หกสิบเจ็ด
เดือดดาลต่อหน้าธารกำนัล
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทีท่าว่าจะสนใจตันหงอี้ เขาเพียงบอกให้เสวี่ย-เจียเยว่กลับเรือนเดี๋ยวนี้ ช่วงบ่ายก็ไม่ต้องมารับเขา
เสวี่ยเจียเยว่เพียงยิ้มและไม่เอ่ยคำใด
ตันหงอี้ที่ถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยถูกใครเมินเฉยเช่นนี้ เมื่อจู่ๆ ก็มีคนทำราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เด็กหนุ่มจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที จนกำสองมือที่สอดเข้าไปในแขนเสื้อแน่น
เสวี่ยเจียเยว่พูดขึ้น “ท่านพี่ ท่านต้องตั้งใจสอบ ข้าเชื่อว่าท่านต้องทำได้”
ตันหงอี้เหลือบมองแม่นางน้อยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรายตามองเด็กหนุ่มอีกคนตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ก่อนจะเอ่ยถากถาง
“ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว คงไม่ใช่คนในเมืองนี้ ในครอบครัวไม่มีผู้ใหญ่ใช่หรือไม่ เหตุใดถึงปล่อยให้น้องสาวตัวเล็กๆ มาส่งเจ้าเข้าสอบด้วย ดูจากเนื้อผ้าของชุดเจ้าแล้วก็เป็นผ้าธรรมดา คงเป็นเด็กฐานะยากจนที่รู้อักษรอยู่ไม่กี่ตัว กล้าดีอย่างไรมาสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู หากทั้งสองแห่งรับคนเช่นเจ้าเข้าสอบ เช่นนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็คงดิ่งลงเป็นพันจั้ง[43]”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินตันหงอี้พูดจาถากถางเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนั้น เธอก็อดรนทนไม่ไหวทันที จึงถากถางเขากลับไป
“เมื่อวานข้าได้ยินคนบอกว่าเจ้ามีความรู้มาก ข้ามิอาจรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ แต่ดูจากตอนนี้แล้ว แม้ว่าเจ้าจะมีความรู้มากแล้วอย่างไร นิสัยของเจ้าเป็นเช่นนี้ คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ หากสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูรับคนอย่างเจ้าเข้าสอบ เช่นนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็คงต้องดิ่งลงเป็นพันจั้งเช่นกัน”
ตันหงอี้เคยถูกคนเหยียดหยามเช่นนี้เมื่อไรกัน อีกทั้งยังเป็นแม่นางน้อยอายุแปดเก้าขวบ เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงก่ำด้วยความเดือดดาล เส้นเลือดบริเวณจุดไท่หยาง[44] ถึงกับเต้นตุบๆ
“เจ้า… เจ้า!”
เขาชี้นิ้วไปที่เสวี่ยเจียเยว่ ชั่วขณะนั้นก็เดือดดาลอย่างมาก จนไม่รู้ว่าควรจะพูดโต้แย้งอย่างไรดี
เสวี่ยหยวนจิ้งยืนบังเสวี่ยเจียเยว่ไว้ หลังจากพยักหน้าเบาๆ ให้ตันหงอี้ เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าสองพี่น้องไม่อยากมีปัญหา เหตุใดคุณชายถึงได้ราวีไม่เลิกเช่นนี้”
ตันหงอี้เอ่ยวาจาถากถางออกมาก่อน เสวี่ยหยวนจิ้งข่มอารมณ์เอาไว้ตลอดเวลา แต่เป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่เอ่ยปากโต้เถียงกับเขา นั่นก็สามารถเข้าใจได้เพราะยังเป็นเพียงแม่นางน้อย ทว่าตอนนี้ตันหงอี้กลับมีทีท่าว่าจะไม่ยอมเลิกรา
เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมสีฟ้าซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยกับตันหงอี้ “ตันหงอี้ แม้เจ้าจะเป็นคนร่ำรวย แต่ก็ไม่อาจใช้อำนาจรังแกผู้อื่นได้ ที่ข้าเห็นตอนนี้คือเจ้ารังแกผู้อื่นก่อน ที่แม่นางน้อยกล่าวมานั้นก็มีเหตุผล เจ้ายังต้องการราวีไม่เลิกใช่หรือไม่ ข้าขอเตือนเจ้าให้หยุดการกระทำเช่นนี้เสีย อย่างไรก็ล้วนเป็นผู้ที่มาสอบทั้งนั้น ไม่แน่ต่อไปทุกคนอาจจะได้เป็นสหายร่วมสำนักศึกษากันก็ได้”
“ผู้ใดอยากจะเป็นสหายร่วมสำนักศึกษากับพวกเจ้า”
ตันหงอี้รีบหันไปมองเด็กหนุ่มที่เป็นเจ้าของประโยคเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“ข่งซิวผิง เจ้ามันก็แค่คนขี้แพ้ใต้เงื้อมมือของข้าเท่านั้น คิดว่าเจ้าจะสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูได้อย่างนั้นหรือ ข้าว่าเจ้าไม่ควรสอบเข้าที่สำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้ด้วยซ้ำ เสียเวลาเปล่าๆ เจ้าควรไปสอบสำนักศึกษาอันดับด้อยที่สุดถึงจะถูก”
ครั้นกล่าวจบ เขาพลันสะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง เชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตรงไปด้านหน้าด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
ข่งซิวผิงปรายตามองแผ่นหลังของอีกฝ่าย สีหน้าของเขาไม่ได้ดูโมโหมากนัก เมื่อตันหงอี้เดินไปไกลแล้ว เขาจึงเดินไปคำนับเสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ย
“ข้าแซ่ข่ง นามซิวผิง ขอถามชื่อแซ่ของคุณชายจะได้หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งคำนับเขาเช่นกัน “ข้าแซ่เสวี่ย นามว่าหยวนจิ้ง”
ทั้งสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นข่งซิวผิงก็เอ่ยถึงตันหงอี้
“ข้ารู้จักตันหงอี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ถือเป็นญาติห่างๆ กันก็ว่าได้ ข้ารู้จักเขาดีเลยละ เขาเป็นคนค่อนข้างหยิ่งยโส แต่ก็มิใช่คนเลว เรื่องเมื่อครู่นี้ คุณชายเสวี่ยอย่าได้ถือสาเลย”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยอย่างสุภาพสองสามประโยค เมื่อข่งซิวผิงเห็นเสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยถาม
“คุณชายเสวี่ย ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าแม่นางน้อยผู้นี้คือผู้ใด”
เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากพาเสวี่ยเจียเยว่ไปให้ใครได้รู้จัก แต่ตอนนี้ในเมื่อข่งซิวผิงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน เขาจึงทำได้เพียงตอบไป “นางคือน้องสาวของข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ทำความเคารพข่งซิวผิง และเขาก็รีบคำนับตอบทันที
ยามนี้ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่เดินเข้าประตูสำนักศึกษาไท่ชูแล้ว ข่งซิวผิงจึงเชิญเสวี่ยหยวนจิ้งให้เดินเข้าไปพร้อมกัน
แต่ไหนแต่ไรมา เสวี่ยหยวนจิ้งไปไหนมาไหนคนเดียวจนชิน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนเอ่ยชวนเขาอย่างเป็นมิตร เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบรับไป
ทว่าเขายังเป็นห่วงเสวี่ยเจียเยว่ จึงหันกลับไปกำชับให้อีกฝ่ายรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ และตอนบ่ายไม่ต้องมารับเขา จากนั้นจึงเดินเข้าไปในสำนักศึกษาพร้อมกับข่งซิวผิง ระหว่างนั้นก็หันกลับไปมองแม่นางน้อยถึงสองครั้ง เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังยืนอยู่ที่เดิม จึงโบกมือเป็นเชิงบอกว่าให้รีบกลับไป
เสวี่ยเจียเยว่โบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินจากไป
ข่งซิวผิงเห็นดังนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองพี่น้องช่างดีจริงๆ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยตอบอะไร แต่แววตาของเขาเป็นประกายราวกับมีรอยยิ้มจางๆ
หลังจากสอบติดต่อกันมาสองวัน เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาจากสำนักศึกษาไท่ชู เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านพี่!”
นั่นคือเสียงของเสวี่ยเจียเยว่
เขารีบเงยหน้าขึ้นมองทันที เป็นจริงดังคาด เสวี่ยเจียเยว่ยืนเขย่งเท้าโบกมือให้เขาท่ามกลางฝูงชน
มีผู้คนจำนวนมากอยู่ที่บริเวณประตูสำนักศึกษาไท่ชู ส่วนใหญ่เป็นคนที่มารับผู้เข้าสอบ นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าที่ขายของทุกประเภท เสวี่ยเจียเยว่เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุเก้าขวบ การที่จะเบียดฝูงชนมาหาเขาจึงมิใช่เรื่องง่าย
เสวี่ยหยวนจิ้งรีบเดินไปหาและดึงตัวอีกฝ่ายออกมาจากฝูงชน ก่อนจะจูงมือแม่นางน้อยเดินไปยังสถานที่ที่มีผู้คนไม่มากนัก แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้ไม่ต้องมารับ เหตุใดเจ้าไม่ฟังข้าอีกแล้ว แอบวิ่งมาที่นี่คนเดียวได้อย่างไร”
จากนั้นก็มองพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า “ไม่ถูกใครเบียดเข้าใช่หรือไม่”
แม้จะเอ่ยตำหนิ แต่เมื่อได้เห็นหน้าเสวี่ยเจียเยว่ ความเหนื่อยล้าของเขาก็มลายไปทันที และในยามนี้สีหน้าของเขาดูห่วงใยมากกว่าตำหนิ
เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มแย้มพลางปล่อยให้เขาตำหนิเช่นนั้น เธอไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงคล้องแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้มสดใส
“วันนี้ข้าซื้อซี่โครงหมูมา คิดว่าจะทำซี่โครงหมูตุ๋นใส่เต้าหู้ให้ท่านกิน ตอนที่ข้าออกมาก็ต้มซี่โครงหมูไว้แล้ว ตอนนี้น่าจะใกล้สุกได้ที่แล้วละ ท่านพี่ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
ท่าทางเช่นนี้… เสวี่ยหยวนจิ้งจะตำหนิลงได้อย่างไร
เขาทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยพร้อมดวงตาเป็นประกายอ่อนโยน “เฮ้อ เจ้านี่นะ เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังข้าบ้าง”
เขายังคงดูแลเสวี่ยเจียเยว่ให้เดินออกไปจากฝูงชนอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินใครบางคนแค่นเสียงขึ้นจมูก เสียงนั้นดังไม่น้อย คงมีคนจงใจทำให้พวกเขาได้ยิน
เสวี่ยหยวนจิ้งทำราวกับไม่ได้ยิน เขาไม่หันไปมองด้วยซ้ำ ทว่าเสวี่ย-เจียเยว่เป็นฝ่ายที่อดทนไม่ได้ เธอหันไปมองทันที จึงเห็นว่าคนที่แค่นเสียงขึ้นจมูกเมื่อครู่นั้นคือตันหงอี้
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่มองมา ตันหงอี้ก็ถอนสายตากลับแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าด้วยท่าทางหยิ่งยโส
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจตันหงอี้อีกต่อไป ก่อนเดินไปพร้อมกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
ตลอดทางที่เดินมา เธอไม่ถามถึงการสอบของเสวี่ยหยวนจิ้งสักคำ ความจริงแล้วเมื่อวานก็ไม่ได้เอ่ยถามเช่นกัน พรุ่งนี้เสวี่ยหยวนจิ้งยังต้องไปสอบที่สำนักศึกษาอีกแห่ง ตอนนี้เธอจึงไม่อยากถามเรื่องนี้กับเขา
เมื่อพวกเขากลับถึงเรือน ซี่โครงหมูที่ต้มทิ้งไว้ในหม้อก็เดือดปุดๆ ได้ที่แล้ว ทำให้ทั้งเรือนเต็มไปด้วยกลิ่นหอม
หลังจากบอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปพักในห้อง เสวี่ยเจียเยว่ก็ไปตักน้ำมาล้างมือ แล้วเคี่ยวซี่โครงหมูจนเปื่อยนุ่ม ก่อนจะนำเต้าหู้ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในหม้อ หั่นแตงกวาเป็นชิ้นเล็กๆ สำหรับทำผัดแตงกวาใส่ไข่
พอเต้าหู้สุกได้ที่แล้ว เธอก็เปิดฝาหม้อออกและโรยต้นหอมสับลงไป จากนั้นยกหม้อมาวางไว้บนโต๊ะ และเริ่มผัดแตงกวาใส่ไข่
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะซื้อเตาถ่านกลับมาเพื่อตุ๋นซี่โครงหมูโดยเฉพาะ สามารถนำมาตุ๋นในเรือนได้ แต่ห้องครัวอยู่ติดลาน ทั้งสามเรือนต้องใช้ร่วมกัน ตอนที่เธอทำกับข้าว เสี่ยวฉานกับหูจื่อที่อาศัยอยู่ในเรือนอีกหลังจึงเดินออกมาเมื่อได้กลิ่นหอม และมายืนมองอยู่ด้านข้าง
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมอง ก็พบว่าพวกเขาใกล้จะน้ำลายไหลออกมาเต็มที
อยู่ที่นี่มาสักระยะ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าสามีของป้าเฝิงตายไปหลายปีแล้ว ตอนนี้นางจึงประคับประคองครอบครัวด้วยตัวคนเดียว ยามปกตินางทำงานอยู่ในร้านตัดชุด แม้ว่าทุกเดือนจะได้เงินมาบ้าง แต่ก็พอใช้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น แม้แต่จะกินผักก็ยังเก็บส่วนที่คนอื่นไม่เอาแล้วกลับมา ไหนเลยจะมีโอกาสได้กินซี่โครงหมูตุ๋นใส่เต้าหู้และผัดแตงกวาใส่ไข่ แม้แต่ข้าวสุกเขาก็คงเคยกินอยู่ไม่กี่ครั้ง
เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีเงินมากนัก เธอจึงซื้อเนื้อกับไข่ไก่น้อยมาก ที่ซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นของราคาถูก สองวันมานี้เธอเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเหนื่อยจากการสอบ จึงตั้งใจทำกับข้าวเหล่านี้ให้เขากิน
พอเห็นเสี่ยวฉานกับหูจื่อหิวจนมีอาการเช่นนี้ เธอคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตักผัดแตงกวาใส่ไข่ที่สุกได้ที่แล้วใส่จาน จากนั้นก็หยิบถ้วยใบหนึ่งมาตักข้าวลงไปครึ่งถ้วย คีบซี่โครงหมูตุ๋นกับเต้าหู้สองสามชิ้นลงไป และเทผัดแตงกวาใส่ไข่ลงไปด้วย แล้วยื่นถ้วยใบนั้นให้เสี่ยวฉาน
“ข้าให้เจ้ากับน้องชายของเจ้ากิน”
เสี่ยวฉานเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความลังเล ไม่ได้ยื่นมือมารับไป
ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ให้ไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่างในวันนั้น นางก็รับไปกอดไว้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นมารดาด่าว่านางอย่างรุนแรง บอกให้มีศักดิ์ศรีบ้าง มิใช่เห็นของกินแล้ววิ่งเข้าใส่ ตอนนี้นางจึงไม่กล้ารับถ้วยจากเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่สูงกว่าเสี่ยวฉาน จึงโน้มตัวลงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดไม่รับไปเล่า กลัวแม่เจ้าด่าหรือ ไม่เป็นไร นี่เป็นสิ่งที่ข้าให้เจ้ากับน้องชายของเจ้ากิน เพียงแค่กินมันก็พอแล้ว เรื่องนี้พวกเราจะเก็บไว้เป็นความลับไม่บอกแม่ของเจ้า ดีหรือไม่”
เมื่อเสี่ยวฉานได้ยินดังนั้น นางก็พยักหน้าแทบไม่ทัน จากนั้นจึงเอื้อมมือไปรับถ้วย แล้วหยิบตะเกียบที่วางอยู่บนชั้นวางถ้วยชามขึ้นมาคีบซี่โครงหมูตุ๋นหนึ่งชิ้นให้หูจื่อ ส่วนตนก็กินอีกหนึ่งชิ้นเข้าไปและเคี้ยวอย่างมีความสุข
ซี่โครงหมูตุ๋นนี้นุ่มและร่วนมาก เสี่ยวฉานเคี้ยวไปพลางพูดงึมงำไปด้วย “พี่เสวี่ย ท่านช่างดีจริงๆ”
เสวี่ยเจียเยว่ลูบศีรษะของนางเบาๆ ด้วยรอยยิ้มสดใส
ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งถึงชอบลูบศีรษะของเธอบ่อยนัก
เพราะตอนนี้… ในใจของเธอรู้สึกเอ็นดูเสี่ยวฉาน ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งลูบศีรษะเธอ ในใจของเขาก็คงเอ็นดูเธอเหมือนกันกระมัง