เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ที่เรือนตระกูลหลี่อีกสองวันก็เอ่ยลาเพื่อจะเดินทางกลับหมู่บ้านของตน
เมื่อถึงยามที่ต้องจากลา หลี่หานเซี่ยวก็ทำใจยอมรับไม่ได้ น้ำตาไหลนองใบหน้านาง และอยากจะเดินทางไปพร้อมเสวี่ยหยวนจิ้งให้ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งคุกเข่าลงพลางเอ่ยกับผู้เฒ่าหลี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “บุญคุณที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ ศิษย์จะไม่มีวันลืม ท่านอาจารย์โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วยขอรับ”
ครั้นสิ้นประโยคนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็โขกศีรษะลงพื้นสามครั้ง
ผู้เฒ่าหลี่พยุงเด็กหนุ่มลุกขึ้น และตบไหล่เขาเบาๆ พลางถอนหายใจ ก่อนจะกล่าว
“ข้าซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกแห่งนี้เกือบสิบสองปี วิชาความรู้ทั้งหมดข้าก็ถ่ายทอดให้เจ้าแล้ว จึงนับว่าเป็นความสำเร็จของข้า เจ้าเป็นคนฉลาด ในฐานะอาจารย์เช่นข้าก็ไม่มีอะไรจะสั่งเจ้าเป็นพิเศษ เป็นห่วงแต่หลานสาวเพียงคนเดียวของข้า หากวันที่ข้าอายุหนึ่งร้อยปีแล้ว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถดูแลนางได้”
เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ในใจของศิษย์ ศิษย์น้องเปรียบเสมือนน้องสาว ตราบใดที่ศิษย์ยังอยู่ ไม่ว่าใครก็รังแกนางไม่ได้อย่างแน่นอนขอรับ”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น เธอพลันเบนสายตาไปมองหลี่หานเซี่ยว และเห็นใบหน้าของเด็กสาวแข็งทื่อ เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด
หลี่หานเซี่ยวไม่มีทางหวังให้ในใจของเขาเห็นนางเป็นน้องสาวอย่างแน่นอน นางอยากให้เขาดูแลเหมือนคนรักอย่างไรเล่า
‘เจ้าพี่โง่!’
เสวี่ยเจียเยว่แอบด่าในใจ แต่พอคิดดูดีๆ หลี่หานเซี่ยวก็เป็นคนโง่เช่นเดียวกัน เพราะต่อไปจะมีสตรีที่ถูกเขาหลอกอีกเป็นกอง เป็นคนรักของเขามีอะไรดีนักหนา เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขายังจะดีเสียกว่า
ประการแรก… ตามที่เธอสังเกตการณ์มาในสองวันนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนที่มีความสามารถในการควบคุมดูแลน้องสาวได้
ประการที่สอง… ต่อไปเขาจะได้เป็นขุนนางสูงศักดิ์ จะมีอำนาจบารมีมากอย่างแน่นอน
ประการที่สาม… ในอนาคตสตรีของเขาจะเพิ่มขึ้น และพวกนางล้วนยอมทุ่มเททุกอย่างให้แก่เขา ในเมื่อยอมทุกอย่าง มีหรือจะกล้าทำร้ายน้องสาวเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางจะประจบประแจงน้องสาวเขาทุกวิถีทาง
‘ถ้าอยากจะเป็นคนรักของเขาก็ย่อมได้ แต่ผู้หญิงอีกสิบกว่าคนจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ หรือ คงจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำร้ายเธอกระมัง เตรียมตัวกลุ้มใจได้เลยหลี่หานเซี่ยว’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกว่าการได้เป็นน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นมีประโยชน์มากมายและไร้พิษภัยใดๆ
อย่างไรก็ตาม เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหลี่หานเซี่ยวเป็นคนดีคนหนึ่ง และไม่อาจทนเห็นเด็กสาวเดินทางผิดซึ่งจะย้อนกลับมาไม่ได้ เธอจึงเดินไปตรงหน้าหลี่หานเซี่ยว จับมือเด็กสาวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่หานเซี่ยว ขอบคุณที่ท่านดูแลข้าอย่างดีมาหลายวัน ในเมื่อท่านพี่จิ้งบอกว่าเขาเห็นท่านเป็นน้องสาวอย่างจริงใจ เช่นนั้นท่านก็คือพี่สาวของข้า หากภายภาคหน้าท่านมีเวลาว่าง ก็อย่าลืมมาเยี่ยมเยียนน้องสาวของท่านบ้างนะเจ้าคะ”
เสวี่ยเจียเยว่หวังอย่างยิ่งว่าหลี่หานเซี่ยวจะเข้าใจ การได้เป็นศิษย์น้องของเสวี่ยหยวนจิ้งมีตรงไหนไม่ดีเล่า
แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่หานเซี่ยวไม่เข้าใจความหมายที่เสวี่ยเจียเยว่อยากจะสื่อเลย…
เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่กล่าวเช่นนี้ หลี่หานเซี่ยวก็รู้สึกหน้าชาทันที ถ้าจะพูดกันตามจริง หลายวันมานี้เมื่อไรที่นางมีเวลาว่างก็จะไปเอาอกเอาใจเสวี่ยหยวนจิ้ง แทบไม่ได้ดูแลเสวี่ยเจียเยว่เลย
ทว่าแม่นางน้อยกลับบอกให้นางไปเยี่ยมเมื่อมีเวลาว่าง…
ไปเยี่ยมน้องสาวของเขา นั่นไม่เท่ากับว่าจะได้พบเสวี่ยหยวนจิ้งบ่อยๆ หรอกหรือ หลี่หานเซี่ยวคิดแล้วรีบกระชับมืออีกฝ่ายพร้อมเอ่ยตอบ
“ได้ พอถึงตอนนั้นข้าต้องไปเยี่ยมน้องเอ้อร์ยาบ่อยๆ อย่างแน่นอน”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า จากนั้นจึงขอตัวลาผู้เฒ่าหลี่ แล้วสองพี่น้องก็เดินกลับไปตามทางที่พวกเขามาเมื่อหลายวันก่อน
ระหว่างเดินทางเสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดถึงประสบการณ์การขึ้นเขากับเสวี่ยหยวนจิ้งในครั้งนี้ เธอรู้สึกว่าเป้าหมายของตนนั้นไม่สำเร็จสักอย่าง นอกจากจะหาโสมร้อยปีหรือเห็ดหลินจือมาขายแลกเงินเพื่อหาทางหนีไม่ได้แล้ว ยังข้อเท้าแพลงอีก แม้ว่าตอนนี้อาการจะดีขึ้นมาก ทว่ายังเดินเหินได้ไม่เร็วนัก หากเดินเร็วจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
ต่างกับเสวี่ยหยวนจิ้ง การขึ้นเขาในครั้งนี้ทำให้เด็กหนุ่มได้เผยความสามารถที่เปี่ยมล้นของเขาออกมา
เดิมทีบทบาทของเขาจะได้เป็นผู้สอบผ่านขุนนางระดับเคอจวี่[1] และไต่เต้าเป็นขุนนางในราชสำนัก นั่นหมายความว่าความสามารถด้านบทกวีนั้นต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน ครั้งนี้เขาได้เรียนวรยุทธ์กับผู้เฒ่าหลี่ ทั้งยังมีตำราเพลงยุทธ์เหล่านี้ เช่นนั้นในภายภาคหน้าเขาก็ต้องเป็นบุคคลที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเก่งกาจมากอีกด้วย
ที่คาดไม่ถึงคือท่าทีของเขาเปลี่ยนไปมาก บอกว่าจะดูแลเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆ ทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าการที่เธอขึ้นเขามาในครั้งนี้ แม้เป้าหมายจะไม่สำเร็จและบาดเจ็บที่ข้อเท้า แต่ก็นับว่าคุ้มค่ามาก
แม้ว่าตอนนี้อากาศจะเย็นลงแล้ว ทว่าทั้งสองคนอยู่ที่เรือนตระกูลหลี่หลายวัน และเกรงว่าของป่าที่เก็บเอาไว้ในถ้ำจะเน่าเสีย จึงเก็บของป่าระหว่างเดินทางมาด้วย
ในป่าลึกบนเขาแห่งนี้แทบไม่มีชาวบ้านเข้ามา ของป่าจึงมีอยู่มาก
ของป่าที่เสวี่ยหยวนจิ้งเก็บมาได้ บางส่วนเขาใส่ไว้ในกระบุงของตน และกระบุงใบเล็กของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายสะพาย กลับเอามาถือไว้เอง
ข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่ยังไม่หายดี เธอจึงไม่กล้าเดินเร็ว ด้วยเหตุนี้เดิมทีเคยใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็เดินไปถึงถ้ำแห่งนั้น แต่วันนี้เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึง พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำแล้ว แต่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่
หลังจากผลักหินก้อนใหญ่ออกจากปากถ้ำแล้วเดินเข้าไป เสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าที่นี่ยังเป็นเหมือนตอนที่พวกเขาจากไป แต่องุ่นกับสาลี่ป่าเป็นผลไม้ที่ยากจะเก็บรักษา มันจึงเน่าไปไม่น้อย ส่วนถั่วเหอเถาป่าและเกาลัดยังไม่เน่าเสีย
ผลไม้ที่เน่าเสียล้วนถูกเสวี่ยหยวนจิ้งโยนทิ้งไป จากนั้นเขาก็ออกไปเก็บกิ่งไม้แห้ง
ขณะที่เขาเก็บกิ่งไม้ เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่บนก้อนหินที่ใช้ปิดปากถ้ำ
สองวันก่อนเพิ่งเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูหนาว แต่แสงแดดยังอบอุ่นไม่น้อย เสวี่ยเจียเยว่นั่งรับแดด ขณะเดียวกันเธอก็มองเสวี่ยหยวนจิ้งเก็บกิ่งไม้แห้งอยู่ไม่ไกลไปด้วย
ทันใดนั้นเธอก็เห็นไก่ป่าตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้เบื้องหน้า เสวี่ยเจียเยว่ไม่ทันได้เอ่ยคำใด ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหยิบธนูที่ห้อยอยู่บนเอวมายิงออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกธนูทะยานไปเพียงชั่วพริบตา ไก่ป่าตัวนั้นก็ร่วงลงมาจากกิ่งไม้ทันที
นี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเสวี่ยเจียเยว่ไปแล้ว เพราะเมื่อเช้าเด็กหนุ่มก็ใช้ธนูคันนี้ยิงกระต่ายตัวหนึ่ง แม้กระต่ายตัวนั้นจะวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็สามารถยิงมันได้ เมื่อไก่ป่าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สำหรับเขาจึงเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ เท่านั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งหิ้วไก่ป่าตัวนั้นไปสังหารและล้างทำความสะอาดที่ลำธารสายเล็ก เขาไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่เห็นภาพเลือดนองเต็มพื้น จึงให้อีกฝ่ายนั่งห่างออกไปเล็กน้อย
ตอนที่เด็กหนุ่มกลับมา เขาเด็ดใบตองมาหนึ่งใบ นำมาห่อไก่ป่าที่ล้างทำความสะอาดอย่างดี แล้วทาโคลนบนใบตองด้านนอกหนึ่งชั้น จากนั้นก็ขุดหลุมไม่ลึกนักและวางไก่ป่าห่อใบตองลงไป ก่อนจะก่อไฟที่ด้านบน
ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงก่อไฟทำอาหารเย็นอยู่ด้านนอกถ้ำ
เขานำหินมาทำเป็นเตาเช่นเคย โดยด้านล่างคือหลุมไก่ป่า ส่วนด้านบนมีหม้อแกงเห็ด และเนื้อกระต่ายที่ยิงได้เมื่อเช้าพวกเขากินไม่หมด ยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงนำมาเสียบไม้และย่างไปด้วย
อาหารเย็นของพวกเขามีไก่ป่าห่อใบตอง เนื้อกระต่ายย่าง และแกงเห็ด เสวี่ยเจียเยว่กินจนอิ่มหนำ และด้วยข้อเท้าเธอยังไม่หายดีนัก เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเป็นคนจัดเตรียมทุกขั้นตอน ส่วนเธอก็มีหน้าที่กินเท่านั้น
เมื่อกินเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จ้องมองเสวี่ยหยวนจิ้งนำถ้วย ตะเกียบ และหม้อไปล้างที่ลำธาร
ขณะที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ผืนน้ำเปล่งประกายสีส้มระยิบระยับ และทิวทัศน์ของภูเขาที่ล้อมรอบดูเด่นชัดงดงามดึงดูดใจผู้คน
หลังจากเขาล้างภาชนะเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็กลับถ้ำด้วยกัน
เสวี่ยเจียเยว่นั่งมองแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งที่กำลังยุ่งอยู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าการได้รับความเอ็นดูเช่นนี้ช่างมีความสุขจริงๆ ทั้งยังมีอีกความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้น นั่นคือเขาไปกินยาอะไรผิดมาหรือไม่ เหตุใดถึงได้ดีกับเธอจนน่าตกใจเช่นนี้ และสองความรู้สึกนี้กำลังต่อสู้กันอยู่ ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่สามารถอดกลั้นได้ เธอจึงเอ่ยปากพูด
“ท่านพี่ จู่ๆ ท่านก็ทำดีกับข้าเช่นนี้ ในใจของข้าช่างหวาดกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”
‘เพราะในใจของคุณรู้สึกผิดต่อน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ดังนั้นคุณจึงคิดว่าฉันเป็นน้องสาว และทำทั้งหมดเพื่อชดเชยให้เธอใช่หรือไม่’
เสวี่ยหยวนจิ้งที่กำลังจัดของในกระบุงพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รอเจ้าชินแล้วก็จะไม่หวาดกลัวอีก”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ฟังแล้วไม่เอ่ยอะไรออกมา วันนี้เธอแทบไม่มีโอกาสได้พูด และเดาใจเขาไม่ออกแม้แต่น้อย หรือเธอต้องถามไปตรงๆ เลย แต่เมื่อไตร่ตรองแล้วเธอก็สรุปได้ว่า หลังจากซุนซิ่งฮวานำน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้งไปขาย แผลในใจเขายังบาดลึกอยู่ และตอนนี้เขาต้องการรักษาบาดแผลนั้นด้วยการโรยเกลือด้านบน ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับเธอ ไม่แน่เขาอาจไม่ได้ทำดีกับเธออย่างในตอนนี้กระมัง ตามที่เธอรู้มา เอ้อร์ยาเป็นคนยุยงส่งเสริมให้ซุนซิ่งฮวาทำเช่นนั้นด้วย อีกทั้งยังรังแกน้องสาวของเขาอยู่หลายครั้ง
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกปลงตก เพื่อชีวิตน้อยๆ ของตน เธอไม่ควรไปแตะเกล็ดใต้คอมังกรอย่างเสวี่ยหยวนจิ้ง ตอนนี้เขาทำดีกับเธอ เช่นนั้นเธอจะยอมรับเอาไว้ก่อนแล้วกัน หากได้ไปจากที่นี่เมื่อไร เธอจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาน้องสาวของเขากลับมาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสบายใจไม่น้อย เธอจึงพยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ท่านพี่ ต่อไปข้าก็จะดีกับท่านเหมือนกันเจ้าค่ะ”
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนเช่นนี้มาโดยตลอด หากใครดีกับเธอ เธอก็จะดีตอบเป็นสองเท่า
เสวี่ยหยวนจิ้งนั่งมองรอยยิ้มตรึงใจของแม่นางน้อยภายใต้แสงอันอบอุ่นของเปลวไฟ อีกทั้งสีหน้าอีกฝ่ายดูจริงจังขณะที่เอ่ยประโยคนั้น ทำให้เขารู้สึกว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้พูดไปเรื่อยเปื่อย
เด็กหนุ่มอดยิ้มมุมปากไม่ได้ จากนั้นเขาก็พยักหน้าพลางเอ่ย “อือ”
ทั้งสองคนสนทนากันต่อ แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้มีท่าทีเย็นชาอย่างเมื่อก่อนแล้ว ทว่าถึงอย่างไรเขาก็มิใช่คนพูดมาก คำพูดทุกคำของเขาจึงมีค่าดั่งทอง กลับเป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่พูดมากกว่า ส่วนเขาก็อยู่ในฐานะผู้ฟัง แต่เขาจะขานรับตลอดเวลา ดังนั้นการพูดคุยในคืนนี้จึงทำให้เสวี่ยเจียเยว่มีความสุขเป็นอย่างมาก
หลังจากสนทนาจนเหนื่อยแล้ว เธอก็เอนกายลงนอน
ไฟยังคงลุกไหม้อยู่ ทำให้บรรยากาศในถ้ำอบอุ่นไม่น้อย เมื่อนึกถึงฝีมือการยิงธนูที่ล้ำเลิศของเสวี่ยหยวนจิ้ง เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่กับเขา ครั้งนี้เธอจึงหลับสบายโดยไม่มีความกังวลใด
เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสองคนก็เก็บรวบรวมของป่า และเดินกลับไปตามเส้นทางที่จะไปยังหมู่บ้านซิ่วเฟิง
ด้วยเห็นว่าของป่าที่พวกเขาเก็บมานั้นเพียงพอแล้ว ระหว่างเดินทางกลับจึงไม่ได้เก็บอะไรเพิ่มอีก แต่เดินอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ พวกเขาก็มองเห็นหมู่บ้านซิ่วเฟิง
เสวี่ยเจียเยว่ถือกิ่งไม้พลางมองไปยังหมู่บ้านที่อยู่เบื้องล่าง จู่ๆ เธอก็ไม่อยากกลับไปเท่าไรนัก
ความจริงเธอใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับเด็กหนุ่มก็ถือว่าดีมากแล้ว
ทว่า… สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปกล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ไป พวกเรากลับกันเถอะ”
[1] การสอบเคอจวี่ หมายถึง การสอบจอหงวนหรือสอบเข้ารับราชการในยุคจีนโบราณ
Related