“ในเมื่อข้าบอกว่าข้าแก้พิษได้ ก็ต้องแก้ได้แน่นอน” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความมั่นใจ
เฟิงอวิ๋นซิวเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็เกิดความรู้สึกรู้จักมักคุ้นขึ้น
มู่เฉียนซีเอายาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่งและกล่าวว่า “กินซะ!”
ก่อนที่เฟิงอวิ๋นซิวจะรับยาลูกกลอนไป ซวนอีก็ได้ชิงไปก่อนเพื่อตรวจสอบดูว่ามีพิษหรือไม่
หลังจากที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีพิษเขาจึงยื่นให้นายน้อย
ซวนอีกล่าว “ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง”
หากเจ้าหนุ่มผู้นี้คิดจะทำร้ายนายน้อยก็คงจะแอบลงมือไปตั้งนานแล้ว คงไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้หรอก
หลังจากที่เฟิงอวิ๋นซิวกินยาลูกกลอนเม็ดนี้เข้าไป สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาก และไม่ได้เจ็บปวดทรมานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ซวนอีกล่าว “พวกเรารีบไปเมืองโอสถกันก่อนเถอะ เผื่อพวกมันจะย้อนกลับมาอีก”
พวกเขาจะไปแล้ว มู่เฉียนซีก็ต้องสิ้นสุดการฝึกฝนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาลง และเดินทางไปเมืองโอสถกับพวกเขา
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถามว่า “เจ้าชื่ออะไรล่ะ?”
นางคิดชื่อปลอมเอาไว้ตั้งแต่ออกมาจากเมืองเย่เซี่ยแล้ว มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าชื่อมู่หรงเฉียนเยี่ย”
“เฉียนเยี่ย?” เฟิงอวิ๋นซิวพึมพำเสียงต่ำ
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “แล้วเจ้าล่ะ?”
“เฟิงอวิ๋นซิว”
“นายน้อย นี่นายน้อย…”
เฟิงอวิ๋นซิวบอกชื่อจริง ๆ ของตนเองออกไป ทำให้ซวนอีรู้สึกแปลกใจมาก
ในแดนตะวันออก มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จักชื่อของนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋อย่างเฟิงอวิ๋นซิว
หึ! เจ้าหนุ่มผู้นี้ได้ยินชื่อของนายน้อยแล้ว แต่ยังทำตัวไม่สุภาพและไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกลับหัวเราะ ก่อนจะกล่าวว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าก็คือนายน้อยอวิ๋นซิว นายน้อยอวิ๋นซิวแห่งตำหนักตงจี๋ อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้วข้าก็รู้สึกเบื่อหน่าย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าวันนี้จะได้เจอตัวเป็น ๆ”
ไร้ซึ่งท่าทีเคารพและศรัทธา อีกทั้งยังกล่าวยั่วเย้านายน้อยอีก ซวนอีและพวกตกใจผงะกันไปอีกคนละรอบ
เฟิงอวิ๋นซิวยิ้มอย่างงดงามพลางกล่าว “ชื่อเสียงเหล่านั้นมันก็เกินความเป็นจริงไปบ้าง แต่พรสวรรค์ของเจ้าก็ไม่ได้น้อยหน้าผู้ใดเหมือนกัน พลังอำนาจการโจมตีของกระบี่ในเมื่อครู่นั้นช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก”
เฟิงอวิ๋นซิวงดงามและสูงศักดิ์ ความปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดของมู่เฉียนซีนั้นกลับทำให้ผู้คนชื่นชอบ แต่ทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก
ตลอดการเดินทาง ซวนอีรู้สึกแปลกใจมาก ถึงแม้ว่านายน้อยจะใจดีกับหลาย ๆ คน แต่ในใจกลับปฏิเสธผู้คน ไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด น้อยนักที่จะชิดใกล้คนแปลกหน้าอย่างจริงจังเช่นนี้
คนที่เข้ามาชิดใกล้นายน้อยเหล่านั้นไม่ใช่เข้ามาเพราะพรสวรรค์ของนายน้อย แต่เป็นเพราะสถานะของนายน้อย และไม่จริงใจทั้งสิ้น
ทว่า ในตอนนี้ได้เห็นทั้งสองคนอยู่ร่วมกัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะปรองดองเข้ากันได้ดีถึงเพียงนี้
ศัตรูวางยาพิษอันร้ายแรงให้กับเฟิงอวิ๋นซิว คงคิดว่าเฟิงอวิ๋นซิวต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางเข้าเมืองโอสถอย่างปลอดภัยไร้ซึ่งนักฆ่าตามไล่ล่า
ครั้นแล้วพวกเขาจึงเข้ามาในเมืองโอสถได้อย่างราบรื่น
ตำหนักตงจี๋มีเงินทองมากและอิทธิพลก็มากด้วยเช่นกัน ดังนั้นเพื่อไม่ทำให้นายน้อยของพวกเขาน้อยหน้าผู้ใด ซวนอีจึงได้เหมาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองโอสถให้กับนายน้อย
ในเมืองโอสถที่ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยยาลูกกลอนแห่งนี้ การเหมาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดเช่นนี้ต้องจ่ายเงินไปไม่น้อย และสิ่งนี้ยิ่งทำให้มู่เฉียนซีตัดสินใจรีดไถพวกเขามากขึ้น
เมื่อมาถึงเมืองโอสถมู่เฉียนซีก็ให้เฟิงอวิ๋นซิวพักฟื้น
มู่เฉียนซีมองไปที่ซวนอี และกล่าวว่า “ท่านองครักษ์ ได้เวลาที่ท่านจะทำตามสัญญาแล้ว ตอนนี้ข้าจะออกไปหาซื้อสมุนไพรวิญญาณสักหน่อย”
“ข้าจะดูแลนายน้อย ซวนเอ้อร์จะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มพลางกล่าว “ได้! ใครไปก็ได้ ขอแค่มีคนจ่ายเงินให้ข้าก็พอแล้ว”
สิ่งที่เมืองโอสถไม่ขาดแคลนนั่นก็คือร้านขายยา มู่เฉียนซีกวาดซื้อแต่ละร้าน สมุนไพรวิญญาณทุกอย่างที่นางชื่นชอบนางไม่ปล่อยให้หลุดมือแม้แต่ต้นเดียว
“เอาต้นนี้ ต้นนี้ แล้วก็ต้นนี้ด้วย…”
“สมุนไพรฝั่งนี้ข้าเหมาหมด”
“……”
ซวนเอ้อร์รู้สึกว่ายิ่งมู่เฉียนซีใช้เงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรเสีย ชีวิตของนายน้อยก็ไม่สามารถวัดได้ด้วยเงินทอง
ก่อนการประมูล ซวนอีได้อยู่เป็นเพื่อนนายน้อยที่กำลังพักฟื้นอยู่ ส่วนซวนเอ้อร์ก็ไปเดินซื้อของกับมู่เฉียนซี
ซวนเอ้อร์แอบวิจารณ์อยู่ในใจว่า ‘เป็นบุรุษ แต่เหตุใดถึงได้ชื่นชอบการซื้อของเช่นนี้นะ’
ในคืนก่อนการประมูล ซวนอีเริ่มนับทรัพย์สินของพวกเขา แต่กลับพบเรื่องที่ทำให้รู้สึกพังทลายเป็นอย่างยิ่ง
เขาชี้ไปที่ซวนเอ้อร์และกล่าวดุด่าว่า “นี่เจ้าเป็นหมูเหรอ เขาอยากซื้อสิ่งใดเจ้าก็ให้ซื้อ แล้วนี่จ่ายไปจนหมดเจ้ายังไม่รู้ตัวอีก”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซวนอีได้เห็นคนที่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้ เพียงเวลาแค่ไม่กี่วัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะใช้เงินที่พวกเขานำมาจนหมดเกลี้ยง
ซวนเอ้อร์ก็รู้สึกกล้ำกลืนเช่นกัน “ก็พวกเรารับปากเขาแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ อีกอย่าง ชีวิตของนายน้อยพวกเราก็มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมาก”
สีหน้าของซวนอีดำคล้ำด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้า……”
“พวกเรามาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะมาประมูล และในการประมูลก็มีของที่นายน้อยต้องการอยู่ เจ้าเอาทรัพย์สินของพวกเราใช้จ่ายไปจนหมดเกลี้ยงแล้วนายน้อยจะเอาทรัพย์สินที่ไหนไปประมูลของชิ้นนั้นกันเล่า”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตำหนักตงจี๋ก็เป็นกองกำลังระดับสาม อวิ๋นซิวก็เป็นถึงนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ นึกไม่ถึงเลยว่าจะนำทรัพย์สินติดตัวมาเพียงแค่นี้ อับจนเกินไปแล้วกระมัง ดูท่าการประมูลครั้งนี้คงจะไม่มีคนจ่ายแล้วสิ”
“นี่เจ้า เจ้ายังมีหน้ามาพูดจาเช่นนี้อีกเหรอ หากไม่ใช่เพราะเจ้า…” ซวนอีโกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้ว
“นายน้อย จะทำเช่นไรดีขอรับ?” ซวนอีกล่าวถาม
“ข้ายังมีอาวุธวิญญาณขั้นสวรรค์อยู่หลายชิ้น เอาไปส่งให้โรงประมูลราชสำนักเถอะ!” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
“ขอรับ!”
เขามองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “เฉียนเยี่ย เรื่องที่ข้ารับปากไว้ ข้าไม่ผิดคำพูดแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่เป็นอาวุธวิญญาณขั้นสวรรค์ ช่างมันเถอะ! ข้าเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน เมื่อถึงตอนนั้น หากข้าชื่นชอบสิ่งใดข้าจ่ายเอง”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ก็แค่อาวุธวิญญาณขั้นสวรรค์เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น”
ซวนอีกล่าว “ใช่! พวกข้าไม่ได้ขาดแคลนอาวุธวิญญาณขั้นสวรรค์สักหน่อย ข้าไม่ยอมให้ถูกเจ้าหนุ่มอย่างเจ้ามาดูถูกว่าพวกเราอับจนหรอกนะ”
ทันทีที่อาวุธวิญญาณเหล่านี้ถูกส่งไปยังโรงประมูลราชสำนัก เงินทุนของพวกเขาก็เพียงพอแล้ว
เมื่อยามรัตติกาลมาเยือน มู่เฉียนซี เฟิงอวิ๋นซิวและพวกก็มุ่งหน้าไปยังโรงประมูลราชสำนักพร้อมกัน และเจ้าของโรงประมูลราชสำนักก็มารอต้อนรับที่หน้าประตูแล้ว
เมื่อเขาเห็นบุรุษที่ดูสูงศักดิ์งดงามอย่างสมบูรณ์แบบผู้นั้นเดินมาก็ยิ้มแย้มต้อนรับทันที “นายน้อยอวิ๋นซิว ท่านมาแล้ว เชิญด้านในขอรับ เชิญด้านใน!”
โรงประมูลราชสำนักแห่งนี้มีทั้งหมดเจ็ดชั้น และสถานะของเฟิงอวิ๋นซิวก็สามารถนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นเจ็ดได้
มู่เฉียนซีมองเฟิงอวิ๋นซิวพลางกล่าวถามว่า “ซิวอวิ๋น หากข้าชื่นชอบสิ่งใด เจ้าจะยอมให้ข้าประมูลตามที่เจ้ารับปากเอาไว้ใช่หรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นคนรักษาสัจจะมาโดยตลอด”
“แล้วหากว่าข้าชื่นชอบของที่เหมือนกันกับเจ้าล่ะ เจ้าคิดจะทำเช่นไร?”
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าการที่พวกเขามาเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ ก็เพื่อของชิ้นหนึ่งที่พวกเขาจะต้องคว้าเอามาให้ได้!
นางรู้สึกสงสัยมากว่าของสิ่งนั้นคือสิ่งใดกันแน่?
ซวนอีกล่าว “เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอกจนเกินไปนะ ใช้เงินของพวกเราแล้วแถมยังจะมาแย่งชิงของของนายน้อยพวกข้าอีก เจ้ามันใจร้ายเกินไปแล้ว!”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าเป็นคนใจร้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำไมล่ะ เจ้าเพิ่งจะรู้อย่างนั้นเหรอ?”
ซวนอีได้ยินเช่นนี้เข้าก็ถึงกับพูดไม่ออก เจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างไร้เหตุผลจริง ๆ รับมือได้ยากมาก หนังหน้าก็ด้านมากอีกด้วย แต่นายน้อยให้ความสำคัญกับเขาเป็นพิเศษ เฟิงอวิ๋นซิวเห็นมู่เฉียนซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “หากเจ้าชื่นชอบของชิ้นเดียวกันกับข้า ก็ร่วมกันเสพสุข ใช้ด้วยกันเป็นเช่นไร?”