สีหน้าของอวิ๋นฮวาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากล่าวขึ้น “เจ้าจะจากไปแล้ว ระยะทางจากที่แห่งนี้ไปยังหุบเขามรณะยังมีอีกช่วงหนึ่ง เจ้าไม่ไปกับพวกเราแล้วหรือ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวประชดประชัน “ข้าเกรงว่าหากข้าอยู่ต่อ จะโดนพวกเจ้าฆ่าเสีย พวกเจ้าล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ หากลงมือจริง ๆ คงไม่มีจังหวะให้ข้าได้ตอบโต้เลย”
อวิ๋นฮวา “แม่สาวน้อย เจ้ากล่าวมาเช่นนี้ทำให้ข้าเสียใจ เมื่อครู่ข้ามิได้มีเจตนา ตลอดทางมานี้ข้าคอยปกป้องเจ้ามาตลอดแม่สาวน้อยซี ข้าจะไปทำร้ายเจ้าลงได้อย่างไร ?”
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นฮวานั้นอยากให้มู่เฉียนซีอยู่ต่อ ตอนนี้หนานอินก็ไม่อยู่แล้ว นางมิอาจจะมาคอยยุให้อวิ๋นฮวาไม่พอใจมู่เฉียนซีได้อีกแล้ว
หนานเชาเองก็กล่าวขึ้น “แม่นางเฉียนซี อินอินไม่ระวังเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า จากนี้ไปพวกเราจะไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซี “เจ้านั้นเป็นถึงพี่ชายของหนานอิน กลับพูดจาเช่นนี้ออกมา ไม่ละอายใจรึ ?”
สีหน้าของหนานเชานั้นหมุนเปลี่ยนได้ไวเสียยิ่งกว่าแผ่นเสียง
อวิ๋นฮวากล่าวขึ้น “แม่สาวน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราจะไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรอย่างมั่วซั่วเด็ดขาด เจ้าต้องไปกับพวกเรา”
“หากเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดกับเจ้าในหุบเขามรณะละก็ ข้าจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
สีหน้าของมู่เฉียนซีแย่ลงกว่าเดิม นางพร่ำบ่นอยู่ในใจ ‘เสแสร้งจริง ๆ!’
มู่เฉียนซี “แต่หนานอินนั้นตายเพราะข้าจริง ๆ ข้าเองอยู่ในขบวนเดินทางนี้ต่อไปก็คงไม่ดี”
ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวเช่นไร มู่เฉียนซีก็ยังคิดที่จะจากไป ขณะที่นางกําลังจะจากไป อวิ๋นฮวาก็ได้เรียกยอดฝีมือระดับจักรพรรดิออกมาหลายคน พวกเขาเข้ามาล้อมมู่เฉียนซีเอาไว้
อวิ๋นฮวากล่าวเบา ๆ “แม่สาวน้อย เหตุใดเจ้าถึงได้ไม่เชื่อฟังนัก!”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ข้านั้นเชื่อฟังผู้อื่นโดยตลอด แต่ก็ต้องดูว่าคนผู้นั้นเป็นใคร สวะอย่างเช่นพวกเจ้า เหตุใดข้าต้องเชื่อฟัง ?”
สวะ!
สีหน้าของอวิ๋นฮวาแทบจะเป็นสีเขียวคล้ำ เขานั้นเป็นถึงลูกศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักนิกายระดับหนึ่งแห่งเดียวของทวีปเซี่ยโจว คำที่ต่ำช้าเช่นนั้น ไม่เหมาะเอามากล่าวต่อว่าเขาอย่างแน่นอน
อวิ๋นฮวากล่าว “แม่สาวน้อย ข้ายังดีกับเจ้าไม่พอหรือ ? เพียงเพราะข้าหุนหันพลันแล่นครั้งเดียว เจ้าก็ดูถูกข้าเช่นนี้ มันช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
มู่เฉียนซี “มิใช่ดูถูกเจ้า แต่ว่าข้ามองเห็นนิสัยของเจ้าได้อย่างทะลุทะลวงตั้งแต่แรกแล้ว” นางเงยหน้ามองอวิ๋นฮวาก่อนจะกล่าวอีกว่า “อวิ๋นฮวา ตอนนี้ข้าไม่อยากเล่นละครกับเจ้าแล้ว เจ้าเองก็เสแสร้งแสดงมามากพอแล้ว เลิกเถอะ”
มู่เฉียนซีหมุนตัวไปก็วิ่งในทันใด แน่นอนว่านางได้พบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่คิดจะหยุดยั้งนาง
“พลังตี้ซวน!” เมื่อมู่เฉียนซียกมือขึ้น พลังวิญญาณที่น่ากลัวพลันพุ่งไปทางคนกลุ่มนั้น
“ออกไปให้พ้น”
อวิ๋นฮวาแค่นเสียงเย็นชา “แม่สาวน้อย เจ้าไม่ต้องพยายามดิ้นรนในสิ่งที่มันไร้ประโยชน์แล้ว เจ้าไปกับพวกเราเสียดี ๆ เถอะ แล้วเจ้าจะรู้สึกสบายกว่า”
มู่เฉียนซีไม่สนใจ นางชักกระบี่มังกรเพลิงออกมาแล้วกล่าวถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้ารอดจากการถูกดอกไม้ปีศาจล้อมได้อย่างไร ?”
อวิ๋นฮวา “แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเราโชคดี ได้ผลาญพลังของดอกไม้ปีศาจนั่นเสียจนหมด หาจุดอ่อนของมันเจอ พวกเราถึงฝ่าออกมาได้”
มู่เฉียนซียิ้มเย้ยหยัน “พวกเจ้าเหล่าคนของสำนักอวิ๋นเยียน ความสามารถในการแปะทองบนหน้าของพวกเจ้าแต่ละคนนี่ล้วนสูงพอกัน ดอกไม้ปีศาจนั้น หากไม่ได้กลืนกินเหยื่อก็จะโจมตีเหยื่ออย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน แล้วอีกอย่าง พวกมันเป็นพืช ขอแค่เพียงพวกมันเติบโตอยู่บนพื้นดิน เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีทางที่จะสามารถทำให้พวกมันสิ้นพลังไปทั้งหมดได้”
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เช่นนั้นแล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ?
หรือว่า…?
พวกเขามองมู่เฉียนซีอย่างพร้อมเพรียง หรือว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะนาง!
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้าเดาถูกแล้ว”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
มู่เฉียนซีโยนขวดยาออกมาหลายขวด ทันใดนั้นหมอกสีดำก็เข้าปกคลุมพวกเขา
“แค่ก ๆ ๆ! มันคือพิษ!”
“ระวังตัวด้วย นางใช้ยาพิษ”
ก่อนหน้านี้นางใช้พิษจัดการกับดอกไม้ปีศาจ มาครานี้นางใช้พิษมารับมือกับพวกเขา
“จะต้องจับตัวเด็กบ้าผู้นี้ให้ได้!”
ทว่าเมื่อพวกเขารอจนฝ่าออกมาจากหมอกพิษของมู่เฉียนซีได้ เงาร่างของมู่เฉียนซีก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว พวกเขาถามขึ้น “ท่านอวิ๋นฮวา สรุปแล้วพวกข้าควรตามเด็กสาวผู้นั้นไปหรือไม่ขอรับ ?”
อวิ๋นฮวา “ถึงต่อให้หนานอินจะตายไปแล้ว พวกเราก็ยังคงต้องไปที่หนานอู้ มิอาจจะมาเสียเวลาเดินทางเพียงเพราะสตรีอายุน้อยผู้เดียวได้”
หนานเชา “แต่ทว่า… เราจะปล่อยเด็กนั่นไปเช่นนี้หรือ ? เด็กสาวผู้นั้นอวดดีเกินไปแล้ว นางกล้าว่าท่านพี่ใหญ่อวิ๋นฮวาเช่นนี้”
อวิ๋นฮวา “ข้าจดจำรูปลักษณ์ของนางได้แล้ว ขอแค่เพียงนางไม่ได้ตายอยู่ในหุบเขามรณะ ด้วยอำนาจของสำนักอวิ๋นเยียน ไม่ว่านางจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด ข้าก็มีความสามารถที่จะจับตัวนางได้”
“แต่ตอนนี้ เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก่อน”
“ขอรับ!”
อวิ๋นฮวานำคนเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขามรณะ ส่วนมู่เฉียนซีมุ่งหน้าไปทางที่ชิวหลิงบอกเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นเส้นทางเล็ก ๆ ที่ปลอดภัย แต่ก็มีอันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้
ไม่ง่ายเลยที่มู่เฉียนซีจะหลบหนีออกจากขบวนของอวิ๋นฮวามาได้ แต่ทว่านางกลับพบว่าตนเองถูกสะกดรอยตามอีกครั้งหนึ่ง
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ตามมาตั้งขนาดนั้นแล้ว ออกมาเถอะ”
เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งปรากกตัวขึ้น เขากล่าว “สวะ… เหอะ ๆ เจ้าด่าได้ไม่เลว”
มู่เฉียนซีถึงกับตะลึง “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ยินได้เห็นหมดทุกสิ่งอย่าง”
“ข้าจะวางใจให้เจ้าไปกับสวะได้อย่างไร ดังนั้น…..”
หลังจากที่ได้เข้าสู่หุบเขามรณะ จักรพรรดิเซี่ยก็หายไป แต่เกรงว่าพวกของอวิ๋นฮวาคงจะคาดไม่ถึงว่าแท้ที่จริงจักรพรรดิเซี่ยยังคงคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอด และรู้ถึงการกระทำทุกสิ่งอย่าง
มู่เฉียนซีกล่าว “โอ้! เจ้ากังวลมากไปแล้ว”
เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าจักรพรรดิเซี่ย และกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “นายท่าน อวิ๋นฮวาและพรรคพวกรีบไปยังเจดีย์เทพหนานอู้แล้ว พวกเราต้องรีบตามไปนะขอรับ เส้นทางสายเล็ก ๆ นี้ ไม่รู้ว่าจะอ้อมไปถึงไหน”
“ทันทีที่ปล่อยให้อวิ๋นฮวาได้เข้าไปในเจดีย์เทพหนานอู้และเพิ่มพลังความแข็งแกร่งแล้วละก็ เช่นนั้นไม่ดีแน่”
จักรพรรดิเซี่ยกล่าวขึ้น “พวกเจ้าตามข้ามาก็พอแล้ว จะกล่าวไร้สาระมากมายเช่นนั้นไปทำไม ?”
เขานั้นได้แปลงกายเป็นควันสีขาว และหายไปจากหน้าของจักรพรรดิเซี่ย
จักรพรรดิเซี่ยเดินไปหามู่เฉียนซีแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าต้องการผู้พิทักษ์ดอกไม้ที่แท้จริงผู้หนึ่งหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “เจ้านี่ไม่รู้แม้แต่ว่าข้าเป็นใคร ? หรือชื่อเรียกว่าอะไรก็ยังไม่รู้ แล้วยังจะมาเป็นผู้พิทักษ์ดอกไม้ให้ข้าอีกรึ ?”
“แน่นอนว่าข้ารู้”
มุมปากของมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย “เจ้ารู้ ? เช่นนั้นเจ้าก็รู้จักข้าจริง ๆ! สรุปแล้วเจ้าเป็น…”
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นที่สว่างไสวราวกับดวงดาวของนาง มองจักรพรรดิเซี่ยราวกับมองวิญญาณของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าจนทะลุไป
จักรพรรดิเซี่ยนิ่งสงบอย่างที่สุดเพื่อให้นางได้มองดู เขาไม่มีความคิดใด ๆ ในใจเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีก็ยังคงเดาไม่ออกเช่นเดิม นางกล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าต้องการผู้พิทักษ์ดอกไม้เช่นนั้นหรือ ?”
“ในเมื่อไม่ต้องการ เช่นนั้นข้าถือโอกาสร่วมทางไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
“ตามรอยก็คือตามรอย ยังมาบอกว่าถือโอกาสไปทางเดียวกัน คำกล่าวของเจ้าไม่มีความสร้างสรรค์เอาเสียเลย”
“ก็ได้ ข้าตามรอยเจ้า”
“เช่นนั้นเจ้าลองตามดูสิ” มู่เฉียนซีก้าวข้ามร่างของเขาไป และในฉับพลันนั้น ฝีเท้าของนางเร่งเร็วขึ้น
แต่ทว่าความสามารถของจักรพรรดิเซี่ยไม่ธรรมดา ไม่ว่านางจะสลัดเขาเช่นไรก็สลัดไม่พ้น
.