แปดสิบเก้า
การแสดงคู่ของพี่ชายน้องสาว
เสวี่ยเจียเยว่มองดวงตาดำขลับของเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ไม่สามารถมองเห็นความรู้สึกในแววตานั้นได้เลย เธอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น
“เจ้าค่ะ ข้าคิดดีแล้ว”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ “ในเมื่อคิดดีแล้ว เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าแล้วกัน เงินในเรือนเจ้าเอาไปใช้ได้เลย อย่าได้กังวลใดๆ ถึงอย่างไรข้าก็ได้เงินจากสำนักศึกษาสองตำลึงทุกเดือนอยู่แล้ว อีกอย่าง… ข้าออกไปหาเงินได้ เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อมีข้าอยู่ เจ้าจะไม่ลำบากแน่นอน”
ในเมื่อเรื่องนี้เสวี่ยเจียเยว่คิดดีแล้ว หากเขาขัดขวางเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่มีความสุข จึงคิดว่าควรปล่อยให้เจ้าตัวทำในสิ่งที่อยากทำดีกว่า เขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่จะทำนั้นจะประสบผลสำเร็จ แล้วเจ้าตัวจะมีความสุขเมื่อนำเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในเรือนไปใช้ แต่คิดเพียงว่าถ้ากิจการนี้ล้มเหลว และเสวี่ยเจียเยว่ตระหนักถึงความยากลำบาก ต่อไปก็คงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะเห็นด้วยอย่างง่ายดายเช่นนี้ เธอคิดว่าจะต้องทะเลาะกับเขาอีกสักพักเสียอีก เมื่อเธอได้ยินดังนั้นก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ “ท่านพี่ ท่าน… ท่านเห็นด้วยหรือเจ้าคะ”
“ตอนนี้เจ้าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง เหตุใดข้าจะไม่เห็นด้วยเล่า” แม้จะเห็นด้วยกับความคิดของเสวี่ยเจียเยว่ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังคงไม่สบายใจ รู้สึกว่าตอนนี้เขาไม่สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้แล้ว หากเสวี่ยเจียเยว่โตขึ้นกว่านี้ ความคิดก็จะโตขึ้นด้วย และเขาก็จะยิ่งควบคุมอีกฝ่ายได้ยากกว่าเดิม เพียงแค่คิดหัวใจของเขาก็กระวนกระวายแล้ว
เขามักรู้สึกว่าเสวี่ยเจียเยว่จะบินจากไปไม่ช้าก็เร็ว…
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินน้ำเสียงกลัดกลุ้มของชายหนุ่ม เธอก็ยิ้มแย้มเดินไปกอดแขนเขาทันที และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ต่อให้ข้าโตกว่านี้ หรือจะมีความคิดเป็นของตัวเองมากกว่านี้ ข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านพี่ตลอดไปเจ้าค่ะ”
ทุกครั้งที่เสวี่ยเจียเยว่ทำผิด หรืออยากจะขอร้องเขา ก็มักจะเข้ามากอดแขนเช่นนี้เสมอ เอ่ยเรียกท่านพี่ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จากนั้นพูดคำที่อ่อนโยนสองสามประโยค ไม่ว่าในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งจะโมโหเพียงใด ก็จะหายไปในชั่วพริบตา
เขารู้สึกว่าตนถูกเสวี่ยเจียเยว่ควบคุมได้อยู่หมัดแล้ว แต่แม้ว่าหัวใจของเขาจะรู้สึกดีเพียงใด สีหน้าก็ยังคงเคร่งขรึม “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
น้องสาวตลอดไป…
ตราบใดที่เสวี่ยเจียเยว่อยู่ข้างกายเขาตลอดไป เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
หลังจากได้รับการยินยอมจากเสวี่ยหยวนจิ้ง เสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่เธอวางเอาไว้ ก้าวแรกของงานนี้คือต้องซื้อร้าน
เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วว่า ตอนนี้เงินในมือเธอมีอยู่อย่างจำกัด จึงไม่สามารถเช่าร้านในบริเวณที่เจริญรุ่งเรืองได้ แต่ก็ไม่อยากเช่าในที่ที่ห่างไกลความเจริญมากเกินไป คิดเรื่องร้านแล้วก็ยังต้องคิดเรื่องลูกจ้างในร้าน ถึงอย่างไรชุดคนก็ต้องให้คนทำ หากเป็นคนที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้จะดีกว่าเพราะจะเริ่มงานได้ทันที
ประการแรก… ป้าเฝิงคงไม่ได้ไปทำงานที่ร้านตัดชุดแล้ว อีกทั้งเมื่อได้ฟังที่นางกล่าวมา เจ้าของร้านรีบขายสินค้าในร้านออกไป น่าจะถือโอกาสนี้ขอลดราคาได้ ประการที่สอง… เธอเคยไปช่วยงานในร้านนั้น จึงจำช่างตัดเสื้อและคนเย็บปักได้ แม้ว่าลูกจ้างทั้งหมดในร้านจะต้องออกไปเพราะในร้านไม่มีงานอะไรให้ทำ แต่ถ้าขอให้ป้าเฝิงไปพูดสักหน่อย พวกนางจะต้องยอมกลับมาทำแน่นอน และปัญหาของลูกจ้างในร้านก็จะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าร่างที่เธอครอบครองนี้ยังเด็กนัก หากไปพูดคุยเรื่องซื้อร้านนั้น เจ้าของร้านคงไม่ยอมคุยกับเธอแน่ หรือไม่อาจจะแกล้งขึ้นราคา เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ถือโอกาสวันที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ไปเรียนและพักผ่อนอยู่ที่เรือน ขอให้เขาไปหาเจ้าของร้านนั้นกับเธอ และให้เขาเป็นคนเจรจาเรื่องซื้อร้านกับเจ้าของร้าน
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดจะให้เสวี่ยเจียเยว่นำเงินไปทำกิจการเล่นๆ อยู่แล้ว จึงไม่ได้ปฏิเสธอันใด จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากเรือนไป
เสวี่ยเจียเยว่กังวลว่าการขอให้ชายหนุ่มเจรจาซื้อร้านให้นั้นจะต้องยุ่งยากแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกลงง่ายดายเช่นนี้
แต่แม้เจ้าของร้านอยากจะขายให้เจ้าของใหม่ กลับน่าเสียดายเพราะร้านนี้ไม่นับว่าอยู่ในบริเวณที่เจริญรุ่งเรืองนัก อีกทั้งเสวี่ยเจียเยว่ก็เพิ่งรู้ว่าเจ้าของร้านยังเช่าคนอื่นอยู่ ว่ากันว่าครอบครัวของผู้ให้เช่าอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่มีห้องให้เช่าอยู่ที่นี่ ซึ่งมีลักษณะเหมือนตึกแถวในภพที่เสวี่ยเจียเยว่จากมา โดยมีทั้งหมดเจ็ดห้อง ในตอนนั้นเจ้าของร้านเช่าเพียงห้องเดียว และจ่ายเงินจำนวนหนึ่งไปแล้ว หากอยากเปลี่ยนมือก็ต้องปล่อยให้คนอื่นเช่า แต่ใครจะมารับช่วงต่อ
เจ้าของร้านคิดว่าเป็นเรื่องยาก แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่จะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเองเช่นนี้
นางรู้จักเสวี่ยเจียเยว่ ตอนแรกคิดเพียงว่าเด็กสาวมาที่ร้านเพื่อช่วยงาน จึงตอบตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่มีงานอะไรให้ทำแล้ว ร้านนี้กำลังจะปิดตัวลง ต่อไปเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องมาอีก แต่เด็กสาวกลับบอกว่าพี่ชายของตนต้องการเช่าร้านเพื่อทำกิจการ เพราะบังเอิญได้ยินป้าเฝิงพูดว่าเจ้าของร้านจะปิดกิจการ จึงอยากจะเช่าต่อ เนื่องจากซาบซึ้งที่นางอนุญาตให้น้องสาวเข้ามาช่วยงาน จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมเสวี่ยหยวนจิ้ง หากเขาพอใจจะได้เช่าร้านนี้ต่อ
พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี รู้ใจกันและกันเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังแสดงบทบาทนางเอก เขาก็ต้องแสดงบทตัวร้าย
เขาเดินดูรอบๆ ร้านพลางส่ายหน้า และพูดว่าตรงนี้ไม่ดี ตรงนั้นไม่ดี เช่าต่อไม่ได้ ไปดูที่อื่นกันดีกว่า ขณะที่กล่าวเขาก็จูงมือเสวี่ยเจียเยว่ทำท่าจะเดินออกไป แต่อีกฝ่ายกลับดึงแขนเขาเอาไว้ พร้อมกับพูดถึงความดีของเจ้าของร้าน ย้ำว่าสองปีมานี้เจ้าของร้านได้ช่วยเหลืออะไรตนไว้บ้างด้วยน้ำเสียงออดอ้อน และขอให้เขาดูอีกครั้ง
สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนไม่เต็มใจ เขาเดินดูทั่วร้านอีกครั้ง โดยมีเจ้าของร้านยืนมองด้วยความหวาดกลัว… กลัวว่าเขาจะไม่ถูกใจตรงไหนแล้วเดินออกไป เมื่อถึงตอนนั้นก็คงไม่มีใครสนใจร้านนี้อีกแล้ว
ทุกวันนี้ในร้านไม่มีงานให้ทำ หากร้านนี้ยังอยู่ในมือนางก็จะเสียรายได้ไปอีกหนึ่งวัน ตอนนี้นางจึงอยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเช่าร้านต่อ
แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมีทีท่าว่าไม่ชอบร้านนี้ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็คอยโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในที่สุดเขาก็ยอมใจอ่อน จึงเอ่ยถามเจ้าของร้านว่าต้องการเงินเท่าไร
เจ้าของร้านได้ยินเขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ สายตาก็ทอดมองออกไปด้านนอกตลอดเวลา และสีหน้าก็ดูเบื่อหน่ายมาก จึงคิดว่าเขาคงไม่อยากเช่าร้านนี้
ทว่าตอนนี้นางอยากจะรีบปล่อยให้คนเช่าเร็วๆ จึงกัดฟันบอก “คุณชาย น้องสาวท่านเคยทำงานที่ร้านของข้า ข้าเองก็เห็นนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ในเมื่อท่านเป็นพี่ชายของนาง ข้าก็จะไม่โกหกท่าน ตอนแรกข้าเช่าร้านนี้เพราะเจ้าของอยู่ที่เมืองหลวง จ่ายเงินล่วงหน้าสามปี ข้าเพิ่งจ่ายค่าเช่าต่ออีกสามปีเมื่อต้นปีที่แล้ว ทั้งหมดก็สามสิบหกตำลึง ถ้าคำนวณแล้วจะตกเดือนละหนึ่งตำลึง หากท่านอยากจะเช่าร้านนี้ต่อจริงๆ ข้าจะให้เงินค่าเช่าอีกครึ่งเดือนแก่ท่าน”
ค่าเช่าครึ่งเดือนก็แค่ห้าอีแปะ เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางพอใจแน่ ในที่สุดเธอก็ขยิบตาให้เสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วทั้งสองคนก็เล่นบทนางเอกและตัวร้ายเช่นเดิม เพื่อกดดันเจ้าของร้านให้ลดค่าเช่ามากกว่านี้
เมื่อคำนวณดูแล้วค่าเช่าประมาณสิบหกตำลึง รวมของตกแต่งในร้าน และผ้าบางส่วนในห้องเก็บของ สุดท้ายราคาก็ต้องลดลงมา เสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่จึงเสนอราคายี่สิบตำลึงให้เจ้าของร้าน
หลังจากทั้งสองฝ่ายตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เจ้าของร้านก็มอบกุญแจให้ ถือว่าการทำสัญญาเช่าเสร็จสมบูรณ์
เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้ ตอนนี้เธอมีความสุขมาก ระหว่างเดินกลับเรือนจึงตั้งใจซื้อเป็ดหมักเกลือครึ่งตัว เจียวไป๋[1] สองต้น และเนื้อครึ่งชั่ง โดยบอกเสวี่ยหยวนจิ้งว่าจะทำผัดเจียวไป๋ใส่เนื้อหมู
เสวี่ยหยวนจิ้งมองคนร่างเล็กพูดคุยอย่างมีความสุข และรู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปช่างคุ้มค่ากับการเอามาให้เสวี่ยเจียเยว่ได้เล่นสนุก
เมื่อพวกเขากินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็อ่านตำราในห้องของตน ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ออกไปหาป้าเฝิงและบอกว่าเธอเช่าร้านตัดชุดต่อแล้ว ตอนนี้ยังขาดลูกมือ อยากให้นางรวมทั้งคนอื่นๆ กลับไปทำงานที่ร้าน และต้องรอให้ร้านเปิดไปสักพักก่อนจึงจะจ่ายเงินค่าจ้างของงานที่ทำมาก่อนหน้านี้ได้ หากกิจการไปได้ดี เธอจะเพิ่มเงินค่าจ้างให้ทุกคนแน่นอน
ความจริงแล้วเงินค่าจ้างที่เจ้าของร้านคนเก่าจ่ายให้นั้นน้อยเกินไป หากเธอไม่เพิ่มค่าจ้างขึ้น เกรงว่าจะรักษาลูกจ้างไว้ไม่ได้
ป้าเฝิงตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น จนมือที่ถือกรรไกรไว้สั่นเทา ก่อนที่กรรไกรนั้นจะหล่นลงพื้นเกิดเสียงดัง
“เจ้าต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ เจ้าเพิ่งอายุเท่าไร ไปเช่าร้านนั้นมาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าข้าดูหมิ่นเจ้านะ แต่เถ้าแก่เนี้ยเปิดร้านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้มีแต่ขาดทุน เจ้ายังไปเช่าร้านนั้นต่อจากนางอีกหรือ แล้วยังทำเป็นร้านตัดชุดอยู่หรือไม่ เป็นเพราะเจ้าเห็นข้ากลุ้มใจกับเรื่องนี้ ก็เลยมาล้อข้าเล่นใช่หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มหวาน จากนั้นเธอก็นำหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรออกมาให้ป้าเฝิงดู
แม้ว่าป้าเฝิงจะมีความรู้ไม่มากนัก แต่ไม่ว่าใครได้เห็นสิ่งนี้ก็เข้าใจได้ทันที ดังนั้นดวงตาของนางจึงเบิกกว้างเพราะความตกใจ สุดท้ายก็ยอมตกลงกลับไปทำงานที่ร้าน เพราะการทำเช่นนี้ย่อมดีกว่านั่งชมทิวทัศน์ไปวันๆ
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องลูกจ้างแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มคิดเรื่องการตกแต่งร้าน แน่นอนว่าต้องตั้งชื่อร้านก่อน ส่วนแสงสว่างด้านในยังไม่เพียงพอ เครื่องเรือนก็ไม่ดี จำเป็นต้องปรับปรุงใหม่
สิ่งสำคัญที่สุด… เธอต้องคำนึงถึงเรื่องการหาเงิน และวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ข้อดีของตัวเอง
เสวี่ยเจียเยว่คิดเรื่องนี้ก่อนนอน วันรุ่งขึ้นหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปหาป้าหยางที่เรือนด้านหน้า
[1] หน่อไม้น้ำ