แปดสิบเจ็ด
พี่จิ้งโมโห
ทันทีที่สิ้นเสียงของเจี่ยจื้อเจ๋อ พวกเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น
เมื่อเจี่ยจื้อเจ๋อมองตามเสียง ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังแบมือออกอย่างช้าๆ และบนฝ่ามือนั้นมีเศษพู่กันที่แตกละเอียด
ก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งถือพู่กันเอาไว้ เมื่อครู่คงจะเป็นเสียงพู่กันที่ถูกมือเขาบดนั่นเอง
พู่กันด้ามนี้ทำมาจากไม้ไผ่ การจะทำให้แตกได้นั้นย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่จะบดให้แตกละเอียดเป็นผงเช่นนี้ถือว่ายากยิ่งนัก เกรงว่าแม้แต่บิดาของเขาที่เป็นแม่ทัพก็ยังทำไม่ได้ และถ้าสิ่งที่ถูกบีบเป็นร่างกายของเขา กระดูกทุกชิ้นคงแหลกละเอียดเป็นแน่…
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจี่ยจื้อเจ๋อก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งมองคนที่อยู่เบื้องหน้า ก็เห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เขาพลิกฝ่ามือให้เศษพู่กันที่แหลกละเอียดร่วงลงบนตำราที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็ดันตำราเล่มนั้นไปตรงหน้าเจี่ยจื้อเจ๋อ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่คิดอย่างไร”
แม้สีหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงนิ่งสงบ แต่เจี่ยจื้อเจ๋อรู้สึกว่าดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับซ่อนใบมีดแหลมคมเอาไว้ และกำลังจะแล่เนื้อเถือหนังเขาก็ไม่ปาน
เขารีบหดคอลงทันที และไม่กล้ามองเศษพู่กันที่อยู่เบื้องหน้าอีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นคือ… เขาไม่กล้าสบตาเสวี่ยหยวนจิ้ง
เจี่ยจื้อเจ๋อตกใจเมื่อเห็นท่าทางน่าเกรงขามของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่นี้
ข่งซิวผิงที่มองอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน เสวี่ยหยวนจิ้งมีรูปร่างผอมสูงและสุภาพ เขาจึงนึกว่าชายหนุ่มเป็นคนอ่อนแอ แต่คิดไม่ถึงว่ากำลังภายในจะล้ำลึกเช่นนี้ อีกอย่าง… ท่าทีที่มีต่อเจี่ยจื้อเจ๋อในตอนนี้ก็แข็งกร้าวดุดันเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นคนเย็นชา แต่สำหรับสหายร่วมห้องเรียนอย่างพวกเขาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ทว่าตอนที่เจี่ยจื้อเจ๋อเอ่ยว่าอยากเป็นน้องเขย ชั่วขณะนั้นแววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ปรากฏไอสังหารทันที
เกรงว่าหากชายหนุ่มไม่ควบคุมตัวเอง พู่กันด้ามนั้นคงไม่ถูกบีบจนแตกละเอียด แต่มือข้างนั้นจะทะลุเข้าไปในอกของเจี่ยจื้อเจ๋อแทน
แต่เจี่ยจื้อเจ๋อเพียงอยากเป็นน้องเขยของเขาเท่านั้น เหตุใดต้องโกรธขนาดนี้ด้วย การที่เจี่ยจื้อเจ๋อยอมแต่งงานกับเสวี่ยเจียเยว่ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นวาสนาของเสวี่ยเจียเยว่แล้ว หากเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ชอบคนเช่นเขา แล้วจะเลือกบุรุษแบบใดให้น้องสาวของตน
ข่งซิวผิงพยายามข่มความคิดที่สับสนของตัวเองลง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จื้อเจ๋อ คำพูดเช่นนี้เจ้าจะเอามาพูดเล่นๆ ได้อย่างไร ยังไม่รีบขอโทษหยวนจิ้งอีก ถ้าสหายร่วมห้องเรียนโกรธกันเพราะคำพูดล้อเล่นเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องดีนัก”
เจี่ยจื้อเจ๋อกำลังอยากได้ความช่วยเหลือ เมื่อข่งซิวผิงเอ่ยขึ้นเช่นนี้ เขาก็รีบพยักหน้าทันที “เมื่อครู่นี้ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา ความจริงแล้วข้าไม่มีความคิดเป็นอื่น เพียงอยากล้อเจ้าเล่นเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจริงจังขนาดนี้ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าล้อเล่นกับเจ้าแบบนี้แล้ว”
เขากลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่พอใจ จนบีบเขาให้แหลกละเอียดเหมือนพู่กันด้ามนั้น หากเป็นเช่นนั้นคงเจ็บปวดมาก ดังนั้นคำพูดและสีหน้าของเขาจึงจริงจังไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยคำใด ดวงตาดำขลับจับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง เจี่ยจื้อเจ๋อรู้สึกว่าตนเป็นเหมือนกระต่ายที่ถูกเหยี่ยวจับได้ เรียกได้ว่าตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างเลยทีเดียว เขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่น้อย ปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งจ้องมองเช่นนั้น สุดท้ายขาของเขาก็สั่นเทาโดยไม่รู้ตัว
ครู่หนึ่งเสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ต่อไปอย่าได้พูดล้อเล่นเช่นนี้อีก”
เรื่องนี้เขาจะปล่อยผ่านไปก่อน…
เมื่อเจี่ยจื้อเจ๋อได้ยินเช่นนั้น ก็ปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้ในอกออกมา และรู้สึกราวกับร่างของเขาเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำก็ไม่ปาน ด้านในเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อลมพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาก็หนาวจนร่างกายสั่นเทิ้ม
โชคดีที่ยามนี้อาจารย์ถือตำราเดินเข้ามาในห้องเรียน เจี่ยจื้อเจ๋อจึงรีบหันกลับมา และไม่กล้าหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งอีก
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เจี่ยจื้อเจ๋อรอจนกระทั่งเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกไปจากประตูสำนักศึกษาแล้ว เขาจึงกล้าเดินออกไป
เขาเห็นข่งซิวผิงเดินอยู่เบื้องหน้าก็เดินไปเรียก “สหายข่ง” แล้วเอื้อมมือไปจับไหล่อีกฝ่ายพลางเอ่ยต่อ “วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเจ้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ข้าอาจจะตกใจกลัวเสวี่ยหยวนจิ้งจนเสียสติไปเลยก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นชื่อเสียงของข้าคงย่อยยับแน่ ไปกันเถอะ วันนี้ข้าจะเลี้ยงข้าวเจ้า”
ทว่าข่งซิวผิงปฏิเสธ “เมื่อเช้าก่อนที่ข้าจะออกมาจากเรือน ท่านแม่กำชับข้าเป็นพิเศษว่าให้รีบกลับ วันนี้เป็นวันเกิดของท่านพ่อ เรื่องกินข้าว ข้ากับเจ้าล้วนเป็นสหายกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
เมื่อเจี่ยจื้อเจ๋อได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อ “ที่แท้ก็เป็นวันเกิดของพ่อเจ้านี่เอง เช่นนั้นเจ้าก็ควรกลับไปเคารพท่าน ไว้วันหน้าข้าจะเชิญเจ้าไปกินข้าวเพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าก็แล้วกัน”
จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้นอีก “ไม่กี่วันก่อนข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดว่าพ่อของเจ้ามักจะถูกรังแกบ่อยๆ ตอนที่อยู่ในที่ว่าการ พวกนั้นชอบตะโกนสั่งให้เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไปพูดกับท่านพ่อของข้าให้ดูแลพ่อของเจ้า ด้วยวิธีนี้ก็จะไม่มีใครกล้ามารังแกพ่อของเจ้าอีก”
ข่งซิวผิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าที่นิ่งสงบมาโดยตลอดก็เริ่มเปลี่ยนไป หากมองให้ดีจะเห็นความกระอักกระอ่วน ไม่ยินยอม และไม่พอใจอยู่ในแววตาของเขา แต่ไม่นานเขาก็ข่มกลั้นอารมณ์ทั้งหมดลงได้ แล้วคำนับเจี่ยจื้อเจ๋อ
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณพ่อของเจ้าแทนท่านพ่อของข้าด้วย”
เจี่ยจื้อเจ๋อตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เมื่อครู่เจ้าก็บอกแล้ว ข้ากับเจ้าล้วนเป็นสหายกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เหตุใดเจ้าต้องเกรงใจข้าด้วยเล่า เอาละ เจ้ากลับเถอะ ข้าเองก็จะกลับแล้วเช่นกัน เฮ้อ… เมื่อเช้าเสวี่ยหยวนจิ้งทำข้าตกใจจนเหงื่อตก ตอนนี้ข้ายังรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ต้องรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงจะรู้สึกดีขึ้น ไม่เช่นนั้นข้าอาจเป็นหวัดเอาได้”
เขากล่าวจบก็บอกลาข่งซิวผิง และเดินไปตามทางที่จะกลับเรือนของตน
ข่งซิวผิงมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มเย้ยหยันตัวเอง แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้ามั่นคงหนักแน่น
ตอนที่ออกมาจากสำนักศึกษา เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เห็นเสวี่ยเจียเยว่ เขาจึงสบายใจไม่น้อย
เขามักกังวลตลอดเวลาว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่เชื่อฟัง แล้วมารอรับเขาเลิกเรียนอีก หากอีกฝ่ายมาจริง วันนี้จะมีใครมาทักทายอีก เมื่อวานก็เป็นเนี่ยหงเทาคนหนึ่งแล้ว
แม้ว่าคำพูดของเจี่ยจื้อเจ๋อจะจริงใจ แต่เขามองออกว่าอีกฝ่ายกำลังหยั่งเชิง การแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องได้รับการยินยอมจากบิดามารดาก่อน จะตัดสินใจเองได้อย่างไร พอได้ยินตอนนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธไม่น้อย
เขารู้สึกว่าเจี่ยจื้อเจ๋อไม่ให้เกียรติเสวี่ยเจียเยว่ น้องสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเขา เขาเป็นพี่ชายที่มีหน้าที่ปกป้องดูแล จะปล่อยให้คนอื่นมาพูดหยั่งเชิงตามอำเภอใจได้อย่างไร เจี่ยจื้อเจ๋อมีสิทธิ์อะไรมาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ แม้ว่าบิดาของอีกฝ่ายจะเป็นแม่ทัพ แต่คุณสมบัตินั้นก็ยังไม่ดีพอ และแม้ว่าใบหน้าของเจี่ยจื้อเจ๋อจะไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ข้อนี้เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนเสวี่ยเจียเยว่ได้
เมื่อคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเรียกเจี่ยจื้อเจ๋อว่าสามี และกอดแขนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มสดใส ทำตัวออดอ้อนต่อหน้าเขา เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกว่ามีไฟลุกโชนขึ้นในอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจยอมรับได้
เขาไม่มีทางยอมเห็นด้วยกับเรื่องนี้เด็ดขาด ต่อไปเขาจะต้องคอยกันเจี่ยจื้อเจ๋อมิให้พบหน้าเสวี่ยเจียเยว่อีก
เสวี่ยหยวนจิ้งเร่งรีบเดินกลับเรือนพร้อมกับคิดไปตลอดทาง
เมื่อเดินมาถึงประตูลานเรือน เขาก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังนั่งพูดคุยกับป้าเฝิงอยู่ในลาน
ช่วงนี้ที่ร้านตัดชุดไม่ค่อยมีงานอะไรให้ทำ ป้าเฝิงจึงอยู่ว่างๆ ที่เรือน นางรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี โชคดีที่เสวี่ยเจียเยว่มาพูดคุยกับนาง ทำให้นางลืมเรื่องที่ไม่สบายใจไปได้ชั่วคราว
พอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมา ป้าเฝิงก็ทักทายเขา “คุณชายเสวี่ยกลับมาแล้วหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดเดินและทักทายป้าเฝิง จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็เดินมาหาเขาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าเบาๆ และเอ่ยตอบ เมื่อเขามองหน้าอีกฝ่าย ก็เห็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนการพยายามฝืนออกมา ตอนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่แขนขวายังขยับได้อย่างอิสระ คงไม่เจ็บเหมือนเมื่อคืนแล้ว เขาถึงได้วางใจ
เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปบอกลาป้าเฝิง จากนั้นเธอก็เดินกลับเรือนฝั่งตะวันออก
เมื่อเข้ามาในเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งก็วางถุงผ้าลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม “ไหล่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย”
แม้ว่ายานวดแก้ฟกช้ำที่ซื้อมาจากร้านขายยาจะได้ผล แต่ก็ไม่ใช่ยาวิเศษ ตอนนี้จะหายดีได้อย่างไร ย่อมต้องมีอาการเจ็บอยู่บ้าง
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งดู แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ หากเธอปฏิเสธ เขาอาจคิดว่าเธอทำตัวห่างเหินอีก ในเมื่อเธอปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ เหตุใดจะให้ดูไม่ได้เล่า อีกอย่าง… ก็แค่ไหล่เท่านั้น ไม่ใช่หน้าอกเสียหน่อย เธอจะอายทำไม
เธอคิดแล้วพยักหน้าด้วยความเต็มใจ “เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นท่านพี่ดูให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ ในใจจึงคิดวิธีเกลี้ยกล่อมมากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้ ทำให้เขาถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
ไม่นานเขาก็ได้สติกลับมา ก่อนจะหันไปปิดประตูเรือน เมื่อหันกลับมาก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ กำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาสดใสดุจสายน้ำ ราวกับรอให้เขาไปดูไหล่ให้อย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหัวใจของเขาถึงได้เต้นรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ด้านใน และฝ่ามือก็มีเหงื่อผุดซึมออกมา
ครู่หนึ่งเขาถึงได้ก้าวเท้าไปหาเสวี่ยเจียเยว่ พออยู่ใกล้กันเช่นนี้ เขายิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงมากกว่าเดิม สองมือก็เริ่มสั่นเทา
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงพยายามรักษาท่าทางให้นิ่งสงบเหมือนในยามปกติ แล้วเอื้อมมือไปแตะชุดของเสวี่ยเจียเยว่