แปดสิบ
นางเอกสองคน
สุดท้ายตันหงอี้ก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความโกรธ โดยทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ก่อนจะจากไปว่า ปีนี้เขาจะทำให้สำนักศึกษาถัวเยว่คว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันจีจวีให้ได้ เขาจะไม่ปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งชนะเด็ดขาด
เมื่อสองปีก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งเลือกเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู ส่วนตันหงอี้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาถัวเยว่ และเสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับหนึ่งทุกปี ด้านตันหงอี้ก็สามารถสอบได้อันดับหนึ่งทุกปีเช่นกัน
บางครั้งเหล่าหัวหน้าสำนักศึกษาในเมืองผิงหยางจะมารวมตัวพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ และทายว่าข้อสอบคัดเลือกขุนนางในปีนี้จะออกหัวข้ออะไร แน่นอนว่ามีการพูดคุยถึงผู้เรียนที่โดดเด่นในสำนักศึกษาของตน ทุกครั้งที่หัวหน้าสำนักศึกษาถัวเยว่ได้พบปะกับอันหัวชิง ก็มักจะพูดถึงตันหงอี้ ศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของตนเสมอ ทั้งยังมักจะนำม้วนกระดาษคำตอบของเขาออกมาให้ดู แต่อันหัวชิงจะพูดถึงตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งในปีนั้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนบอกว่าตันหงอี้สอบได้เพียงอันดับสองเท่านั้น ทำให้หัวหน้าสำนักศึกษาถัวเยว่แทบสำลักน้ำลายตายเลยทีเดียว เมื่ออันหัวชิงนำม้วนกระดาษคำตอบของเสวี่ยหยวนจิ้งในทุกปีออกมา หัวหน้าสำนักศึกษาถัวเยว่ดูอย่างละเอียดแล้วก็แทบกระอักเลือดทันที
ทุกครั้งที่หัวหน้าสำนักศึกษาถัวเยว่กลับไป คงจะเอ่ยถึงเสวี่ยหยวนจิ้งต่อหน้าตันหงอี้อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งเป็นเพราะถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกดให้อยู่ในอันดับสองของการสอบเข้าสำนักศึกษาเมื่อสองปีที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่จึงคิดว่าตอนนี้ตันหงอี้คงอยากจะเอาชนะให้ได้
แต่ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร ควรไปพูดกับเสวี่ยหยวนจิ้งโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องวิ่งมาพูดกับเธออยู่ร่ำไป ทั้งที่ไม่เคยชนะเธออีก หรือเป็นเพราะเขาแพ้การเดิมพันในครั้งนั้น จึงพุ่งตรงมาหาเธอเสมอ
การที่ตันหงอี้มาหาเรื่องเธอเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งต้องเห็นอย่างแน่นอน เพราะหลังจากจบการแข่งขัน เมื่อพวกเขาแยกกับผู้เรียนของสำนักศึกษาไท่ชูคนอื่นๆ ที่ด้านหน้าประตูแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยถามเธอ
“เมื่อครู่ตันหงอี้มาพูดอะไรกับเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่เลื่อมใสเขาจริงๆ ทั้งที่แข่งจีจวีอยู่แท้ๆ กลับเห็นการเคลื่อนไหวของเธอได้อย่างชัดเจน
“เขามาบอกข้าว่าการแข่งขันจีจวีในครั้งนี้ เขาจะทำให้สำนักศึกษาถัวเยว่ช่วงชิงอันดับหนึ่งและกดอันดับของท่านลงให้ได้” เธอตอบไปตามจริง
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าการแข่งขันจีจวีในสองปีที่ผ่านมา ตันหงอี้เข้าร่วมแข่งทุกครั้ง และที่สำนักศึกษาถัวเยว่ได้อันดับสองของการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเมื่อปีที่แล้ว เขาก็ตีลูกหนังเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้ไม่น้อย สามารถพูดได้เลยว่า หากไม่มีตันหงอี้ เกรงว่าปีที่แล้วสำนักศึกษาถัวเยว่คงไม่มีทางได้อันดับสอง ขณะที่สำนักศึกษาไท่ชูได้อันดับห้า…
สำนักศึกษาในเมืองผิงหยางมีอยู่เก้าแห่ง เมื่อปีที่แล้วสำนักศึกษาไท่ชูได้อันดับห้า ก็เรียกได้ว่าเป็นอันดับที่ต่ำมาก ตันหงอี้จึงกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของการแข่งขันครานี้
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขายังคงเป็นปกติ “อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าจะปล่อยให้ม้าของเขาเข้ามา”
ในเมื่อตันหงอี้อยากชนะ มาพูดกับเขาอย่างเปิดเผยก็ได้ เหตุใดต้องไปพูดกับเสวี่ยเจียเยว่ อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ตันหงอี้แน่นอน
แม้ว่าสีหน้าของชายหนุ่มจะยังดูราบเรียบ แต่ในคำพูดนั้นกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
เสวี่ยเจียเยว่ชอบตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ เธอจึงรีบตอบด้วยรอยยิ้มทันที “ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าท่านพี่ต้องชนะเขาอย่างแน่นอน”
ความจริงแล้วเธอคิดว่าจะแพ้หรือชนะนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่พูดไปก็เพราะเธอเชื่อมั่นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะประสบความสำเร็จไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมาก เขามองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนมองยิ่งนัก จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มเบาๆ อย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “นับวันเจ้ายิ่งยกยอข้าให้ดีใจเก่งจริงๆ”
สองปีที่เข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู เขาไม่เพียงได้เรียนวิชาจากอาจารย์ แต่ยังได้รู้ศาสตร์ทั้งหกของการเป็นสุภาพบุรุษอีกด้วย เพราะทางสำนักศึกษาอยากอบรมสั่งสอนให้ผู้เรียนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มช้ากว่าคนอื่นๆ จึงเรียนรู้อย่างตั้งใจที่สุด เป็นเหตุให้มือเขาหยาบกร้านราวกับมีรังไหมเกิดขึ้นบนฝ่ามือ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องทำงานในไร่นาแล้ว และเผชิญกับแสงแดดน้อยครั้ง อีกทั้งเสวี่ยหยวนจิ้งก็ปฏิบัติกับเธออย่างจริงใจ แทบจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ ดังนั้นผิวของเสวี่ยเจียเยว่จึงไม่เพียงขาวราวหยกงาม แต่ยังเนียนนุ่มขึ้นไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ในขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งหยิกเบาๆ เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกว่ามือที่หยาบกร้านของเขาทำให้แก้มของเธอคันยุบยิบ
เธอยิ้มพลางเบี่ยงตัวออกจากมือของเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ต่อไปท่านอย่าหยิกแก้มข้าอีกนะเจ้าคะ ข้าคัน อีกอย่าง… ตอนนี้ข้าเองก็โตแล้ว ท่านทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนตอนเด็กๆ เช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าจะนินทาเอาได้นะเจ้าคะ”
น้ำเสียงนั้นไพเราะไม่น้อย ทำให้หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งคันยุบยิบราวกับถูกหูกระต่ายกวาดไปทั่วก็ไม่ปาน
เขาไม่ได้เก็บมือกลับ แต่หยิกแก้มเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักมือกลับมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ต่อให้เจ้าโตขึ้นกว่านี้ เจ้าก็ยังเป็นน้องสาวของข้า ข้าใกล้ชิดสนิทสนมกับน้องสาว ใครจะกล้านินทา”
ในอดีตเสวี่ยหยวนจิ้งมักจะซ่อนความรู้สึกของตนต่อหน้าผู้อื่น และแสร้งทำท่าทีสุขุมสง่างามเป็นการหลอกตา ทว่าตอนนี้เขาโตขึ้นแล้ว ได้เห็นอะไรมามาก จึงแสดงความสุภาพอ่อนโยนออกมาบ่อยครั้ง
ทว่าเมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้น ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย และดวงตาก็หรี่ลง ทำให้คนมองรู้สึกถึงความดุดัน
ท่าทางเย็นชาและดุดันของเขาในอดีตนั้น เสวี่ยเจียเยว่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้เธอจึงไม่ได้ตกใจกลัว แต่เอื้อมมือไปกอดแขนเขาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านพี่ชอบปกป้องน้องสาวเช่นข้า ต่อไปท่านอยากจะหยิกแก้มข้าอย่างไรก็ได้ตามใจท่านเลย ดีหรือไม่เจ้าคะ หากหยิกข้าเช่นนี้บ่อยๆ จนเสียโฉม แล้วข้าขายไม่ออก ท่านในฐานะพี่ชายก็ต้องเลี้ยงดูข้าไปตลอดชีวิต”
เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหัวใจเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้เต้นอย่างรุนแรงและกังวลเป็นอย่างมาก
เขาเหลือบมองเด็กสาว เห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มราวดอกไม้ที่ผลิบาน ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หากเสวี่ยเจียเยว่ออกเรือนไปแล้ว ต่อไปอีกฝ่ายจะกอดแขนสามีของตนพร้อมรอยยิ้มน่ารักหรือไม่
หากถึงตอนนั้นเสวี่ยเจียเยว่จะกอดแขนเขาและยิ้มให้เช่นนี้หรือไม่…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเขาไม่อยากให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเรียกเขา “ท่านพี่”
เขารีบเก็บความรู้สึกประหลาดนี้กลับลงไปทันที และหันไปมองอีกฝ่าย “อือ เป็นอะไรไปหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเขา “เมื่อครู่นี้พี่ข่งให้ข้าทำงานส่งน้ำส่งผ้าเช็ดหน้าให้พวกท่าน ด้วยวิธีนี้ตราบใดที่พวกท่านมีการแข่งขัน ข้าไม่ต้องจ่ายเงินซื้อตั๋วก็เข้ามาดูได้ เรื่องดีๆ เช่นนี้เหตุใดท่านไม่ตอบตกลงเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงันทันที ความจริงแล้วใจของเขาไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่ส่งน้ำส่งผ้าเช็ดหน้าให้ใคร หากเด็กสาวทำให้เขาเพียงคนเดียวก็คงจะดี แต่เขารู้ดีว่าต้องซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้ ห้ามให้เสวี่ยเจียเยว่รู้เด็ดขาด จึงได้แต่พูดไปอีกทาง
“งานนี้มันไม่ได้สบายอย่างที่เจ้าคิดหรอก อีกอย่าง… เงินสำหรับซื้อตั๋วก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดสำหรับพวกเรา เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะหามาให้เจ้าเอง”
เขาเข้าเรียนในสำนักศึกษาโดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าเล่าเรียน ทั้งยังได้รับเงินสองตำลึงในทุกเดือน และเนื่องจากเขาสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่ง เมื่อเข้าเรียนแล้วยังได้อันดับหนึ่งทุกปี ทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองผิงหยาง หากใครที่เสียดายเงินก้อนโตในการเชิญคนมีชื่อเสียงมาเขียนคำอวยพรบนแผ่นป้ายให้ ก็จะหันมาหาเสวี่ยหยวนจิ้ง และจ่ายเงินเชิญเขาไปเขียนแทน แต่ชายหนุ่มไม่อยากรับงานเหล่านี้มากเกินไป เสวี่ยเจียเยว่เองก็ไม่อยากให้เขารับเช่นกัน เพราะยังต้องเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนาง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการตั้งใจอ่านตำรา ถ้าเขารับทำงานเหล่านี้ ก็ต้องคอยกังวลว่าถ้าอาจารย์รู้เรื่องนี้แล้วจะไม่ชอบใจ จนคิดว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหน เพราะผู้มีความรู้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกยึดมั่นในคุณธรรม
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเขาบอกว่าจะหาเงินมาซื้อตั๋วให้ เธอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เงินค่าตั๋วนี้ท่านไม่ต้องหาหรอกเจ้าค่ะ เงินสองตำลึงที่ท่านได้ทุกเดือนก็พอสำหรับการใช้ชีวิตของพวกเราแล้ว ตอนนี้พวกเรามีเงินเหลือกินเหลือใช้ ตั๋วไม่กี่ใบก็ไม่มีปัญหาอะไรเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดีจึงพยักหน้า “อือ ข้าเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก พวกเขาเดินไปข้างหน้าและพูดคุยกันไปด้วย แต่เมื่อเลี้ยวไปยังถนนอีกสาย ก็เห็นรถม้าสวยงามจอดอยู่หนึ่งคัน บนชายคาของรถม้าประดับไปด้วยสร้อยมุกที่ห้อยลงมา
สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ข้างรถม้า สายตาของนางมองไปรอบๆ ด้วยความเบื่อหน่าย และในร้านขายเครื่องประทินโฉมที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีสตรีที่มีสาวใช้ช่วยพยุงอีกหนึ่งนาง
ทันใดนั้นสตรีที่ยืนอยู่ข้างรถม้าก็มองเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง ดวงตาของนางเป็นประกายทันที ก่อนจะรีบสาวเท้าตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากมองพิจารณาเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว สตรีผู้นั้นก็เอ่ยถามอย่างมีความสุข “เจ้าคือเสวี่ยหยวนจิ้ง ผู้เรียนของสำนักศึกษาไท่ชูใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่มองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า นางอายุราวสิบสี่สิบห้า สวมเสื้อปี๋เจี่ยยาวสีแดงปักลายดอกฉาฮวา[1] สีทอง ใบหน้ากลมมน คิ้วสูง ดูแล้วงดงามจนไม่มีหญิงใดเปรียบ
เมื่อถูกสาวงามทักทายบนถนน…
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองท่าทีของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เธอพบว่าสีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉย แม้แต่รอยยิ้มสุภาพที่ควรจะได้รับยังไม่มี เขาเพียงพยักหน้าเบาๆ และเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใช่”
กระทั่งเอ่ยถามชื่อแซ่ของอีกฝ่ายก็ยังไม่มี
ทว่าสตรีผู้นั้นไม่ได้สนใจท่าทีเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้งแม้แต่น้อย นางยิ่งเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “สองปีก่อนข้าได้ยินคนเอ่ยถึงเจ้า บอกว่าเจ้าสอบได้อันดับหนึ่งของทั้งสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ กดอันดับพี่ชายของข้าได้ การแข่งขันจีจวีเมื่อครู่นี้ข้าเองก็เห็นแล้ว เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถเอาชนะพวกสำนักศึกษาซุยไถได้ ข้ากำลังคิดว่าจะไปตามหาเจ้า ข้าอยากทำความรู้จักกับเจ้า แต่หาจนทั่วก็ไม่พบ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบที่นี่ ช่างดีจริงๆ”
จากนั้นนางก็หันไปเรียกสตรีอีกคน “พี่รองมานี่เร็ว ดูสิ คนผู้นี้คือเสวี่ยหยวนจิ้งที่เมื่อครู่นี้พวกเราพูดถึงมาตลอดทาง”
สตรีที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านขายเครื่องประทินโฉมมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยท่าทางเขินอาย ก่อนหันไปตำหนิสตรีอีกคนเบาๆ “เจ้าพูดให้มันน้อยๆ หน่อย”
หากพูดเรื่องที่พวกนางสองพี่น้องคุยกันมาตลอดทางต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง จะไม่อับอายจนตายเลยหรือ
จากนั้นนางก็ทำความเคารพเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างอ่อนน้อมด้วยใบหน้าแดงเรื่อ และเอ่ยแนะนำตัว “ข้าน้อยตันอวี้เหอ นี่คือน้องสาวของข้าน้อย ตันอวี้ฉา ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคุณชายเสวี่ยมานาน วันนี้มีโอกาสได้พบ ช่างเป็นความโชคดีของพวกข้าน้อยจริงๆ”
[1] ดอกเคเมลเลีย