กระบี่อันเย็นยะเยือกเล่มหนึ่งโจมตีมาอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้า เจ้าสำนักขวางโซ่วโคจรพลังวิญญาณทั้งหมดขึ้นเพื่อหลบหลีก
กลิ่นอายของกระบี่เล่มนี้ทำให้เขารู้สึกอันตรายมาก ชั่วครู่หนึ่งเขาจึงแปลงกายเป็นสัตว์โดยสมบูรณ์อย่างไม่ลังเล
อึดใจต่อมาปีกคู่หนึ่งได้สยายโบกสะบัดอยู่กลางอากาศ เจ้าสำนักขวางโซ่วหลบหลีกไปได้หวุดหวิดอย่างน่าหวาดเสียว
คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ผิดแน่นอน!
ทว่า พลังของเขา นึกไม่ถึงเลยว่าพลังของเขาจะแค่ขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับหนึ่ง เป็นไปได้เช่นไร
คนผู้นั้นฝึกฝนพลังความแข็งแกร่งจนถึงขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสูงสุดแล้ว เป็นคู่ต่อสู้ที่หาได้ยากในดินแดนสี่ทิศ จะเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน
ทว่า มหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับหนึ่งผู้หนึ่ง สามารถใช้ทักษะกระบี่นี้ได้ด้วยหรือ?
เป็นไปไม่ได้แน่นอน!
เขาจำไม่ผิดแน่!
เจ้าสำนักขวางโซ่วที่ได้รับบาดเจ็บด้วยกระบี่เล่มนั้นก็ตะโกนขึ้นทันทีว่า “พวกเราถอย!”
ถอย!
คนของสำนักขวางโซ่วเหล่านั้นไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกโจมตีจนร่วงลงมา แต่พลังของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ!
จะถอยไปง่าย ๆ เช่นนี้นะเหรอ ช่างอับอายขายหน้ายิ่งนัก!
และหากพวกเขาหนีไป เมืองหนานอวี่ก็หลุดมือไปเช่นกัน
เจ้าสำนักขวางโซ่วกล่าว “ข้าบอกให้ล่าถอย หรือแม้แต่คำสั่งของเจ้าสำนักอย่างข้า พวกเจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้ว”
“ขอรับ! ท่านเจ้าสำนัก!”
สำนักขวางโซ่วออกตัวมาอย่างดุดัน ตอนนี้ศึกการต่อสู้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะถอยหนีไปอย่างลึกลับเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียนซีและพวกรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
คนของสำนักขวางโซ่วเหล่านี้ตื่นตระหนกตกใจกลัวสิ่งใดกันแน่
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านเจ้าสำนักอย่าไป!”
ผู้ที่หมดอาลัยตายอยากมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นเจ้าเมืองเมืองหนานอวี่
เขาตั้งหน้าตั้งตารอยคอยความช่วยเหลือ นึกไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าเพิ่งปรากฏตัวออกมาช่วยจัดการกับศัตรูได้แค่ไม่กี่คนพวกเขาก็ถอยหนีไปเสียแล้ว ช่างเป็นตลกร้ายยิ่งนัก!
“ถอย!”
เจ้าสำนักขวางโซ่วนั้นรู้ดี ถึงแม้ว่าพลังของคนผู้นั้นจะกลายเป็นแค่มหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับหนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้นอยู่ดี
หากฝืนอยู่ต่อไป เขาก็มีแต่เสียเปรียบและความสูญเสีย มิสู้…
บางที…เมื่อถึงตอนนั้นเขาอาจจะได้ผลงานชิ้นยอดก็เป็นได้!
มู่เฉียนซีไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักขวางโซ่วถึงได้ถอยหนีไปเสียดื้อ ๆ เช่นนี้ แต่กว่าจะล่อเสือออกจากถ้ำมาได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปง่าย ๆ ได้เช่นไรกันเล่า
“ไหน ๆ พวกเจ้าก็มาแล้ว อยู่สนุกกันต่อเถอะนะ!”
ตูม ปัง ปัง! มู่เฉียนซีนำกำลังคนลงมือรั้งพวกเขาเอาไว้
และกู้ไป๋อีก็ลงมือแล้วเช่นกัน เงาจันทราคู่ได้โจมตีลงมา คนของสำนักขวางโซ่วสองคนถูกคร่าชีวิตด้วยการโจมตีนี้ไปพร้อมกัน
เจ้าสำนักขวางโซ่วเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
คนของสำนักขวางโซ่ววิ่งหนี มู่เฉียนซีและพวกก็นำกำลังคนตามไล่ตาม
ถึงอย่างไร คนของสำนักขวางโซ่วก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ หากพวกเขาตั้งมั่นที่จะสู้แล้วละก็ พวกเขาไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับชัยชนะเป็นแน่
ทว่า ในใจของพวกเขาตอนนี้คิดเพียงแค่จะถอยหนี ต่อให้ขวางก็ไม่อาจขวางได้
สุดท้ายก็ทำได้แค่มองดูพวกเขาวิ่งหนีไปอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่สามารถไล่ตามไปทัน มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องไปแล้ว!”
ครั้นแล้วพวกเขาจึงหันหลังกลับไปยังเมืองหนานอวี่ เจ้าเมืองหนานอวี่เห็นเช่นนี้ก็หวาดกลัวจนตัวแข็งทื่อไป
กองกำลังที่มาช่วยก็ได้ถอยหนีไปแล้ว เขาจะทำเช่นไรได้อีกเล่า ไม่มีทางสู้ได้อยู่แล้ว!
“อย่าฆ่าข้า ข้ายอมจำนนแล้ว ข้ายอมจำนนแล้ว…”
หากพวกเขายืนหยัดที่จะสู้ มู่เฉียนซีและพวกก็ยังต้องลงแรงต่อสู้อีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะยอมจำนนอย่างง่ายดายเช่นนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อยอมจำนนแล้ว ก็ทำตัวดี ๆ หน่อยนะ”
คว้าเมืองหนานอวี่มาได้ง่ายกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มาก
ทว่า การที่คนของสำนักขวางโซ่วหนีไปเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
การโจมตีเมืองได้รับชัยชนะมาแล้ว ต่อไปก็เริ่มยึดของที่ได้มาจากการชนะศึก จากนั้นก็เริ่มควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
ยึดครองเมืองทางตะวันตกและทางใต้ของทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่มาได้ในระยะเวลาอันสั้น ช่างดียิ่งนัก!
เย่เฉินกล่าวด้วยความไม่เข้าใจว่า “นายท่าน เหตุใดสำนักขวางโซ่วถึงได้ถอยหนีไปเช่นนั้นล่ะขอรับ หรือว่าพวกมันจะมีแผนการอื่น?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นกำลังคิดสิ่งใดอยู่”
กู้ไป๋อีที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดในตอนนี้ก็ได้เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าเจ้าสำนักขวางโซ่วผู้นั้นจะรู้จักข้า”
มู่เฉียนซีกล่าว “หรือเป็นเพราะว่าชื่อเสียงอันโด่งดังของเจ้าในเมื่อก่อนเสี่ยวไป๋ ด้วยเหตุนี้ศัตรูเห็นหน้าเจ้า เห็นถึงความน่าเกรงขามของเจ้าก็ตกใจกลัวจนเผ่นหนีไป นี่มัน…”
ถึงแม้พลังของเขาจะถดถอยลงมาถึงขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับหนึ่ง แต่คนเหล่านั้นแค่เห็นก็ถึงกับต้องถอยหนีแล้ว ช่างแตกต่างไปจากวิสัยของสำนักมารอย่างสำนักขวางโซ่วไปโดยสิ้นเชิงจริง ๆ
“ตอนนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน!” กู้ไป๋อีส่ายหน้าพลางกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขรึมว่า “ถึงแม้ว่าครั้งนี้พวกสำนักขวางโซ่วจะเผ่นหนีไป แต่พวกเราก็ยังวางใจไม่ได้ ไม่แน่บางทีพวกมันอาจจะมีอุบายอื่นก็ได้”
เย่เฉินพยักหน้าพลางกล่าว “ขอรับ!”
กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซี ท่าทางอยากจะพูดบางสิ่งบางอย่างแต่ก็ลังเลที่จะพูดออกมา
เมื่อถึงยามดึกสงัด กู้ไป๋อีก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าห้องของมู่เฉียนซี กำลังคิดว่าจะเคาะประตูเข้าไปดีหรือไม่
มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเขานานแล้ว นางจึงเอ่ยปากกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ มีเรื่องอันใดก็เข้ามาคุยเถอะ!”
กู้ไป๋อีผลักประตูเดินเข้าไปก็ได้เห็นมู่เฉียนซีกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างด้วยท่าทางเกียจคร้านและมองมาที่เขา
แสงจันทร์สีเงินสาดแสงลงมากระทบบนใบหน้าของนาง ช่างเป็นรูปหน้าที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ งดงามอย่างไร้ที่เปรียบ
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้ามีเรื่องอันใด?”
กู้ไป๋อีกล่าว “ที่พวกมันหนีไปน่าจะเป็นเพราะว่าพวกมันรู้จักตัวตนของข้า หนึ่งคือหวาดกลัวข้า ไม่กล้าวางตัวเป็นศัตรูกับข้า ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือ พวกมันเอาชีวิตรอดเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากใครบางคน และใครบางคนที่ว่าก็อาจจะเป็นศัตรูคู่แค้นของข้า”
“และเราก็ไม่ได้ถอนรากถอนโคนมัน!”
คนของสำนักขวางโซ่วเหล่านั้นวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิตเช่นนั้น พวกเขาไม่สามารถถอนรากถอนโคนได้
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าว “แล้วอย่างไร!”
“เพื่อไม่เป็นการสร้างปัญหาให้คุณหนูใหญ่ เกรงว่าข้าคงต้องจากไปก่อน”
“จากไป! ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกันไว้แล้ว หากพลังของเจ้าฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างสมบูรณ์ ข้าไม่อาจรั้งเจ้าได้ เจ้าสามารถจากไปได้ แต่ว่าตอนนี้ เจ้าจะจากไปอย่างนั้นเหรอ?”
กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีถูกชักออกมาจากฝัก ชี้ปลายกระบี่ไปที่กู้ไป๋อี นางยิ้มพลางกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ ตอนนี้เจ้าไม่มีความสามารถที่จะหนีไปจากเงื้อมมือของข้าได้”
กู้ไป๋อีเดินตรงไปที่ปลายกระบี่มังกรเพลิง และกล่าวว่า “แล้วถ้าหากข้าเอาชนะคุณหนูใหญ่ได้ล่ะ เช่นนั้นก็สามารถหนีไปได้แล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าจะลองก็ได้นะ!” เมื่อเห็นเจ้าหมอนี่มุ่งมั่นที่จะจากไป มู่เฉียนซีก็โกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว
เจ้าหมอนี่ขาดการอบรมสั่งสอนเสียจริง!
“เช่นนั้น คุณหนูใหญ่ก็มาเถอะ!” ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็ว
ร่างในชุดม่วงก็เคลื่อนไหวตามไปอย่างรวดเร็วราวประหนึ่งลมพายุ จากนั้นเปลวไฟอันแดงฉานก็ปะทุออกมาจากจวนเจ้าเมืองเมืองหนานอวี่
เย่เฉินที่กำลังจัดการเรื่องต่าง ๆ อยู่ได้เห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น “พลังนี้ เป็นพลังของนายท่าน หรือว่าสำนักขวางโซ่วจะลอบเข้ามาโจมตีในยามดึกสงัด”
ทว่า เมื่อคนกลุ่มหนึ่งวิ่งพรวดออกมาดู พวกเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยสองร่างกำลังต่อสู้กัน
“ท่านมู่กับท่านกู้ต่อสู้กันเอง!”
“เหตุใดทั้งสองถึงได้ต่อสู้กันเองเช่นนี้!”
“ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วระหว่างท่านกู้กับท่านมู่ ผู้ใดจะเก่งกาจกว่ากัน”
มู่เฉียนซีกล่าว “เย่เฉิน ให้ทุกคนหลบไป!”
“บัวแดงพิฆาต!”
บัวอัคคีสีแดงฉานนั้นพุ่งโจมตีไปยังกู้ไป๋อี
เย่เฉินรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของมู่เฉียนซีที่แฝงอยู่ในการโจมตีอันรุนแรงนั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก ท่านกู้เป็นคนที่เย็นชาและนิ่งเงียบมาโดยตลอด น้อยมากที่จะทำให้นายท่านโกรธได้ เหตุใดคืนนี้ถึงทำให้นายท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ได้
.
.