อวิ๋นฮวากล่าว “เอาหล่ะ เราออกเดินทางไปหาสมุนไพรวิญญาณอื่นกันต่อเถอะ”
ในหุบเขามรณะแห่งนี้ สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวไม่เพียงแต่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่น่ากลัวว่านั้นอีก
“อ๊าย! ” เสียงกรี๊ดดังลั่นขึ้น หนานอินกล่าว “นี่……นี่มันอะไรเนี่ย”
พื้นที่ด้านหน้านั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามตระการตา หนานอินเห็นว่ามันสวยมาก นางจึงไปเด็ดดอกไม้นั้นมาดอกหนึ่ง และการเด็ดดอกไม้ดอกนี้ของนางทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ทันใดนั้นเองดอกไม้บริเวณรอบ ๆ ตัวนางก็ผุดเป็นดอกไม้ขนาดเท่าคนขึ้นมา ภายในชั่วพริบตาเดียวเกือบจะกลืนกินหนานอินเข้าไปแล้ว
“ตูม! ” แต่โชคดีที่หนานเฉาให้องครักษ์ที่มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิเข้าไปช่วยหนานอินออกมาได้ มิเช่นนั้นหนานอินคงจะกลายเป็นปุ๋ยของดอกไม้เหล่านี้ไปแล้ว
ในเวลาต่อมา ดอกไม้ขนาดใหญ่สีแดงเหล่านี้ก็ได้ล้อมรอบบริเวณพวกเขาเอาไว้ หนานอินสีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่ใหญ่อวิ๋น! ”
อวิ๋นฮวาขมวดคิ้วพลางกล่าว “ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสในสำนักกล่าวเอาไว้ว่า สิ่งที่อันตรายที่สุดในหุบเขามรณะนั่นก็คือบุปผาปีศาจ สิ่งที่บุปผาปีศาจเหล่านี้ชำนาญที่สุดคือการปลอมเป็นดอกไม้ที่สวยงาม ดูเสมือนจะไร้พิษสง แต่หากมีใครกล้ามาแตะต้องมัน มันก็จะกลายเป็นร่างเดิมของมันทันที และมันก็จะล้อมรอบมนุษย์หรือสัตว์วิญญาณที่อยู่ในบริเวณนี้ไว้ด้วยกัน จากนั้นมันก็จะกลืนกินทีเดียว! ”
และตอนนี้พวกเขาก็ได้ถูกล้อมเอาไว้แล้ว!
หนานเฉากล่าวตะคอกว่า “อินอิน นี่เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตขึ้นแล้วเจ้ารู้ตัวหรือเปล่า ข้าย้ำนักยำหนาว่าในหุบเขามรณะนี้ทุกที่ล้วนแต่อันตรายทั้งสิ้น แล้วนี่เจ้า……เจ้ายังไปจับโน่นจับนี่ซี้ซั่วอีก”
“ข้าไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเจ้าแล้ว” หนานเฉาบ่นอย่างหงุดหงิด
“ฮือ ๆ ๆ ๆ! ” หนานอินร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด “ก็ข้าไม่รู้นี่หนิ่”
“พี่ใหญ่อวิ๋น ต้องช่วยพวกเราให้ได้นะพี่ใหญ่”
ตอนนี้อวิ๋นฮวาก็เริ่มรู้สึกรำคาญหนานอินมากแล้วเหมือนกัน หากไม่ใช่เพราะนางยังมีประโยชน์อยู่มีหวังเขาคงจะโยนนางให้เป็นปุ๋ยของบุปผาปีศาจนี้ไปนานแล้ว
เป็นเพราะความไม่รู้ของนางแท้ ๆ จึงได้ก่อให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ผู้อาวุโสในสำนักเคยบอกเอาไว้ว่าหากโดนบุปผาปีศาจนี้โจมตีเข้าแล้ว ต่อให้มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิระดับเก้าก็ไม่มีทางรอดไปได้ เพราะ……
“ฟึ่บ! ”
กลีบของบุปผาปีศาจเหล่านี้เบ่งบานและได้พ่นควันสีชมพูออกมา ทันทีที่พวกเขาสูดดมกลิ่นควันสีชมพูนี้เข้าไปก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ และพวกเขาก็ไม่สามารถรวบรวมพลังวิญญาณได้
อวิ๋นฮวากล่าวขึ้นว่า “รีบกินยาแก้พิษต้านทานพิษนี้เอาไว้เร็วเข้า แล้วรีบวิ่งออกไป! ”
“ตูม ตูม ตูม! ”
พวกเขาพยายามร่วมแรงกันโจมตีบุปผาปีศาจเหล่านี้ แต่บุปผาปีศาจเหล่านี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งแน่นหนาเสมือนกำแพงเหล็กมากยิ่งขึ้น หนานเฉาจะเอายาแก้พิษยื่นให้มู่เฉียน แต่ก็ถูกหนานอินขวางเอาไว้ นางกล่าวว่า “ท่านพี่ อย่าไปสนใจความเป็นความตายของนางเลย นางมียาวิญญาณระดับสูงให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอ แค่ยาแก้พิษนางคงไม่ขาดแคลนหรอก”
หนานเฉาไม่อาจเปลี่ยนใจหนานอินได้ “อืม! ”
แน่นอนว่าคนอย่างมู่เฉียนซีไม่ต้องการยาวิญญาณของเขา เพราะพิษของดอกไม้นี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อนางมากนัก เพียงแต่มู่เฉียนซีมองไปที่บุปผาปีศาจสีแดงราวโลหิตเหล่านี้แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ไม่นึกเลยว่าเป็นเพราะหนานอิน นางจึงต้องมาเจอกับบุปผาปีศาจนี้เข้า นี่เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดในหุบเขามรณะที่ชิวหลิงได้เคยบอกเอาไว้
บุปผาปีศาจเหล่านี้สมดั่งคำร่ำลือจริง ๆ ยากที่จะทำลายมันได้ แม้แต่พวกของอวิ๋นฮวาเองก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน
ขนาดพลังวิญญาณจักรพรรดิระดับสูงสุดก็ไม่อาจทำลายได้ มู่เฉียนซีซึ่งเป็นแค่ราชาแห่งภูตนั้นไม่อยากจะร่วมด้วยหรอก
การโจมตีอย่างต่อเนื่องของพวกเขาดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้บุปผาปีศาจเหล่านี้โกรธมากขึ้น และครั้งนี้บุปผาปีศาจไม่ยอมโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว มันลงมือโจมตีพวกเขาด้วย!
ขวั่บ ขวั่บ ขวั่บ!
เกสรของบุปผาปีศาจถูกพ่นออกมาและมันก็กลายเป็นอาวุธลับในทันที เกสรเหล่านั้นพุ่งโจมตีมาทั่วทั้งแปดทิศทำให้ยากที่จะป้องกันเอาไว้ได้!
กองกำลังหลักได้ไปโจมตีรับมือกับบุปผาปีศาจ ส่วนองครักษ์ที่คอยปกป้องหนานอินนั้นมีน้อยมากแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็โดนบุปผาปีศาจลอบโจมตีจนผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง
มู่เฉียนซีใช้ทักษะพันเงาหลบหลีกการโจมตีของบุปผาปีศาจเหล่านี้อย่างน่าระทึก
อวิ๋นฮวา “ท่าไม่ดีแล้ว……”
หลังจากที่พวกเขารู้ว่าไม่สามารถเอาชนะบุปผาปีศาจนี้ได้ พวกเขาทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่ปกป้องตัวเอง
หนานอินเข้าไปใกล้อวิ๋นฮวา นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่อวิ๋น ข้ากลัวเหลือเกิน ข้ากลัว……”
“ฮือ ๆ ๆ ๆ เราจะตายกันที่นี่จริง ๆ เหรอ! ”
“พี่ใหญ่อวิ๋น……”
อวิ๋นฮวากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “หยุดโวยวายได้แล้ว”
“พี่ใหญ่อวิ๋นดุข้า ฮือ ๆ…….”
หนานเฉาก็จนใจกับนางแล้วเหมือนกัน “อินอิน นี่มันไม่ใช่เวลามาร้องไห้ไร้สาระเป็นเด็กเช่นนี้นะ”
อวิ๋นฮวากำหมัดแน่นและมองไปรอบ ๆ เขายังหาเจดีย์เทพไม่เจอเลย ยังไม่ได้ควบคุมอำนาจเป็นใหญ่ในสำนักอวิ๋นเยียนเลย เขาจะมาตายเพราะเรื่องโง่ ๆ ของหญิงสาวผู้นี้ที่นี่ได้ยังไงกัน!
ไม่มีทางเด็ดขาด!
ขวั่บ ขวั่บ ขวั่บ!
เกสรของบุปผาปีศาจโจมตีมาอีกระลอก และการโจมตีของมันครั้งนี้รวดเร็วมาก ราวกับว่าพวกมันไม่ได้กินเหยื่อมานานมากมันถึงโจมตีได้เร็วเช่นนี้
“ลงมือโจมตีมัน! ” อวิ๋นฮวาสั่ง
ปัง ปัง ปัง!
การป้องกันตัวที่น่าระทึกเกิดขึ้นอีกครั้ง และต้องขอบคุณคนของสำนักอวิ๋นเยียนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งและอุปกรณ์ในการป้องกันตัวบอกเลยว่าไม่เลวเลย และทำให้พวกเขายังมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้ ส่วนองครักษ์ของแคว้นหนานเถิงก็เกือบตาย เพราะพวกเขาเป็นเกราะป้องกันให้กับองค์ชายและองค์หญิงของพวกเขา
เกสรเหล่านั้นมีพิษอันตรายและร้ายแรงมาก หากโดนพิษของมันเข้าแล้วไม่อาจแก้พิษได้ สถานการณ์การต่อสู้ยิ่งน่าเวทนามากขึ้นเรื่อย ๆ และหนานอินก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
มู่เฉียนซีตอนนี้กำลังหลบอยู่ตรงกลางวงล้อมขององครักษ์ ในมือนางมีตัวอย่างเกสรบุปผานั้นอยู่ ครั้งที่แล้วนางสามารถทำลายเถาวัลย์ปีศาจนั้นให้ตายได้ ครั้งนี้เป็นเกสรบุปผาปีศาจ นางก็ต้องหาวิธีทำลายมันได้แน่
เกสรบุปผาปีศาจนี้วางพิษได้ แล้วนางจะวางยาพิษกลับไม่ได้เหรอ? และในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะศึกษาพิษนั้น หนานอินก็กล่าวตะคอกนางว่า “นังบ้า เจ้ามัวแต่หลบหัวให้คนอื่นปกป้องอยู่ทำไมกันล่ะ เจ้าเก่งมากไม่ใช่เหรอ? เจ้าเป็นถึงราชาแห่งภูตไม่ใช่เหรอ? เป็นอัจฉริยะไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงไม่ไปช่วยพี่ใหญ่อวิ๋นจัดการมันล่ะ”
มู่เฉียนซีกล่าวถามยอกย้อน “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมถึงไม่ไปสู้กับมัน? ”
หนานอินกล่าวอย่างชอบธรรมว่า “ก็ข้าเป็นแค่ปรมาจารย์ภูต ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งอะไร ช่วยอะไรไม่ได้หรอก แต่เจ้าไม่เหมือนข้า เจ้าเป็นถึงราชาแห่งภูต! ”
“พลังขั้นจักรพรรดิยังจัดการไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าราชาแห่งภูตจะจัดการกับบุปผาปีศาจนั่นได้งั้นเหรอ? ”
“ไม่ได้! ข้าเป็นองค์หญิง ตอนนี้ข้าขอสั่งให้เจ้าออกไปต่อสู้กับบุปผาปีศาจนั่นเดี๋ยวนี้! ” หนานอินกล่าวรับสั่ง หากไม่มีนังผู้หญิงบ้านี่ นางก็จะมีคนปกป้องดูแลมากขึ้น แล้วนางก็จะได้ปลอดภัย อีกอย่างหากนังบ้านี่โดนบุปผาปีศาจกลืนกินไปก็จะยิ่งดี
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่ใช่ลูกน้องของเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งเจ้า หยุดมาวุ่นวายกับข้าได้แล้ว! ”
ตุบ!
มู่เฉียนซีเตะนาง จากนั้นร่างของนางก็กระเด็นออกไป
ขวั่บ!
เกสรช่อหนึ่งพุ่งไปทางหนานอิน หนานอินตะโกนกล่าวอย่างตื่นตระหนก “เจ้า นี่เจ้าลอบกัดข้า”
“ท่านพี่! ”
หนานอินนับว่ายังโชคดีมาก เมื่ออวิ๋นฮวาเห็นว่านางกำลังเป็นตกอยู่ในอันตรายก็รีบเข้าไปช่วยนางเอาไว้ได้ทัน อวิ๋นฮวากล่าวถาม “นี่มันอะไรกัน? ”
หนานอินรีบฟ้องทันที “ขะ ข้าก็แค่เข้าไปพูดกับนังผู้หญิงบ้านั่นก็เท่านั้นเอง แต่นางกลับเตะข้าออกมา ข้าเกือบจะโดนเกสรพิษนั่นเล่นงานตายแล้ว”
“พี่ใหญ่อวิ๋น นังผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรดีเลยสักนิด พวกเราปล่อยให้มันเป็นปุ๋ยของบุปผาปีศาจที่นี่เถอะ ไม่ต้องไปสนใจความเป็นความตายของมันหรอก”
อวิ๋นฮวาตะคอกใส่นาง “อินอิน เจ้าหยุดพูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้แล้ว”
อัจฉริยะอย่างสาวน้อยซีผู้นั้นก็เหมือนกับเขา จะตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด อวิ๋นฮวาเดินไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “สถานการณ์ตอนนี้อันตรายยิ่งนัก สาวน้อยซี ตอนนี้เจ้าอย่าไปต่อปากต่อคำกับอินอินก่อนจะได้หรือไม่ ตอนนี้อินอินยังตายไม่ได้”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจถึงกับผงะเล็กน้อย “ทำไมนางถึงตายตอนนี้ไม่ได้? ”