ถึงอย่างไรจักรพรรดิเซี่ยก็ยังดีกว่าคนเลว ๆ อย่างอวิ๋นฮวาผู้นั้นเยอะ อย่างน้อยจักรพรรดิเซี่ยก็ไม่ใช่ศัตรูแล้วก็ไม่ใช่คนที่น่าขยะแขยงเช่นเขา
ตลอดการเดินทางมู่เฉียนซีได้เจอกับอุปสรรคมากมาย แต่นางก็สามารถจัดการกับอุปสรรคเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจักรพรรดิเซี่ยจึงทำตัวเงียบ ๆ เสมือนเป็นอากาศไป
เบื้องหน้าของนางปรากฏหมอกหนาสีฟ้าอ่อนอยู่กลุ่มหนึ่ง
มู่เฉียนซีพึมพำกับตัวเองว่า “ป่าหนานอู้ อู้ที่แปลว่าหมอก ที่แท้ที่นี่ก็มีหมอกประหลาดเช่นนี้นี่เอง”
หมอกสีฟ้าอ่อนนี้ไม่ได้มีพิษแต่อย่างใด แต่มันกลับเต็มไปด้วยพลังวิญญาณต่างหาก
ร่างชุดขาวปรากฏขึ้นด้านหลังของมู่เฉียนซีโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง จักรพรรดิเซี่ยกล่าวขึ้นว่า “หมอกสีฟ้าอ่อนนั้นไม่ได้มีอยู่ทั่วทั้งป่าหนานอู้ มีเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเจดีย์เทพหนานอู้เท่านั้นถึงจะมีหมอกสีฟ้าอ่อนนี้ปกคลุมอยู่”
“พระเจ้า ในที่สุดเราก็เดินทางมาใกล้ถึงอาณาเขตสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทพหนานอู้แล้ว”
เดิมทีคิดว่าตัวเองจะเสียเวลาไปกับกลุ่มคนชุดขาวเหล่านั้นนานขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้สีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความดีใจขึ้นแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ”
ดูเหมือนว่าแผนที่ที่ชิวหลิงให้นางมานั้นไม่เลวเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นนางก็ใกล้เข้าอาณาเขตของเผ่าเทพหนานอู้แล้วหน่ะสิ
หากอวิ๋นฮวาผู้นั้นไปถึงก่อนนาง แล้วไปเอาผลกำเนิดเก้าวิญญาณได้ ถึงครานั้นนางก็คงจะลงมือเปิดศึกสังหารแล้ว
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีก็เร่งฝีเท้าในการเดินทางเร็วขึ้น ส่วนคนข้างหลังก็ตามนางไปด้วย
หมอกด้านหน้านั้นทำให้ป่าผืนป่าทั้งหมดกลายเป็นเขาวงกตก็มิปาน ทำให้มู่เฉียนซีไม่สามารถหาตำแหน่งทิศทางได้เลย
ถึงแม้ว่าชิวหลิงจะบอกทางลัดที่ปลอดภัยให้กับนาง แต่การที่จะไปถึงเผ่าเทพหนานอู้จริง ๆ นั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวของมู่เฉียนซีเอง
หมอกอันหนาทึบนั้นทำให้มู่เฉียนซีไม่อาจระบุตำแหน่งทิศทางที่ชัดเจนตามแผนที่ได้ เส้นทางต่อจากนี้นางคงต้องพึ่งจิตวิญญาณและการคาดเดาของนางเองแล้ว
ทว่า หมอกอันหนาทึบในบริเวณรอบ ๆ นั้นทำให้พลังจิตของนางอ่อนแอลง และนับว่ายังโชคดีที่พลังจิตของนางนั้นแข็งแกร่งมาก ต่อให้จิตอ่อนแอลง แต่ก็ยังพอใช้การได้
เมื่อนางได้เข้าไปในอาณาเขตที่กลุ่มหมอกปกคลุมนั้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางก็ไม่สามารถใช้การได้เลย
“โฮ่ก! ”
ทว่า สัตว์วิญญาณในป่าหนานอู้นี้คุ้นชินกับหมอกอันหนาทึบนี้แล้ว ดังนั้นหมอกเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดใดกับสัตว์วิญญาณนี้เลย
“ปัง! ” กระบี่มังกรเพลิงถูกชักออกมาจากปลอก มู่เฉียนซีรีบโต้กลับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากประสาทสัมผัสของนางผิดพลาด ดังนั้นเลือดสีแดงสดก็ไหลหยดออกจากบริเวณเอวของนาง
ต่อก ต่อก!
กลิ่นเลือดสด ๆ ของมนุษย์นั้นช่างหอมหวน และยิ่งกระตุ้นสัตว์วิญญาณตัวนั้นให้ดุร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนเพิ่งจะหยุดเลือดตัวเองไว้ได้ แต่ทันใดนั้นสัตว์วิญญาณตัวนั้นก็พุ่งเข้าหานางอีกครั้ง
ปัง ปัง ปัง!
ครั้งนี้มู่เฉียนซีจับการโจมตีของมันเอาไว้ได้อย่างว่องไว จากนั้นนางรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว และร่างของนางก็กลิ้งไปหลายสิบเมตร
เสื้อผ้าของนางแปดเปื้อนไปด้วยดินโคลนและใบไม้แห้งเป็นจำนวนมาก ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่อาจรับรู้ได้ ตอนนี้ทางทำได้เพียงแค่ใช้จิตวิญญาณเท่านั้น สำหรับนางแล้วมันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ณ ที่แห่งนี้แน่นอนว่าไม่ได้มีสัตว์วิญญาณเพียงแค่ตัวสองตัว ต่อไปอาจจะเจอมากกว่านี้อีก นางจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นนางต้องตายอย่างน่าสังเวชแน่ ๆ
“มังกรเพลิงพิฆาต! ” เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่ก็ยังไม่โดนเป้าหมายอยู่ดี หากเป็นสถานที่ธรรมดาทั่วไปแล้ว ศัตรูไม่มีทางหลบหลีกกระบวนท่านี้ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่อาจใช้ได้ ดังนั้นจึงเกิดความผิดพลาดขึ้น
สัตว์วิญญาณรู้จุดอ่อนของมู่เฉียนซี ดังนั้นมันจึงเดินวนรอบ ๆ มู่เฉียนซี จากนั้นก็โจมตีมู่เฉียนซีอย่างรุนแรง
“ปัง! ”
มู่เฉียนซีหลบการโจมตีนี้ได้อย่างน่าระทึก และในขณะที่นางหลบนั้นนางก็ตอบโต้กลับด้วยกระบวนท่าอันน่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
“ทักษะตี้ซวน! ”
ตอนนี้นางใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ รอให้สัตว์วิญญาณเข้ามาใกล้และโจมตี เช่นนี้นางถึงจะระบุตำแหน่งของสัตว์วิญญาณได้
“ตูม! ” และครั้งนี้นางก็โจมตีโดนเป้าหมายแล้ว
สัตว์วิญญาณตัวนั้นกระเด็นลอยออกไป แต่มู่เฉียนซียังคงลงมือโจมตีต่อ เข็มยาเข็มหนึ่งปักเข้าที่หูของมัน
“ปัง! ” ร่างของสัตว์วิญญาณตัวนี้ล้มกระแทกพื้นอย่างสมบูรณ์ และมันก็ไม่คุกคามมู่เฉียนซีอีกต่อไป แต่ก็จัดการได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น เส้นทางข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล……
ในขณะที่มู่เฉียนซีเข้ามายังป่าหนานอู้นั้น ทางด้านของอวิ๋นฮวาก็ได้เข้ามาในเขตป่าหนานอู้แล้วเช่นกัน
ตอนนี้ความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินของมู่เฉียนซีนั้นยังคงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับป่าหนานอู้ได้ แต่พลังจิตของนางในตอนนี้ว่องไวและเฉียบแหลมมาก
นางพรวดออกมาจากกลุ่มหมอกอันหนาทึบนั้น และนางไม่ได้เข้ามาในสถานที่อัศจรรย์แต่อย่างใด แต่กลับเป็นสถานที่ที่รกร้างเป็นซากปรักหักพังสถานที่หนึ่ง
ณ สถานที่แห่งนี้ล้วนแต่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านดิน มันถูกเผาทำลายจนหมดสิ้น
มู่เฉียนซีพึมพำกับตัวเองว่า “นี่ นี่คงจะไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทพหนานอู้หรอกกระมัง! ”
ทันใดนั้นร่างขาวราวหิมะก็โผล่มาจากกลุ่มหมอกด้านหลังของมู่เฉียนซี จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ใจกลางหมอกสีฟ้าก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทพหนานอู้ แต่ดูตามสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ที่นี่ต้องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทพหนานอู้ น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองเลย แถมยังถูกทำลายไปจนหมดสิ้นอีก”
ที่นี่มันว่างเปล่าไปหมด นอกจากเศษเถ้าถ่านดินแล้วก็ไม่มีอะไรเลย ยิ่งผลกำเนิดเก้าวิญญาณกับเจดีย์เทพแล้วล่ะก็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ชิวหลิงโกหกนางงั้นเหรอ แต่ชิวหลิงก็ได้บอกเส้นทางลัดและความลับกับนาง คงไม่ได้จงใจจะโกหกนางหรอกกระมัง
“เจ้ามาเผ่าเทพหนานอู้ทำไมเหรอ? ”
“เป้าหมายหลักในการมาที่นี่ของข้า ก็เพื่อจะมาหาผลกำเนิดเก้าวิญญาณ” สำหรับการตามหาเจดีย์เทพเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณนั้น เป็นเป้าหมายรองของนาง
“ผลกำเนิดเก้าวิญญาณ เป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทพหนานอู้”
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าก็รู้มากเหมือนกันนะ”
“ตอนนี้เผ่าเทพหนานอู้ถูกทำลายล้างไปสิ้นแล้ว เจดีย์เทพก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน บางทีทางด้านของอวิ๋นฮวาอาจจะมีเบาะแสอยู่บ้าง หากเจ้าไม่รีบก็รอพวกนั้นก่อนสิ พวกนั้นคงไม่ตายระหว่างทางง่าย ๆ หรอก” จักรพรรดิเซี่ยกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความฉงนสงสัย “อวิ๋นฮวารู้งั้นเหรอ? สำนักอวิ๋นเยียนเป็นคนทำลายล้างเผ่าเทพหนานอู้อย่างนั้นเหรอ? ”
จักรพรรดิเซี่ยกล่าว “สำนักอวิ๋นเยียนเป็นคนช่วยราชวงศ์หนานเถิงทำลายล้างเผ่าเทพหนานอู้ แต่จะว่าไปก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าจะเดินดูบริเวณรอบ ๆ สักหน่อย หากไม่เจออะไรจริง ๆ ก็คงต้องรอพวกนั้น”
มู่เฉียนซีเดินไปดูบริเวณรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้ พื้นที่ทั้งหมดรกร้างและวังเวงอย่างไร้ที่เปรียบ เผ่าพันธุ์อันลึกลับนี้ได้ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของป่านหนานอู้ และจุดจบสุดท้ายช่างน่าเศร้าและน่าสังเวชเป็นที่สุด
แม้แต่เงาของผลกำเนิดเก้าวิญญาณก็ไร้วี่แววที่จะพบ ดังนั้นมู่เฉียนซีจำต้องนั่งรอให้โชคลาภลอยมาหาเองแล้วหล่ะ
ไม่นานนัก ก็มีคนเข้ามาใกล้สถานที่แห่งนี้!
มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งเล็กน้อย จักรพรรดิเซี่ยได้บดบังกลิ่นอายของตัวเอง และร่างของนางก็อันตรธานหายไป
เมื่อเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ร่างของอวิ๋นฮวาและพวกก็พรวดออกมาทันที สภาพของพวกเขาตอนนี้น่าสังเวชยิ่งกว่ามู่เฉียนซีอีก กองกำลังคนของพวกเขาได้หายไปกว่าครึ่ง พวกเขาต้องได้รับความทรมานจากสัตว์วิญญาณในหมอกอันหนาทึบนั้นมากแน่ ๆ
หนานเฉายิ้มพลางงกล่าว “แสดงความยินดีกับใต้เท้าอวิ๋นด้วย ในที่สุดเราก็มาถึงเผ่าเทพหนานอู้แล้ว”
อวิ๋นฮวากล่าวว่า “มาถึงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? หนานอินได้ตายไปแล้ว เราไม่มีเส้นทางลัดแล้ว”
หนานเฉากล่าว “ต่อให้เราไม่มีทางลัด แต่ด้วยความสามารถและความแข็งแกร่งของใต้เท้าอวิ๋นแล้ว ข้าเชื่อว่าต้องเข้าไปได้แน่นอน”
อวิ๋นฮวากล่าวด้วยความมั่นใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว หนานเฉาเจ้านำทางเถอะ! ”
“ได้! ”
พวกเขาเดินเข้าไปในส่วนลึกของเผ่าเทพหนานอู้ ส่วนมู่เฉียนซีก็แอบตามพวกเขาไป ทันใดนั้นเสียงที่เย็นชาก็กระซิบขึ้นเบา ๆ ว่า “อยากรู้หรือไม่ ว่าทางลัดที่อวิ๋นฮวาหมายถึงคืออะไร? แล้วเจ้าไม่แปลกใจบ้างเหรอว่าหนานอินมีประโยชน์อะไรกับเขา? ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่แปลกใจ ตามพวกนั้นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน”