เดิมทีทางฝ่ายของเมืองแห่งความโกลาหลเคยบอกเอาไว้ว่า รอให้เซี่ยฉีอายุสิบแปดปีก่อนแล้วค่อยรับตัวไป
ตอนนี้ยังมีเวลาอีกช่วงระยะหนึ่งกว่าจะถึงวันเกิดครบสิบแปดปีของเซี่ยฉี เหตุใดพวกเขาถึงได้ลงมือก่อนเช่นนี้
พ่อบ้านกล่าว “ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจเหมือนกันขอรับ จู่ ๆ พวกมันก็บุกมาแล้วถามหาคุณหนูใหญ่ ดูเหมือนว่านายน้อยของเมืองแห่งความโกลาหลจะเบื่อหน่ายสนมข้างกายเหล่านั้นแล้ว คิดอยากจะหาสนมใหม่ขอรับ”
“บัดซบ!” ดวงตาของเย่เฉินแดงก่ำขึ้นด้วยความโกรธแค้น
“มาช้าเกินไปแล้ว! มาช้าเกินไปจริง ๆ!”
เขาคิดว่าเขายังมีเวลาเพียงพอ มีนายท่านคอยช่วย เขาจะแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานเมืองแห่งความโกลาหลได้ก่อนที่เซี่ยฉีจะอายุสิบแปดปี
อุตส่าห์วางแผนเอาไว้อย่างแยบยลนึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือก่อนเวลา ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ได้อยู่ข้างกายเซี่ยฉีจับตัวนางไป
พรวด! เย่เฉินโกรธมากจนกระอักเลือดคำโตออกมา
มู่เฉียนซีกล่าว “เซี่ยฉียังอายุไม่ถึงสิบแปดปี ต่อให้มันลามกมากเพียงใด ก็คงไม่ใจร้อนลงมือทำอันใดก่อน ฉะนั้นตอนนี้เซี่ยฉียังปลอดภัย”
“ขอเพียงแน่ใจว่าเซี่ยฉียังปลอดภัย พวกเราชิงตัวมาก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าขาดสติเช่นนี้ ทำให้ข้าผิดหวังมาก”
เซียวโม่กล่าว “ใช่! สหายเย่ ตอนนี้พลังความแข็งแกร่งของเจ้าเป็นถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก เจ้าเมืองของเมืองแห่งความโกลาหลผู้นั้นมีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุด คิดจะฆ่าเขานั้น มันไม่ง่าย แต่การจะชิงตัวคนคนหนึ่งมานั้น มันไม่ยาก!”
คำพูดของมู่เฉียนซีและเซียวโม่ทำให้เย่เฉินได้สติขึ้น
ใช่! ในตอนนี้เขาไม่ใช่สวะไร้ประโยชน์ผู้ที่ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญผู้นั้นอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะฆ่าล้างทำลายเมืองแห่งความโกลาหลได้ แต่การจะช่วยเซี่ยฉีออกมามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ข้าจะออกเดินทางไปเมืองแห่งความโกลาหลเดี๋ยวนี้”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามาอยู่ในทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่แห่งนี้ระยะหนึ่งแล้ว ยังไม่เคยไปเมืองแห่งความโกลาหลเลย เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!”
กู้ไป๋อีกล่าว “ข้าจะอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่”
ในใจของเย่เฉินรู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขาไม่ใช่ไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์แน่นอน แต่เพื่อไปช่วยเขา
เรื่องการปลอบใจตัวเอง เย่เฉินก็ไม่ได้น้อยหน้าผู้ใดเช่นกัน เขาพยักหน้าพลางกล่าว “ดี!”
พวกเขาออกเดินทางกลางดึกสงัด และในที่สุดพวกเขาก็ได้มาถึงเมืองแห่งความโกลาหล เมืองแห่งความโกลาหลนี้เป็นเมืองที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่แห่งนี้
การก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถเรียกว่าเมืองได้แล้ว เพราะมันเหมือนเป็นแคว้นแคว้นหนึ่งมากกว่า
จากขนาดของเมืองเมืองเดียว พวกเขาก็ได้รู้ว่าเมืองแห่งความโกลาหลนี้แตกต่างไปจากเมืองที่เป็นกองกำลังระดับสองที่พวกเขายึดครองมาได้เหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากตอนนี้เป็นยามดึกสงัด เมืองทั้งเมืองจึงได้ปิดลงแล้ว
มังกรคลั่งอย่างเย่เฉินในตอนนี้แทบอยากจะพุ่งเข้าไปทุบประตูเมืองให้พังทลายลงก็มิปาน
โชคดีที่เซียวโม่มือไวตาไวจับเขาเอาไว้ได้ เขากล่าว “สหายเย่ พวกเรามาช่วยคนนะ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้สิ อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่างแล้ว รออีกหน่อยเถอะ!”
สำหรับเย่เฉินแล้ว การรอคอยเพียงแค่ลมหายใจเดียวก็ทรมานมากแล้ว
“รอเหรอ ข้ารอไม่ไหวแล้ว…”
แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี นางกล่าว “เย่เฉิน หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะทนที่จะฆ่าเจ้าไม่ไหวแล้วนะ”
จิตสังหาร แววตาของมู่เฉียนซีฉายแววจิตสังหารออกมาอย่างแท้จริง
“ข้าวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียอย่างชัดเจนแล้ว เจ้ายังสงบจิตสงบใจไม่ได้อีกเหรอ”
เย่เฉินกล่าว “ตอนนี้เซี่ยฉียังไม่มีอันตราย แต่นางต้องตกใจและหวาดกลัวมากเป็นแน่ นางต้องเสียใจมากเป็นแน่ ขะ…ข้าไม่อาจรอได้แม้แต่วินาทีเดียว…”
“นายท่านขอรับ หากเรารักใครสักคนเข้ามาก ๆ แล้วรู้ว่านางมีอันตรายเช่นนี้อีก ขะ…ข้า…ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้จริง ๆ ขอรับ”
“หากนายท่านผิดหวังในตัวข้า นายท่านก็ฆ่าข้าซะเถอะ แต่ข้าขอร้องนายท่าน โปรดช่วยเซี่ยฉีด้วย”
เย่เฉินเป็นเช่นนี้มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง หากว่าเป็นนาง…
นางจะเป็นเช่นไร ในครั้งที่ท่านอาเล็กถูกจับตัวไป ถึงแม้ว่านางจะระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา แต่ก็ไม่ถึงขนาดสมองขาดความคิดเหมือนกับเย่เฉินเช่นนี้ ส่วนจิ่วเยี่ย…
จิ่วเยี่ยวิปริตเช่นนั้น นอกจากคำสาปแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายได้
ดวงตาของกู้ไป๋อีเคร่งขรึมลงเล็กน้อย หากรักใครสักคนเข้ามาก ๆ จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งมาถึงจุดนี้ได้เลยเหรอ
หากเป็นนาง…หากว่านางมีอันตราย เขาจะเป็นไร
เมื่อก่อนกู้ไป๋อีไม่เคยเข้าใจพฤติกรรมของเย่เฉินเลย ทว่า ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “เย่เฉิน หากเจ้ายังอยากจะช่วยชีวิตเซี่ยฉีอยู่ละก็ เจ้าก็ต้องฟังคำสั่งของข้า ห้ามขัดคำสั่งเด็ดขาด!”
“มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้เหยียนเซี่ยฉีตายไปพร้อมกับเจ้า!”
มู่เฉียนซีเอาเหยียนเซี่ยฉีมาขู่บังคับเย่เฉินเช่นนี้ เย่เฉินจะกล้าขัดคำสั่งของนางได้อย่างไรกันเล่า
เขากล่าว “ข้าจะฟังคำสั่งนายท่านทุกอย่างขอรับ”
“เชื่อฟังก็ดีแล้ว ตอนนี้…”
เข็มยาเข็มหนึ่งแทงเข้าที่คอของเย่เฉิน
จากนั้นเย่เฉินรู้สึกว่าตนเองรู้สึกง่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับไป
“พักผ่อนก่อนเถอะ มิเช่นนั้นฟ้าสว่างมาก็คงจะหมดแรงไปก่อนแน่”
เซียวโม่กล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าสหายเย่จะรู้สึกรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้!”
เช้าวันต่อมา เย่เฉินก็ตื่นขึ้น
หลังจากมู่เฉียนซีฉีดยาให้เขาเข็มหนึ่งเพื่อให้เขาได้หลับไป ตอนนี้เขาก็ได้ใจเย็นลงแล้ว
“นายท่าน เมื่อคืนข้าขาดสติไปแล้ว” เย่เฉินกล่าวเสียงขรึม
มู่เฉียนซีกล่าว “เมื่อคืนข้าก็พูดกับเจ้าแรงไปเหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้จิตใจของเจ้าสงบลงแล้ว ฟ้าก็สว่างแล้ว พวกเราเข้าเมืองไปหาข่าวของจวนเจ้าเมืองกันเถอะ!”
“ขอรับ!”
หลังจากที่จ่ายหยกวิญญาณไปบางส่วน พวกเขาก็เดินเข้าเมืองได้อย่างสบาย
ทันทีที่เข้าเมือง พวกเขาก็พบว่าบรรยากาศในยามเช้าของเมืองแห่งความโกลาหลนี้ครึกครื้นมาก
“นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองรับสนมเข้ามาอีกแล้ว”
“นายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองรับสนมใหม่มันจะเป็นเรื่องแปลกอันใด รับสนมไม่เว้นแต่ละวันเช่นนั้น ข้ารู้สึกชินแล้วล่ะ”
“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ นะ ครั้งนี้นายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองจะจัดงานเลี้ยงให้กับสตรีผู้งดงามผู้นั้นด้วย เรื่องเช่นนี้ไม่ได้มีมานานมากแล้วนะ”
“ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เจ้าสาวของนายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองรอให้ไปสู่ขออยู่ที่เรือนเนี่ยนะ!”
เดิมทีพวกเขาจะเข้าเมืองมาเพื่อสืบข่าว กลับคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่นายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองรับสนมจะก่อให้เกิดความโกลาหลดั่งเช่นชื่อเมืองเช่นนี้
ตราบใดที่พวกเขายังเดินอยู่ตามตรอกซอยถนน ก็จะได้ยินการสนทนาแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา และได้รู้เรื่องที่พวกเขาอยากรู้อีกด้วย
เซียวโม่กล่าว “นี่คงจะไม่ใช่กับดักหรอกกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่เหมือนเลยสักนิด นี่คงจะไม่ใช่กับดัก อีกอย่างนายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองนั่นก็มีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป คงไม่คิดว่าจะมีผู้ใดกล้ามาแย่งคนคืน!”
เย่เฉินกล่าวถามว่า “นายท่านมีแผนการเช่นไรขอรับ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราแบ่งออกเป็นสองฝ่าย เย่เฉินกับเซียวโม่ไปตามหาเรือนหลังนั้น ช่วยเซี่ยฉีออกมา และออกไปจากเมืองแห่งความโกลาหลนี้ให้เร็วที่สุด”
“ส่วนข้ากับเสี่ยวไป๋จะไปลงมือกับนายน้อยนั่น และจะดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือในเมืองแห่งความโกลาหลเอง”
เย่เฉินกล่าว “เช่นนี้นายท่านจะมีอันตรายหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ครั้งตอนที่ไปเทือกเขาหนานอวิ๋น ข้าก็ไม่เป็นอะไร เมืองเล็ก ๆ ของกองกำลังระดับสองนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เสี่ยวไป๋ เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่มีทางให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายคุณหนูใหญ่ได้เด็ดขาด”
ทางด้านของจวนเจ้าเมือง เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น ดูเหมือนว่านายน้อยแห่งจวนเจ้าเมืองผู้นั้นจะออกไปรับสนมแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “ได้เวลาแล้ว ลงมือเถอะ!”
“ขอรับ!”
.
.