มันสายไปแล้ว
รูม่านตาของตงกัวหดลง เขารีบใช้ความเร็วในการแปลงร่างเป็นสัตว์อย่างเร็วที่สุดจนกลายเป็นมนุษย์นกตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ทั่วทั้งร่างกายล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยขนนก และมีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งมาก
มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ทักษะโยวหลัว!”
พลังวิญญาณได้ก่อตัวขึ้นเป็นระลอกคลื่นอันทรงพลัง มันแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นที่อยู่ในมุมมืดในตอนนี้ก็เปล่งประกายขึ้นแล้ว ในที่สุดทักษะโยวหลัวของซีก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว
ตูม! เสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังสนั่นขึ้นจนได้ยินไปทั่วทั้งสนามรบอันโกลาหลนี้
“เป็นไป…เป็นได้ยังไง!”
พรวด!
ดวงตาของตงกัวเบิกกว้างขึ้น เขาไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น
ปัง! ร่างของเขาร่วงลงกระแทกกับพื้นดิน ขนนกอันหนาทึบบนร่างนั้นล้วนแต่หลุดร่วงออกมาจากร่างของเขาจนหมดสิ้น
ร่างของเขาคืบคลานอยู่บนพื้นดินราวกับร่างที่ไร้กระดูกอย่างไรอย่างนั้น เขารับรู้ได้ว่าชีวิตของตนเองนั้นกำลังผ่านไปอย่างช้า ๆ
ชั่วครู่หนึ่งแววตาของหญิงสาวอสรพิษก็เหม่อลอยขึ้นเล็กน้อย
ในเวลานี้นางคิดจะย่างเท้าหนีไป ทว่า นางจะยอมหนีได้เช่นไรกันเล่า!
นางยังมีคนของนาง ยังมีลูกน้องของนางอีกมากมาย จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวข้างกายมู่เฉียนซี
จิ่วเยี่ยกล่าว “ทักษะโยวหลัวของซีฝึกฝนจนถึงขั้นบรรลุแล้ว ต่อไปต้องการให้ข้าทำให้คนเหล่านี้หายสาบสูญไปเลยหรือไม่?”
เมื่อครู่เป็นเพราะมู่เฉียนซีต้องการฝึกฝนทักษะวิญญาณ จิ่วเยี่ยจึงไม่ได้ลงมือเข้าแทรก
ทว่า ตอนนี้ฝึกฝนจนบรรลุแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับคนเหล่านี้แล้ว
เขามีเวลาจำกัดในการได้อยู่ข้างกายซี และแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้มดปลวกเหล่านี้มาแย่งเวลาของเขาไป
หญิงสาวอสรพิษมองดูบุรุษชุดดำตรงหน้าผู้นี้อย่างตกตะลึงจนโง่งมไปชั่วครู่ใหญ่ เขาปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ขะ เขา…
หญิงสาวอสรพิษมองดูในสนามรบก่อนจะพบว่ากองกำลังคนที่นางได้นำมานั้นได้ลดน้อยลงไปเกินครึ่งแล้ว
กำลังคนลดน้อยลงนั้นไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือนางไม่เห็นแม้แต่ศพของพวกเขาในสนามรบเลย
อีกทั้งผู้อาวุโสขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกทั้งสอง นางก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา ตกลงแล้วพวกเขาหนีไปที่ใดกันแน่
ในตอนนี้หญิงสาวอสรพิษตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง นี่มันเกิดอันใดขึ้น นะ นาง…
มู่เฉียนซียังไม่ทันได้ตอบคำถามของจิ่วเยี่ย ทันใดนั้นเองกลางอากาศก็ปรากฏกลิ่นอายกระบี่อันเย็นยะเยือกขึ้น และกระบี่เล่มนี้ก็ได้กวาดล้างศัตรูจนย่อยยับไปอย่างง่ายดาย
คนของเมืองเย่เซี่ยอุทานขึ้นว่า “ท่านกู้กลับมาแล้ว!”
“ท่านเจ้าเมืองก็กลับมาแล้วด้วย!”
ร่างหลายร่างได้กระโดดลงมาจากร่างของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภา!
เย่เฉินลงมือแล้ว พลังอำนาจของมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกนั้นทำให้ศัตรูรู้สึกตัวสั่นคลอนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พลังของท่านเจ้าเมืองถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกแล้ว”
“ท่านเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ฆ่าพวกเลวทรามเหล่านี้ด้วยขอรับ!”
ไม่ว่าจะเป็นกู้ไป๋อีหรือว่าเย่เฉินที่กำลังการต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงนั้นทำให้หญิงสาวอสรพิษในตอนนี้รู้สึกสิ้นหวังแล้ว
แววตาของนางฉายแววตัดขาดอย่างไร้เยื่อใยออกมา นางรู้ดีว่าตนเองไม่อาจหนีรอดไปได้แล้ว
หากต้องตกไปอยู่ในกำมือของพวกมัน มิสู้…
มู่เฉียนซีคาดเดาได้ถึงความคิดของหญิงอสรพิษ อย่างไรเสีย นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่สำนักขวางโซ่วของพวกเขากระทำเรื่องเช่นนี้
นางกำลังจะลงมือ แต่กู้ไป๋อีนั้นเร็วกว่านาง
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
แสงสีเงินได้ตัดผ่านเกล็ดบนร่างของหญิงสาวอสรพิษ เลือดสีแดงสดได้สาดกระเด็นออกมาตรงหน้า
ดวงตาของหญิงสาวอสรพิษเบิกกว้างด้วยความตกใจพลางกล่าว “เป็นไปได้ยังไง!”
เกราะป้องกันของนาง นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกทำลายได้ด้วยกระบี่เล่มเดียว
อีกอย่าง ผู้ที่ลงมือฆ่านาง ยังเป็นบุรุษรูปงามที่นางหมายปองมาโดยตลอดอีกด้วย!
หากเป็นเมื่อก่อน กู้ไป๋อีไม่มีทางฆ่าหญิงสาวอสรพิษให้ตายได้ด้วยกระบี่เล่มเดียว
ทว่า ในตอนนี้พลังของเขาฟื้นฟูกลับมาถึงขั้นมหาจักรพรรดิแล้ว การทำลายเกราะป้องกันนี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
ปัง! หญิงสาวอสรพิษล้มลงไปในกองเลือด
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นของจิ่วเยี่ยเหลือบไปมองบุรุษที่ลงมือเพื่ออยากมีตัวตนอยู่ผู้นั้นด้วยสายตาเคร่งขรึม จากนั้นก็กอดมู่เฉียนซีและเดินจากไป
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย ยังจัดการไม่เรียบร้อยเลย ข้ายังไปไม่ได้”
“พวกเศษสวะเหล่านั้น พวกเขาสามารถจัดการได้อยู่แล้ว หรือว่าซีไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องพูดกับข้าเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ?” จิ่วเยี่ยกล่าวถามเสียงขรึม
ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็ได้อันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน
วิ๊ง! กระบี่ของกู้ไป๋อียิ่งทวีความเย็นยะเยือกและอันตรายมากขึ้น
ไม่ว่าร่างในชุดขาวร่างนั้นย่างกรายไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็ได้กลายเป็นซากศพทันที คนของสำนักขวางโซ่วที่เหลือเหล่านั้นเห็นกู้ไป๋อีย่างกรายเข้ามาก็ล้วนแต่รู้สึกขนพองสยองเกล้า
ทั้งแข็งแกร่งอีกทั้งยังไร้ซึ่งความปรานี ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีเข้ามาในจวนท่านเจ้าเมือง มู่เฉียนซีเห็นว่าที่สนามรบนั้นมีเสี่ยวไป๋อยู่ คนเหล่านั้นไม่วายต้องกลายเป็นซากศพแน่นอน ดังนั้นก็มอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาก็แล้วกัน
มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ยและกล่าวว่า “เรื่องที่รับปากข้าไว้ เจ้าไม่ลืมใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่ลืม!”
“ภารกิจที่สำคัญที่สุดของเจ้าในตอนนี้ก็คือหาคัมภีร์หมื่นคำสาปมาล้างคำสาปให้ได้ เรื่องอื่นนั้นไม่ต้องสนใจ”
ดวงตาของจิ่วเยี่ยฉายแววอันตรายออกมา “นี่ซีกำลังสั่งข้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ข้าสั่งเจ้าแล้วจะทำไม?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างกำเริบเสิบสาน
“แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าออกคำสั่งกับข้า!” ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้นจ้องเขม็งไปที่มู่เฉียนซี
“ข้าก็แค่เรียงลำดับความสำคัญ ตกลงเจ้าจะฟังหรือไม่” มู่เฉียนซีไม่ตกใจกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาขยับเข้าใกล้มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ซีจะออกคำสั่งกับข้า ต้องการให้ข้าเชื่อฟัง เช่นนั้นซีควรชดเชยให้ข้าสักหน่อย มิเช่นนั้น…”
“มิเช่นนั้นเจ้าจะขัดคำสั่งอย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม
“คำสั่งของท่านหมอประจำตัวเจ้า เจ้าก็กล้าขัด เจ้าช่างกล้าไม่เบาเลย!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาพร้อมดึงคอเสื้อของเขาราวกับว่าหากเขาไม่เชื่อฟังก็จะต่อยเขาอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่านางจะสู้เขาไม่ได้ก็ตาม!
“ข้ากล้าหาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว” ในขณะที่กล่าวนั้น จิ่วเยี่ยก็อุ้มมู่เฉียนซีขึ้น
“การแสดงออกของซีทำให้ข้าพึงพอใจมาก ข้าเชื่อฟังคำสั่งของซี ไม่ขัดขืนแน่นอน”
ในขณะที่กล่าวนั้นเขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง
ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะดิ้นรนขัดขืนเพียงใด เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย
มู่เฉียนซีโกรธเกรี้ยวขึ้น “เจ้าจะเป็นหรือตายข้าจะไม่สนใจอีกแล้ว เจ้าอยากจะทำอันใดก็เรื่องของเจ้า หากเจ้าไม่ฟังข้าก็ช่าง ข้าก็ไม่อยากจะ อือ…”
นางไม่ทันกล่าวจบ จิ่วเยี่ยก็ปิดปากนางด้วยปากเสียแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าออกคำสั่งกับเขามาก่อนเลย นางทำเช่นนั้นไปแล้ว และเขาก็ให้อภัยนาง แต่จิ่วเยี่ยไม่ใช่คนที่ยอมเสียเปรียบอันใดได้ง่าย ๆ
จิ่วเยี่ยถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของมู่เฉียนซีออกอย่างรวดเร็ว เขาจูบริมฝีปากอันแดงระเรื่อของนาง และค่อย ๆ บรรจงจูบลงมาที่ซอกคอ ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงกระดูกไหปลาร้า
“จิ่วเยี่ย อย่า…จะ เจ้า ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” มู่เฉียนซีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ข้าจะเชื่อฟังซี ข้าจะรีบหาที่อยู่ของเผ่ามังกรและคัมภีร์หมื่นคำสาปให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้ซีเชื่อฟังข้าได้หรือไม่…”
“ให้ความร่วมมือกับข้า!” หกคำสุดท้ายนี้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งอันน่าหลงใหล
เขาคุ้นเคยทุกซอกทุกมุมบนเรือนร่างของนาง เมื่อริมฝีปากสัมผัสเรือนร่างก็ยิ่งคุ้นเคยมากขึ้นทำให้มู่เฉียนซีแทบจะทนไม่ไหว
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ร่างของมู่เฉียนซีก็ยิ่งควบคุมเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เป็นจริงอย่างที่จิ่วเยี่ยได้พูดเอาไว้ ความรู้สึกไม่อาจห้ามได้ นางจึงให้ความร่วมมือกับเขา
ทว่า เหตุใดนางถึงรู้สึกว่า นางยังล้างคำสาปให้จิ่วเยี่ยไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่านางแทบจะต้องคำสาปของจิ่วเยี่ยเข้าแล้ว
อือ! ทว่า จิ่วเยี่ยยังไม่พึงพอใจมากนัก เขากล่าว “ซีต้องร่วมมือมากกว่านี้!”
.
.