนอก จึงรีบลุกขึ้นก่อนจะยิ้มแย้มให้เขา
เด็กหนุ่มมองเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่เอ่ยคำใด
คนคนนี้นี่จริงๆ เลย… เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจเงียบๆ น่าอึดอัดเกินไปแล้ว มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาสิ เหตุใดต้องเก็บเอาไว้ให้คนอื่นคอยเดาด้วยเล่า โชคดีที่เธอเคยสังเกตสีหน้าและคำพูดของแม่เลี้ยงอยู่หลายปี ไม่อย่างนั้นหากเป็นคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะโกรธเพราะท่าทางเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้งจนวิ่งหนีไปแล้วก็เป็นได้ มีหรือจะยังอยากสานสัมพันธ์กับเขาต่อ
แม้ว่าจะพร่ำบ่นในใจ เสวี่ยเจียเยว่ก็กุลีกุจอขนของออกมาแล้วสะพายกระบุงขึ้นหลัง ก่อนจะรีบเดินตามเขาไป
เมื่อไม่มีชาวบ้านเดินเข้ามาในป่าลึกจึงมีของป่าเป็นจำนวนมาก เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เก็บผลไม้ป่าได้หลายชนิด เช่น สาลี่ หมีโหวเถา[1] พุทรา ลูกพลับ องุ่นป่า
เสวี่ยหยวนจิ้งใช้มีดตัดกิ่งไม้ขนาดยาวพอสมควรมาเหลาให้แหลม เพื่อเป็นฉมวกจับปลาในลำธารสายเล็ก และได้ปลาตัวใหญ่มาหนึ่งตัว ระหว่างที่เดินกลับเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ แล้วเก็บเห็ดได้เป็นจำนวนมาก
การเก็บผลไม้ป่าเสวี่ยเจียเยว่ยังพอช่วยเหลือได้ แต่ตอนจับปลาและเก็บเห็ดเธอกลับช่วยไม่ได้แม้แต่น้อย
เธอรู้จักเห็ดเพียงไม่กี่ชนิดที่มีขายในตลาด อย่างเช่นเห็ดหอมกับเห็ดเข็มทอง ส่วนเห็ดชนิดอื่นๆ เธอไม่แน่ใจว่ามันมีพิษหรือไม่ เกรงว่าหากเก็บเห็ดที่มีพิษมา ต้องได้ทิ้งชีวิตน้อยๆ ของเธอไว้ที่นี่อย่างแน่นอน ส่วนการจับปลา เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งถอดรองเท้าและม้วนขากางเกงขึ้นก่อนจะลงน้ำ ยืนอยู่ในน้ำที่ลึกประมาณเข่า อีกทั้งยังต้องยืนนิ่งราวกับท่อนไม้อยู่นาน ส่วนสายตาก็จับจ้องไปที่ใต้น้ำอย่างตั้งใจ
ช่วงพลบค่ำของปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ น้ำในลำธารเย็นเฉียบ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน และสีหน้าเขาก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย จนกระทั่งปลาตัวนั้นแหวกว่ายมาทางเขาอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มถึงได้ลงมือทันที ไม่นานก็จับปลาตัวนั้นได้
ความอดทนของเขานั้น เธอนับถือเป็นอย่างมาก หากเป็นเธอคงไม่สามารถยืนอยู่ในลำธารที่เย็นเฉียบเช่นนั้นเป็นเวลานานเพื่อจับปลาเพียงตัวเดียว และคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ ทั้งที่เห็นว่ามีปลาตัวหนึ่งแหวกว่ายอยู่ต่อหน้า เธอจะต้องรีบจับปลาตัวนั้นอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าหากเธอขยับตัว ปลาจะต้องตกใจตื่นจนว่ายหนีไป พอถึงตอนนั้นการแช่อยู่ในน้ำเย็นเป็นเวลานานจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ
คนส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ ของที่รอมานานจู่ๆ พลันปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งยังเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เป็นใครก็อดใจไม่ไหวจนต้องเดินเข้าไปจับมัน แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับข่มอารมณ์เอาไว้ได้นานขนาดนั้น
ระหว่างเดินไปตามทางที่จะกลับถ้ำ เสวี่ยเจียเยว่กินสาลี่ไปด้วย
แม้จะเป็นสาลี่ป่า แต่เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงความสดกรอบ และหอมหวานมากอีกด้วย เสวี่ยเจียเยว่พอใจกับการกินยิ่งนัก หลังจากกินหมดไปลูกหนึ่ง เธอก็หยิบออกมาจากกระบุงอีกหนึ่งลูก
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินนำหน้าโดยไม่พูดไม่จา เสวี่ยเจียเยว่ก็คิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และยื่นสาลี่ให้เขา
“ท่านพี่ สาลี่นี้ข้าให้ท่านกินเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ แสงอาทิตย์ก่อนอัสดงสาดกระทบลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย ทำให้รอยยิ้มงดงามประดุจภาพวาด
…
หลายปีหลังจากนี้ จนกระทั่งเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในวัยชรา ศีรษะเต็มไปด้วยผมขาวโพลน มือเขากุมมือเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้ หวนคิดถึงรอยยิ้มและพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
แสงอาทิตย์ก่อนอัสดงในวันนี้ช่างงดงามนัก ทั้งยังอบอุ่นไม่น้อย นี่เป็นความงดงามที่สุดที่เขาเคยพบมา และเป็นความอบอุ่นที่สุดที่เขาเคยได้สัมผัสในชีวิต
…
ทว่า… ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงหรี่ตามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่แม้แต่จะยื่นมือมารับสาลี่จากมือบอบบาง
เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเขาเป็นคนรักความสะอาด และนึกว่าอีกฝ่ายคงรังเกียจ เธอจึงรีบเอ่ย “สาลี่พวกนี้ข้าล้างในลำธารก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็ล้างจนสะอาด ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองมองดูสิ”
เธอพูดจบก็ยกสาลี่ในมือขึ้นให้เขาดู
เปลือกสาลี่สีเหลืองแกมเขียวเปียกอยู่อย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งหยดน้ำก็ยังเป็นประกายสีรุ้งภายใต้แสงอาทิตย์ก่อนอัสดง
เสวี่ยหยวนจิ้งมองแม่นางน้อยอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปรับสาลี่มากิน
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขารับสาลี่ไปก็ดีใจไม่น้อย จากนั้นจึงหยิบสาลี่อีกลูกออกมาจากกระบุงของตนแล้วกินบ้าง
ทั้งสองกินสาลี่ไปพลางเดินไปพลาง แสงอาทิตย์ก่อนอัสดงสาดส่องเงาร่างของพวกเขา ในป่ามีเสียงนกร้องเรียกฝูงกลับรัง ก้อนเมฆบนท้องฟ้ายามนี้ราวกับผ้าลวดลายงดงามพลิ้วไหวก็มิปาน
[1] หมีโหวเถา คือกีวี