เจ้าเมืองอันได้ประกาศไปทั่วทั้งทุ่งรกร้างว่าเขาได้ยอมจำนนแก่เมืองเย่เซี่ย
ใช่แล้ว! ยอมจำนน!
จ้าวแห่งทุ่งรกร้างที่อยู่ตระหง่านมานับพันปีได้ยอมจำนนแก่เมืองเย่เซี่ย อีกทั้งยังเป็นฝ่ายที่เข้าไปยอมจำนนเองด้วย
ทุกคนต่างเกิดความโกลาหลขึ้นมาและรู้สึกได้ถึงความเหลือเชื่อ
เจ้าเมืองอันเองก็โล่งอกไปหนึ่งเปราะ ในที่สุดความอดกลั้นอย่างยาวนานก็ได้สิ้นสุดลงหลังจากที่เขาประกาศเรื่องนี้ออกไป
เขาไม่อยากตาย มีเพียงแต่ยอมฟังคำสั่งเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้
เขายังคงเป็นเจ้าเมืองของเมืองแห่งความโกลาหลอยู่เช่นเดิม เย่เฉินมิได้ฆ่าเขาแต่ทว่าได้ควบคุมเขาเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากนั้นเย่เฉินก็ได้ประกาศเตือนต่อเมืองใหญ่ต่าง ๆ ในเมืองแห่งความโกลาหล
จะยอมจำนนหรือจะถูกลบล้าง ให้พวกเจ้าเลือกเอาเอง!
เมืองแห่งความโกลาหลยอมจำนนแล้ว ไหนเลยที่พวกเมืองเล็ก ๆ เหล่านั้นจะกล้าต่อต้าน เช่นนั้นแล้วจึงพากันยอมจำนนไปไม่น้อย
สำหรับผู้ที่ไม่ยอมจำนน การปฏิบัติการลอบสังหารที่น่ากลัวนั้นเจ้าเมืองแห่งความโกลาหลไม่อาจที่จะแบกรับเอาไว้ได้ และแน่นอนว่าผู้อื่น ๆ ก็ไม่สามารถที่จะแบกรับเอาไว้ได้เช่นกัน
เมืองเย่เซี่ยนั้นมีผู้แข็งแกร่งที่ลึกลับถึงสองคน และพลังความสามารถนั้นก็มากเกินกว่าระดับมหาจักรพรรดิขั้นที่หก
เมืองเย่เซี่ยมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน การถูกเหล่าสัตว์รุมโจมตีมิใช่สิ่งที่บุคคลทั่วไปจะสามารถรับได้ไหว
ทั้งพิษและยาเม็ดของเมืองเย่เซี่ยยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึงเข้าไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นพลังอันน่ากลัวของเมืองเย่เซี่ยหรือการที่ไม่สามารถอดทนต่อแรงจูงใจของยาเม็ดได้ เมืองใหญ่ต่าง ๆ ในทุ่งรกร้างได้พากันมายอมจำนนถึงสองสามเมืองติด ๆ
พื้นที่แห่งนี้โกลาหลวุ่นวายนัก หากเย่เฉินต้องการที่จะควบคุมทั้งหมดเอาไว้จะต้องใช้พละกำลังอย่างมหาศาลเป็นแน่
แต่ทว่าเขากลับยินดีจะยอมรับมันเอาไว้ เห็นอยู่ชัดเจนว่าเมื่อก่อนหน้าไม่นานมานี้เขายังไม่มีกำลังเลยแม้แต่น้อย แต่มาตอนนี้เขามีความสามารถที่จะปกป้องผู้ที่ตนเองรักใคร่ได้แล้ว เช่นนี้แล้วจะไม่ทำสุดความสามารถได้หรือ?
มู่เฉียนซีเป็นเถ้าแก่ที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก เรื่องที่ยุ่งยากก็ได้โยนให้เย่เฉินและมู่อีจัดการไปเสีย
ส่วนนางน่ะเหรอ นางก็ไปฝึกฝนอย่างเอื่อยเฉื่อยสบายใจ
มู่เฉียนซีมองไปทางกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ ให้ข้าได้ขอคำแนะนำจากพลังความสามารถของมหาจักรพรรดิยอดยุทธิ์ขั้นที่เก้าสักหน่อยเถอะ!”
กู้ไป๋อีถามกลับ “คุณหนูใหญ่แน่ใจ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่แล้ว! แน่ใจ แต่ทว่าต้องมีชิงอิ่งเข้าร่วมด้วย ไม่ว่าเจ้าจะแพ้หรือว่าชนะ ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าอยู่ต่อ”
“และแน่นอนว่ายังต้องมีเสี่ยวหงกับอู๋ตี้ด้วย!”
มู่เฉียนซีได้อัญเชิญเสี่ยวหงและอู๋ตี้ออกมา แต่ทว่าอู๋ตี้นั้นกลับไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก
“โอย! ทำไมต้องระเบิดไอ้บัดซบนั่นด้วย แก่นวิญญาณสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดของข้า อาหารของข้า”
เมื่ออู๋ตี้ได้พบเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับสูงกว่าตนเอง มันมิได้เกรงกลัวพวกมัน แต่มันกำลังเฝ้ามองแก่นวิญญาณของพวกนั้น
ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบเจ้าตัวที่มีระดับสูง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าผู้เป็นนายของมันจะระเบิดมันทิ้งเสีย
มู่เฉียนซีแสยะมุมปากเล็กน้อยแล้วกล่าว “แมลงป่องนั้นมีพิษร้าย เจ้ากัดแก่นวิญญาณของมันเข้าไปก็เกรงว่าจะทำให้ท้องไส้เจ้าพังเข้า”
เสี่ยวหงเองก็กล่าว “เจ้าตะกละนี่ ช่างไม่คิดชีวิตเลยจริง ๆ”
มู่เฉียนซีโบกมือแล้วกล่าว “เอาล่ะ! พวกเราทั้งสี่ร่วมมือกันต่อสู้กับยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งให้ดีสักครานึงเถอะ!”
“โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก!”
“ได้!”
ตูม!
พลังอันน่าหวั่นพรึงได้ระเบิดขึ้นกลางเมืองเย่เซี่ย
เจตจำนงกระบี่อันเย็นเยียบนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกตัวสั่น
เมืองที่มีระยะห่างออกไปไกลจากเมืองเย่เซี่ยก็ยังสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงพลังนี้
เมืองเย่เซี่ยมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมากผู้หนึ่ง พวกเขาไม่อาจที่จะไปล่วงเกินได้อย่างแน่นอน
พลังของกู้ไป๋อีคมกริบเหมือนดั่งกระบี่ ส่วนชิงอิ่งนั้นถึงแม้ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งแต่กลับนิ่งสงบราวกับท่อนไม้ก็มิปาน
ปัง ปัง ปัง!
ณ สถานที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก มีเงาร่างหลายเงาร่างกำลังพุ่งผ่านไป
“กลิ่นอายนั้น เป็นกลิ่นอายของท่านกู้”
“เจตจำนงกระบี่นี้ไม่ผิดแน่ ในที่สุดก็พบตัวท่านกู้เข้าแล้ว”
“……” พวกเขาใช้ความรวดเร็วในระดับที่เร็วที่สุดมุ่งหน้าไปยังเมืองเย่เซี่ย
หลังจากที่ได้เข้าไปในขอบเขตที่พวกมู่เฉียนซีต่อสู้กันอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นว่ามีคนนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาล้อมท่านกู้ผู้สูงศักดิ์ของพวกเขาอยู่ พวกเขาจึงได้รีบพุ่งเข้าไป
“บังอาจ!”
ไม่ทันรอให้พลังของพวกเขาเข้าใกล้มู่เฉียนซี กระบี่นั้นก็ป้องกันการโจมตีของพวกเขาเอาไว้
เสียงอันเย็นยะเยือกได้ลอยมา “พวกเจ้ามาแล้ว”
ท่านกู้กลับป้องกันการโจมตีของพวกเขาเอาไว้ เสียงอันเย็นยะเยือกนั้นทำให้จิตใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้ง
พวกเขาลงจากกลางอากาศมาสู่พื้นอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวขึ้น “ท่านกู้!”
กู้ไป๋อีขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายังไม่ได้ตัดสินใจที่จะจากไป แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขา
น้อยนักที่ท่านกู้จะเผยอารมณ์ออกมา แต่การแสดงออกมาเพียงเล็กน้อยนี้กลับทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาได้ทำให้ท่านกู้โกรธเข้าเสียแล้ว
พวกเขาทำอะไรผิดไปกันแน่?
“พวกเจ้ามาทำอะไร?” กู้ไป๋อีถามขึ้น
“ช่วงที่ผ่านมาท่านกู้ไม่อยู่ ท่านผู้อาวุโสก็ยิ่งอาละวาดหนักขึ้นเรื่อย ๆ พวกเรามาเชิญให้ท่านกลับไปควบคุมดูแล” หนึ่งในพวกนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
สีหน้าของกู้ไป๋อีเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก เขากล่าว “ข้ารู้แล้ว”
ผู้อาวุโสได้ทำลายล้างสามตระกูลนักปรุงยาไป และด้วยนิสัยของเด็กสาวผู้นี้หากต่อไปในภายหน้าเย่เฉินต้องการที่จะเผชิญหน้ากับท่านผู้อาวุโส นางจะไม่นั่งนิ่งดูดายแน่
ดังนั้นแล้วจะให้พวกเขาแข็งแกร่งต่อไปเช่นนี้ไม่ได้ เขาควรที่จะกลับไปแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เสี่ยว…”
เมื่อคิด ๆ ดูแล้วลูกสมุนของเขาก็อยู่ที่นี่ อย่างไรเสียก็อย่าได้ทำให้เขาขายหน้าเกินไปนัก
ตอนนี้เขาเป็นยอดฝีมือสูงสุดแห่งโลกทั้งสี่ทิศ มู่เฉียนซีจึงได้เปลี่ยนคำเรียกขาน “ไป๋อี!”
แม้แต่คำเรียกขานนี้ก็ยังทำให้คนเหล่านั้นหวาดกลัวอย่างที่สุด สตรีผู้นี้กลับกล้าเอ่ยนามท่านกู้เช่นนี้
“เจ้าจะไปแล้ว?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
กู้ไป๋อีพยักหน้าตอบ “ในเมื่อพวกเขามาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ควรไปแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่เป็นของที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เจ้านำมันไปด้วยเถอะ!”
มู่เฉียนซีนำแหวนแห่งมิติออกมาวงหนึ่ง กู้ไป๋อีนั้นไม่ต้องดูเลยก็รู้ว่าของที่อยู่ด้านในนั้นคืออะไร”
มันคือยาเม็ดที่นางถนัดที่สุดพร้อมด้วยยาพิษ
ตั้งแต่ที่ได้กินโอสถของนางมาแล้วเขาก็รังเกียจโอสถของที่อื่นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมิได้ปฏิเสธไป
แต่ทว่า…
กู้ไป๋อีชำเลืองมองไปยังพวกเขาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วกล่าวขึ้น “พวกเจ้านำแหวนมิติออกมา ทั้งหมดจงนำมันออกมา”
คนเหล่านั้นสับสนกันไปหมด ท่านกู้รับของกำนัลจากสตรีผู้นี้ก็ไม่มีอะไร แต่จะมาเอาแหวนแห่งมิติของพวกเขาทำไม?
แต่เมื่อเป็นคำสั่งของท่านกู้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเกิดความสงสัย เชื่อฟังและทำตามก็พอแล้ว
รอจนเมื่อพวกเขาส่งมอบแหวนมิติออกมา กู้ไป๋อีก็ได้นำสมุนไพรวิญญาณที่อยู่ในนั้นออกมา นี่เป็นสิ่งที่นางชอบเป็นที่สุด
แม้ว่าของสะสมของพวกเขาแต่ละคนจะไม่เท่าไร แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นถึงมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นสูง ก็ยังนับได้ว่าพอมีอะไรอยู่บ้าง
จากนั้นก็ได้นำแก่นวิญญาณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิดออกมา แก่นวิญญาณเหล่านี้สามารถเพิ่มระดับขั้นให้แก่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของนางได้
อู๋ตี้ร้องเสียงแหลมขึ้นมา “ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าเป็นคนดี ข้านี่รักเจ้ายิ่งนัก”
เมื่ออู๋ตี้เห็นแก่นวิญญาณเข้ามันก็ไร้ซึ่งการควบคุมตนเองใด ๆ ทั้งสิ้น มันกลับกล้าบอกรักกับกู้ไป๋อีไปอีก
ส่วนลูกสมุนเหล่านั้นของกู้ไป๋อีก็ได้กลายเป็นก้อนศิลาไปเสียแล้ว
ท่านกู้…ท่านกู้ นี่ท่านกำลังปล้นชิงกันนี่!
ท่านไปเรียนรู้ที่จะปล้นชิงมาตั้งแต่เมื่อไรกัน!
หลังจากที่กู้ไป๋อีปล้นชิงลูกสมุนของตนเองอย่างเปิดเผย สีหน้าของกู้ไป๋อีก็ยังคงเย็นยะเยือกอยู่เช่นเดิมและได้โยนแหวนมิติคืนให้แก่พวกเขาไป
มุมปากของมู่เฉียนซีแสยะออกเล็กน้อย ดูเหมือนว่า…ดูเหมือนว่ากู้ไป๋อีนั้นจะถูกนางพาให้เสียคนเข้าเสียแล้ว
แต่เมื่อมองดูสมุนไพรวิญญาณตรงหน้าเหล่านี้ นางชอบมันเป็นอย่างมาก ก็เลยถือเอาพวกมันเป็นค่าโอสถที่เสี่ยวไป๋จ่ายมาก็แล้วกัน!
แก่นวิญญาณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นอู๋ตี้ไม่ยอมที่จะคืนกลับไป
เมื่อถูกผู้เป็นนายของตนปล้นชิงไปพวกเขาเองก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักคำ จึงได้แต่กล่าวสะกดจิตตนเองว่า จะต้องเป็นภาพลวงตา ท่านกู้ผู้สูงศักดิ์จะมาปล้นชิงพวกเราได้อย่างไรเล่า?
ในที่สุดเขาก็กำลังจะไปแล้ว สิ่งของที่เขานำติดตัวมานั้นได้ถูกฟ้าผ่าเสียจนหมดสิ้นไปแล้ว จะมีเหลือก็เพียงแค่ป้ายตราคำสั่งป้ายหนึ่งเท่านั้น
เขานำป้ายตราคำสั่งนั้นออกมาแล้วกล่าว “ซีเอ๋อร์ ป้ายตราคำสั่งนี้เจ้ารับเอาไว้! ถ้าหากพบเจอความวุ่นวายบางทีมันอาจจะช่วยเจ้าได้”
ในตอนนี้พวกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนั้นแทบตาถลนออกมาจากเบ้า
“ท่านกู้…ท่านกู้ นั่น…นั่นมัน…” พวกเขาล้วนกล่าวติดขัดจนกล่าวอะไรไม่ออก ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
.