หกสิบห้า
ใต้ร่มคันเดียวกันท่ามกลางสายฝน
การสอบของสำนักศึกษาจะเริ่มตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่าย แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะบอกเสวี่ยเจียเยว่ว่า เมื่อสอบเสร็จแล้วเขาจะกลับเรือนเอง โดยที่เธอไม่ต้องลำบากกลับมารับเขา ทว่าเมื่อถึงตอนบ่าย เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังเดินออกจากเรือนไป
ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งวัน ทว่าฝนก็ยังไม่ตกลงมาเสียที แต่เพื่อความปลอดภัย เสวี่ยเจียเยว่จึงหยิบร่มกระดาษน้ำมันติดมือมาด้วย
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง สายฝนก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า
เสวี่ยเจียเยว่กางร่มเดินไปจนกระทั่งถึงด้านหน้าสำนักศึกษา
มีคนอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก และเพราะยามปกติจะมีผู้เข้าเรียนเดินเข้าออกสำนักศึกษาตลอดเวลา จึงมีร้านน้ำชา ร้านขนม รวมไปถึงโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกล ในขณะนี้มีคนนั่งพูดคุยกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งรอให้ประตูสำนักศึกษาเปิดไปด้วย
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่คิดจะยืนกางร่มรอเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ด้านนอกสำนักศึกษา แต่คิดไม่ถึงว่าฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเธอก็เก็บร่มแล้วเดินเข้าไปในร้านน้ำชา ซึ่งถ้าต้องการน้ำชาหนึ่งถ้วยต้องใช้เงินหนึ่งอีแปะ
เธอนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนตั่งพลางฟังคนรอบข้างพูดคุยกันไปด้วย
ด้านนอกฝนตกหนัก แต่ไม่สามารถหยุดบทสนทนาที่น่าสนใจของคนในร้านน้ำชาได้แม้แต่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินพวกเขาคาดเดากันว่าผู้ใดจะสอบได้ที่หนึ่งในสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู โดยคนมากกว่าเก้าส่วนคิดว่าตันหงอี้จะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูในเวลาเดียวกัน
เมื่อสอบได้ที่หนึ่งในสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู เช่นนั้นต่อไปความหวังที่จะสอบได้เป็นขุนนางก็อยู่แค่เอื้อม หากสามารถสอบได้ที่หนึ่งทั้งสองสำนักศึกษาพร้อมกัน ก็เป็นไปได้ว่าจะสอบได้อันดับหนึ่งของการสอบขุนนาง ทั้งยังได้ยินอีกว่า ตั้งแต่สำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูก่อตั้งมา ยังไม่เคยมีใครสอบได้อันดับหนึ่งของทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกัน ตันหงอี้ผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่
เสวี่ยเจียเยว่แปลกใจไม่น้อย เธอตั้งใจฟังบทสนทนาของคนเหล่านั้นต่อไป
เมื่อฟังได้สักพัก เธอก็รู้ว่าตันหงอี้เป็นบุตรชายตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองผิงหยาง ตระกูลเขาเปิดร้านผ้าไหม ร้านตัดชุด และร้านขายอัญมณีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองผิงหยาง ชื่อ ‘จวี่เสียนโหลว’
ตันหงอี้ผู้นี้เป็นคนฉลาด โดดเด่นและมีพรสวรรค์มาตั้งแต่ยังเด็ก เคยมีผู้เข้าเรียนที่มีความโดดเด่นหลายคนไม่พอใจ จึงนัดเขามาประลองความสามารถ ทว่าตันหงอี้ทำให้พวกเขาต้องกลับไปอย่างน่าอับอาย
หัวหน้าสำนักศึกษาถัวเยว่เคยพบตันหงอี้ และทดสอบความสามารถเป็นการส่วนตัว ขณะนั้นเขาอยากให้เด็กหนุ่มเข้าเรียนที่สำนักศึกษาถัวเยว่โดยไม่ต้องสอบ ทว่าตันหงอี้กลับปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยบอกว่าต้องการสอบเหมือนกับผู้เข้าเรียนคนอื่นๆ จะเข้าเรียนในสำนักศึกษาถัวเยว่อย่างสง่างามด้วยอันดับหนึ่ง
คนผู้หนึ่งในร้านน้ำชาถอนหายใจพลางเอ่ย “คุณชายตันผู้นี้ช่างหยิ่งยโสจริงๆ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ ฐานะของเขาเดิมทีร่ำรวยมากอยู่แล้ว ยังมีความรู้ความสามารถมาก หากเขาไม่หยิ่งยโสแล้วผู้ใดจะหยิ่งยโสเล่า”
ในร้านมีคนที่มาจากนอกเมืองอยู่ด้วย และพวกเขาก็ไม่เคยพบตันหงอี้มาก่อน เมื่อได้ยินคนเหล่านั้นพูดขึ้นมา จึงพากันพูดว่าหากตันหงอี้ออกมา ขอให้คนเหล่านั้นชี้ให้ดู พวกเขาอยากจะเห็นคนฉลาดเช่นนี้ เผื่อจะได้เปิดหูเปิดตาสักครั้ง
คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “มีเหตุอันใดต้องชี้ ใบหน้าของคุณชายตันโดดเด่น ยืนอยู่ในฝูงชนก็เหมือนนกกระเรียนในกลุ่มไก่ เป็นที่น่าจดจำที่สุด รอให้พวกเขาออกมาหลังสอบเสร็จ หากเจ้าเห็นใครที่หล่อเหลาที่สุด คนผู้นั้นก็คือคุณชายตัน”
ขณะที่เอ่ยนั้น ก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นสามครั้ง คนในร้านรีบลุกขึ้นยืนทันทีและพากันเอ่ย
“เสร็จแล้ว! สอบเสร็จแล้ว ใกล้จะออกมากันแล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่รีบลุกขึ้นเช่นกัน
ฝนด้านนอกเริ่มซาลงแล้ว เมื่อประตูสีดำบานใหญ่ของสำนักศึกษาเปิดออกทั้งสองบาน กลุ่มผู้สอบจำนวนมากก็ทยอยเดินออกมา
ตอนเข้าสอบเมื่อเช้านี้ฝนยังไม่ตก หลายคนจึงไม่ได้นำร่มมา เมื่อเห็นว่าตอนนี้ฝนกำลังโปรยปราย ก็มีคนไม่น้อยที่เร่งฝีเท้า บางคนก็ยกถุงผ้าในมือขึ้นมาบังเหนือศีรษะก่อนจะเดินไปข้างหน้า
คนในร้านน้ำชาที่เพิ่งได้ยินเรื่องของตันหงอี้ ต่างชะเง้อคอมองไปด้านหน้า เพราะอยากจะเห็นเด็กหนุ่มสักครั้ง
ทันใดนั้นเสียงของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “คนนั้น! พวกเจ้าดูคนนั้น ข้ามองละเอียดแล้ว คนผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาที่สุดท่ามกลางฝูงชน เขาจะต้องเป็นตันหงอี้อย่างแน่นอน”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ก็พากันมองตามที่เขาชี้ไป
เสวี่ยเจียเยว่ที่เพิ่งได้ยินเรื่องของตันหงอี้ ก็ยากจะห้ามความอยากรู้อยากเห็นได้ เธอจึงหันไปมองด้วย
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกอันล้ำค่า รูปร่างผอมสูงดั่งลำไผ่เขียวขจีท่ามกลางหมอกบนภูเขา ที่น่าประหลาดใจก็คือคนรอบข้างเขาล้วนก้มหน้าเร่งฝีเท้า มีเพียงฝีเท้าของเขาเท่านั้นที่ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ราวกับว่าแม้ภูเขาไท่ซานจะพังทลายลงตรงหน้า ก็ไม่อาจทำลายท่าทางนิ่งสงบของเขาได้
คนเช่นนี้จริงๆ แล้วก็ง่ายต่อการสังเกตเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน ทว่า…
มุมปากของเสวี่ยเจียเยว่กระตุก คนผู้นั้นใช่ตันหงอี้ที่ไหนกันเล่า นั่นเสวี่ยหยวนจิ้งชัดๆ ชุดสีเขียวที่เขาสวมอยู่นั้นเป็นชุดที่เธออยากให้สวมมาสอบ เพราะเมื่อหลายวันก่อนเธอคิดว่าเขาควรจะสวมชุดที่คนร่ำเรียนเขาสวมกัน จะให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้อย่างไร จึงตั้งใจซื้อผ้าหนึ่งพับมาให้ป้าเฝิงตัดเย็บให้
กระนั้นเมื่อได้ยินคนอื่นบอกว่าใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งโดดเด่นที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน เสวี่ยเจียเยว่ก็มีความสุขและรู้สึกภาคภูมิใจ
เพราะเขาคือพี่ชายของเธอ ในฐานะน้องสาว… มีใครบ้างที่ไม่อยากมีพี่ชายซึ่งไม่ว่าใครต่างก็อิจฉา
ในขณะที่เธอกำลังจะเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงของคนในร้านดังขึ้น
“นี่ไม่ใช่คุณชายตัน นู่น คนนู้น คุณชายที่พวกเจ้าเอ่ยถึงสวมชุดคลุมหลันชาน[41] สีขาวแถบดำเดินอยู่ด้านหลังไม่ไกล นั่นน่ะถึงจะใช่คุณชายตัน”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น เธอจึงยังไม่เรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เขย่งเท้ามองไปด้านหลังของเขา
เธอเห็นชายที่สวมชุดคลุมหลันชานสีขาวแถบดำผู้หนึ่ง ซึ่งเดินห่างจากด้านหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งไปสองสามช่วงตัว อายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าปี เมื่อมองใบหน้าอย่างละเอียด ก็พบว่าเขาหล่อเหลาจริงๆ ขณะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ดูสดใสเปล่งประกาย เป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากผู้หนึ่ง
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคนข้างๆ เอ่ยด้วยความเสียดาย
“แม้ว่าใบหน้าของคุณชายตันท่านนี้จะหล่อเหลา ทว่ากลับไม่สู้เด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่พวกเจ้าบอกว่าคุณชายตันคือผู้ที่มีความโดดเด่นที่สุด เป็นเรื่องที่กล่าวเกินจริงหรือไม่”
เด็กหนุ่มที่เขาเอ่ยถึงนั้น ย่อมเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่มีความสุขจนแทบจะระเบิดออกมา
เธอไม่สนว่าใครจะเถียงเรื่องความรู้และความโดดเด่นของตันหงอี้ แต่รีบถอนสายตากลับมา ก่อนจะวิ่งไปหาเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงทบทวนวิชาการวางแผนที่เพิ่งสอบไปเมื่อครู่นี้ จึงไม่ได้สังเกตรอบๆ ตัว จนกระทั่งมีคนมาขวางทางเขาไว้ เขาก็ไม่พอใจเล็กน้อย ในขณะที่มองอีกฝ่ายคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน เพราะคนตรงหน้าคือเสวี่ย-เจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่กำลังยิ้มแย้มเหมือนดอกไม้ยามผลิบาน ท่าทางไร้เดียงสาดูมีเสน่ห์และงดงามเป็นอย่างมาก
เด็กหนุ่มทั้งตกใจและดีใจ ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “เจ้ามาได้อย่างไร ข้าบอกว่าเจ้าไม่ต้องมารับก็ได้ ให้รอข้าอยู่ที่เรือนไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าไม่เชื่อฟังสักนิด”
แม้เขาจะเอ่ยเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่มารับทันทีที่ออกจากประตูสำนักศึกษาถัวเยว่ เด็กหนุ่มก็ดีใจไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่กลอกตาไปมา ก่อนจะหาเหตุผลมาโต้แย้งอย่างรวดเร็ว “ข้าเห็นว่าฝนตกแล้ว ตอนที่ท่านเข้าไปในสำนักศึกษาก็ไม่ได้นำร่มไปด้วย ข้ากลัวว่าท่านจะเปียกก็เลยมารับท่าน”
แต่ความจริงแล้วฝนยังไม่ตกในตอนที่เธอออกมาจากเรือน
เสวี่ยหยวนจิ้งยื่นมือไปดีดหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าโกหกข้าอีกแล้ว เห็นอยู่ว่าฝนเพิ่งตกได้ไม่นาน แต่ระยะทางจากเรือนมาที่สำนักศึกษานั้น เจ้าคงไม่สามารถเดินมาถึงภายในเวลาอันสั้น ดังนั้นตอนที่เจ้าออกมาฝนยังไม่ตกแน่ๆ”
เมื่อถูกจับได้ว่าพูดโกหก เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่เถียงอีกต่อไป เพียงลูบหน้าผากที่ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งดีด ก่อนจะเอ่ยด้วยความน้อยใจ
“ท่านพี่ ข้าเจ็บเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าแรงที่ใช้ไปเมื่อครู่นี้ย่อมไม่ทำให้เสวี่ยเจียเยว่เจ็บจริงๆ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่าทางก็ช่างน่าสงสาร เขาจึงใจอ่อนเช่นเคย
เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายพลางเอ่ยถาม “เจ็บจริงหรือ เจ็บมากหรือไม่” น้ำเสียงของเขานั้นอ่อนโยนยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เอามือออกจากหน้าผาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ไม่โกรธ ข้าก็หายเจ็บแล้วเจ้าค่ะ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าจนใจ ทว่าแววตาราวกับมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นฉายชัด
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่น่ารักเช่นนี้หรือไม่ แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะและอ่อนโยน แม้จะรู้ว่าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายโกหก เขาก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย
เกรงว่าต่อไปหากเสวี่ยเจียเยว่ทำเรื่องอะไรผิด ตราบใดที่ยังทำตัวน่ารักกับเขาเช่นนี้ เขาก็คงโกรธไม่ลง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาในฐานะพี่ชายคงไม่มีความน่าเกรงขามเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย
เสวี่ยหยวนจิ้งเขกศีรษะเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วรับร่มกระดาษน้ำมันในมือของอีกฝ่ายมา ก่อนจะกางออกและยกไว้เหนือศีรษะ
เพราะเสวี่ยเจียเยว่นำร่มกระดาษน้ำมันมาเพียงหนึ่งคันเท่านั้น ตอนนี้ทั้งคู่จึงต้องใช้ร่มคันเดียวกัน โชคดีที่ฝนไม่ตกหนักและไม่มีลมพัด การมีร่มเพียงคันเดียวจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา
ทั้งสองเดินเคียงกันไปข้างหน้าพร้อมกับสนทนาไปด้วย
ทันใดนั้นก็มีคนแต่งตัวคล้ายบ่าวรับใช้วิ่งมาสามคน พร้อมตะโกนเรียก “คุณชาย!”
เพราะพวกเขาวิ่งมาอย่างรวดเร็วทำให้เสวี่ยเจียเยว่หลบไม่ทัน จึงเกือบจะถูกคนผู้หนึ่งชนเข้า โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปโอบไหล่ของเธอและดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว พยายามปกป้องเธออย่างสุดกำลัง
ผลจากการที่เสวี่ยหยวนจิ้งต้องการจะปกป้องเธอ ทำให้ถุงผ้าที่ใส่กระดาษ หมึก พู่กัน และหินฝนหมึกในมือเขาร่วงลงกระจัดกระจายอยู่บนทางเดินที่เต็มไปด้วยโคลน
[41] ชุดบัณฑิตจีน มีลักษณะเป็นชุดคลุมยาวถึงเท้า ทุกด้านมีขอบกว้าง แขนเสื้อกว้างและยาวเลยข้อมือ สวมคู่กับหมวกผ้าหรูจินหรือหมวกแข็งสี่เหลี่ยม