“พวกเราได้ล้อมเมืองแห่งความโกลาหลเอาไว้แล้ว เพราะการต่อสู้ครั้งนี้พวกเราชนะ ในทุ่งรกร้างจึงมีผู้คนมาพึ่งพาพวกเรามากมาย”
“มียอดฝีมือมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ รอให้เมืองแห่งความโกลาหลถึงช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าที่สุด พวกเราจะบุกโจมตีเมือง!” เย่เฉินกล่าวตอบ
มู่เฉียนซีกล่าว “การยืดเวลาพวกเขาออกไปเช่นนี้ มันเสียเวลาไปสักหน่อย รีบจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้เพื่อเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอื่นใดอีก ”
“เช่นนั้นข้าจะแจ้งให้พวกเขาทราบ และเริ่มต้นสงครามล้อมเมืองเดี๋ยวนี้!”
มู่เฉียนซีกล่าว “สงครามล้อมเมือง มันสิ้นเปลืองกำลังคนมากเกินไป ยังพอมีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่?”
เย่เฉินกล่าว “ข้าไม่ได้ฉลาดเฉลียวเท่านายท่าน ข้าคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะมีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้ ขอนายท่านชี้แนะด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าวกับเย่เฉินสามคำ “ลอบสังหาร!”
“ลอบสังหาร!” ดวงตาของเย่เฉินเป็นประกาย
“แต่ในเมืองเย่เซี่ยของข้า กลับมีไม่กี่คนที่เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร”
มู่เฉียนซียิ้ม “มู่อี แจ้งเสี่ยวชีเตรียมตัวให้พร้อม คนสนิทของเจ้าเมืองแห่งความโกลาหล อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ส่วนเจ้าเมืองผู้นั้นเก็บไว้เป็นคนสุดท้าย”
“มู่เอ้อร์!”
“ขอรับนายท่าน!”
“ทุ่งรกร้างเป็นฐานที่มั่นในทางทิศตะวันออกของหอหมอปีศาจและตระกูลมู่ ดังนั้นเจ้าเมืองเย่จึงควรรู้อะไรบางอย่าง เจ้าบอกกับเขาเถอะ! ข้าจะไปพักต่อ”
“นานท่านพักผ่อนและดูแลสุขภาพให้ดีเถิด!”
“นายท่าน ท่านไปพักผ่อนเถอะ! เรื่องพวกนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง และข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ”
การลอบสังหารของหอหมอปีศาจได้เริ่มขึ้นแล้ว ยอดฝีมือจากเมืองแห่งความโกลาหลถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ
คนเหล่านั้นตายโดยไม่มีแม้แต่การส่งเสียงร้องเป็นครั้งสุดท้าย
เหตุการณ์ได้ทยอยเกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เจ้าเมืองอันได้เปลี่ยนทั้งจวนเจ้าเมืองให้กลายเป็นกำแพงเหล็กจนแม้แต่ยุงสักตัวเดียวก็ไม่สามารถบินเข้ามาได้
เขาโกรธจนตัวสั่น “บ้าเอ๊ย! พวกมันกลับก้าวร้าวถึงเพียงนี้”
“อย่าคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วข้าจะกลัวพวกเจ้า”
การลอบสังหารของเมืองแห่งความโกลาหลยังคงไม่หยุดหย่อน อาการบาดเจ็บของมู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีได้รับการพักฟื้นอย่างดีแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าวางแผนที่จะไปเมื่อไร?”
กู้ไป๋อีมีแววตาหม่นหมอง เขากล่าวถามขึ้น “คุณหนูใหญ่จะไล่ข้าออกไปหรือ”
“ความแข็งแกร่งของเจ้าฟื้นฟูแล้ว ข้าก็ต้องทำตามข้อตกลงของข้าเช่นกัน และข้าก็ไม่สามารถรั้งใครเอาไว้ได้!”
“ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของข้าจะกลับคืนสู่จุดสูงสุด แต่ถ้าคุณหนูใหญ่ร่วมมือกับชิงอิ่ง ข้าก็สามารถอยู่ต่อได้”
ในชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องการเอาแต่ใจ
เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาเพียงแค่ต้องการปกป้องคน ๆ เดียว
ทันใดนั้นชิงอิ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “มีข้าอยู่แค่นี้ก็พอแล้ว”
สัญชาตญาณของเขาต่อต้านกู้ไป๋อี เขาอยากจะให้เจ้าหมอนี่ไสหัวไปไกล ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าดูสิ ชิงอิ่งก็ยังไม่เห็นด้วย!”
กู้ไป๋อีกล่าว “ชิงอิ่งเป็นหุ่นเชิดของคุณหนูใหญ่ ขอเพียงเจ้าออกคำสั่ง เขาก็ต้องฟัง”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “สายตาของเสี่ยวไป๋ไม่เลวเลย เจ้าดูออกหมดทุกอย่างแล้ว”
กู้ไป๋อีกล่าวตอบ “เขาเป็นหุ่นเชิดที่แตกต่างจากหุ่นเชิดที่ข้าเคยเห็นมา แต่ข้าสังเกตมาหลายวันแล้ว ย่อมสามารถยืนยันบางอย่างได้อย่างแน่นอน”
“ชิงอิ่งไม่ตอบตกลง ข้าเองก็ฝืนไม่ได้!”
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างจนปัญญา “ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะไม่อยากให้ข้าอยู่ รอจนคุณหนูใหญ่ทำให้เมืองรกร้างนี่สงบแล้ว ข้าจะจากไป”
เขาต้องไป!
ทั้งที่เขากีดกันหวงจิ่วเยี่ยโดยบอกว่าหวงจิ่วเยี่ยก่อให้เกิดอันตรายกับนาง แต่เขาเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ?
เขาก็ต้องกลับไปตรวจสอบการล่มสลายของสามตระกูลโอสถและยังมีเรื่องของสำนักขวางโซ่วอีก เมื่อไหร่กันที่ตำหนักเป่ยหานจะถูกเขาชี้นำ
มู่เฉียนซียิ้ม “ได้สิ! ด้วยยอดฝีมือขั้นสูงสุดอย่างเจ้า พวกเราอยู่ไม่ไกลจากการกวาดล้างทุ่งรกร้างแห่งนี้แล้ว”
“ต่อไป พวกเราไปเดินเล่นที่เมืองแห่งความโกลาหลกันเถอะ!”
เนื่องจากการลอบสังหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมืองแห่งความโกลาหล ดังนั้นเจ้าเมืองอันจึงได้ปิดล้อมเมืองแห่งความโกลาหลไปนานแล้ว
ตอนนี้ไม่มีใครสามารถเข้าสู่เมืองแห่งความโกลาหลได้
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มค้นหาและเตรียมจับตัวฆาตกรเหล่านั้นตลอดทาง
แต่พวกเขาซ่อนตัวได้ดีมาก ทำให้ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง
กำแพงเมืองแห่งนี้สามารถสกัดกั้นยอดฝีมือธรรมดาเอาไว้ได้ แต่สำหรับยอดฝีมือระดับสูงอย่างกู้ไป๋อีแล้ว มันช่างไร้ประโยชน์นัก
กู้ไป๋อีพามู่เฉียนซีเข้าไปในเมืองแห่งความโกลาหล ไม่นานก็มาถึงฐานที่มั่นของพวกเขา เงาร่างสีดำหลายร่างก็กระโจนลงมา
“นายท่าน!”
“ท่านผู้นำตระกูล!”
ผู้ที่นำหน้าคือเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี เด็กหนุ่มคนนี้ดูงดงามมาก ดวงตาดำขลับคู่นั้นซ่อนจิตสังหารที่ทำให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฆาตกร
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวชี ยังเหลืออีกเท่าไหร่!”
“ยังมีอีกสิบคน!”
มู่เฉียนซีกล่าว “คืนนี้ข้าจะจัดการทุกอย่างให้หมด เสี่ยวชีตามข้าไปที่จวนเจ้าเมือง เพื่อเอาชนะท่านเจ้าเมืองอันผู้นั้นซะ”
เจ้าเมืองอันนั้นกลัวตายมาก
เมื่อเห็นคนสนิทตายอย่างเงียบเชียบ เขาก็กลัวว่าโชคชะตาจะมาเยือนเขา
คนกลุ่มนั้นราวกับภูตแห่งแดนนรกก็มิปาน เขามิอาจหลบหนีได้
ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร พวกเขาก็มีวิธีฆ่าคนของเขา
เงาร่างหลายร่างแอบย่องเข้าไปในลานบ้านแห่งหนึ่งในเมืองแห่งความโกลาหลอย่างเงียบเชียบ บนเตียงมีชายหน้าซีดผู้หนึ่งนอนอยู่
เขาเบิกตากว้างมองไปยังสาวงามไร้เทียมทานตรงหน้า
ในเวลานี้เขาไม่ได้ละโมบในความงามอีกต่อไป แต่เป็นความโกรธและหวาดกลัว
“เจ้า…เจ้าเข้ามาได้อย่างไร? เจ้า…ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามาเอง ย่อมต้องมาเอาชีวิตเจ้าอย่างแน่นอน!”
เข็มยาของมู่เฉียนซียังไม่ทันได้แสดงพิษสง เสี่ยวชีก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ข้าเอง!”
ดาบเดียวสิ้นชีวิต อย่าได้มากความ
เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากอันเหรินดังขึ้น เจ้าเมืองอันย่อมสังเกตเห็นได้จากด้านนี้ เขาพาคนมาล้อมไว้สามชั้นนอกสามชั้นใน
มู่เฉียนซีและคนอื่น ๆ เดินออกไปอย่างใจเย็น เจ้าเมืองอันกล่าวขึ้นว่า “เป็นเจ้า…เป็นพวกเจ้านั่นเอง…”
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปที่ผู้คนรอบ ๆ เหล่านี้และกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองอัน ท่านแน่ใจหรือว่าคนกลุ่มนี้จะหยุดพวกเราได้?”
เจ้าเมืองอันสั่นสะท้าน ไม่ได้! เขาไม่อาจหยุดมันได้!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คืนนี้ยังไม่ถึงตาของท่านเจ้าเมืองอัน หากเจ้าไม่ปล่อยให้พวกเขาลงมือละก็ เช่นนั้นคืนนี้พวกเราจะปล่อยให้เจ้าตาย”
ช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก ฆ่าคนที่จวนเจ้าเมืองของพวกเขา แต่กลับยังให้พวกเขาหลีกทางให้อย่างเปิดเผย เจ้าเมืองอันโกรธจนกระอักเลือดออกมา
แต่เขารู้ว่าพวกนางไม่ได้ล้อเล่นอย่างแน่นอน!
เจ้าเมืองอันกล่าว “หลีกทางไป ทั้งหมดถอยออกไปแล้ว!”
มู่เฉียนซีและคนอื่น ๆ ออกจากจวนเจ้าเมืองอย่างเปิดเผย เจ้าเมืองอันไม่คิดยอมแพ้ เขาต้องการที่จะรวบรวมยอดฝีมือที่เหลืออยู่ในมือของเขา
แต่เขากลับได้รับเรื่องที่ทำให้เขาต้องแตกสลาย นั่นคือในคืนนี้ คนพวกนั้นถูกลอบสังหารไปทั้งหมดแล้ว
พรวด! เจ้าเมืองอันกระอักเลือดออกมาทันทีและดวงตาคู่นั้นก็มืดดับลงไป
เมืองแห่งความโกลาหลในตอนนี้ ได้เหลือเจ้าเมืองเพียงคนเดียวไม่มีใครช่วยแล้ว เมืองอื่น ๆ ล้วนแต่ต้องการที่จะบุกมาทำลายล้างแล้วยึดมัน
แต่ด้วยคำนึงถึงเมืองเย่เซี่ยที่วิปริตนั่นจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เจ้าเมืองอันที่ได้สติขึ้นมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขากล่าวว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ”
.
.