จากนั้นกลิ่นอายบริเวณรอบ ๆ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สายตาทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าในแต่ละคู่จ้องมองไปที่เฟิงอวิ๋นซิวและพวก
ซวนอีเหลือบมองพวกเขาและกล่าวว่า “พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก แม้แต่ของของนายน้อยของพวกข้า พวกเจ้าก็อยากจะได้”
น้ำเสียงต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น “หากเป็นอย่างอื่นพวกข้าก็ไม่คิดจะแย่งชิงจากนายน้อยอวิ๋นซิวหรอกนะ แต่นี่มันเกี่ยวกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ บนโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งนี้”
“นั่นน่ะสิ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นถึงกระบี่เทพที่แข็งแกร่งที่สุด หากได้มาครอบครองก็จะเป็นผู้ครองโลกใบนี้ และเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน ต่อให้เป็นกองกำลังระดับสาม แล้วจะทำอันใดได้”
“……”
มีทั้งความละโมบโลภมาก และความทะเยอทะยานอันแรงกล้าเกิดขึ้นอย่างไม่เลิกรา
ซวนอีกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันอีกแล้ว!”
ฟึ่บ! คมธนูของซวนอีพุ่งออกไปอย่างไร้ความเมตตาปรานี สามดอกภายในคราเดียว
อ๊าก! ผู้ที่โดนคมธนูส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและล้มลงไปกับพื้น
“จับพวกมันเอาไว้ เหลือเอาไว้แค่นายน้อยอวิ๋นซิว”
เฟิงอวิ๋นซิวก็ลงมือแล้ว ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ ถึงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่ก็สามารถต้านทานยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิระดับสูงที่มีอายุมากกว่าเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
ร่างของมู่เฉียนซีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นางเคลื่อนไหวไปมาภายในวงล้อมการต่อสู้ที่โกลาหลนี้
เมื่อมีคนสังเกตเห็นถึงพลังความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีเข้าก็ตกใจผงะไปเล็กน้อย
ต้องรู้เอาไว้เลยว่าองครักษ์ข้างกายของนายน้อยอวิ๋นซิวนั้นล้วนแต่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับหกทั้งสิ้น
ความแข็งแกร่งอันน้อยนิดนี้ของมู่เฉียนซี ไม่ได้มีค่าพอที่จะอยู่ในสายตาของผู้ใดเลย
ทว่า พลังความแข็งแกร่งเช่นนี้กลับได้รับยอมรับให้เป็นผู้ติดตามได้
พวกเขาไม่กล้าพรวดเข้าไปรับมือกับเฟิงอวิ๋นซิว ซวนอีและพวก แต่กลับอยากจะจัดการกับมู่เฉียนซีผู้ที่มีพลังอ่อนแอผู้นี้เพื่อความดีความชอบ
พลังของพวกเขาในกลุ่มคนเหล่านี้หากไม่ใช่จักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงก็เป็นขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับต่ำ จัดการกับเจ้าหนุ่มผู้นี้คนเดียวนั้นไม่ใช่ปัญหา
ทว่า มันจะง่ายดายอย่างที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้จริง ๆ เหรอ
ในขณะที่มู่เฉียนซีชักกระบี่วิญญาณระดับต่ำเล่มนั้นออกมา กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกของกระบี่เล่มนั้นกลับทำให้ศัตรูถึงกับตกตะลึงขึ้น
เมื่อแสงสีเงินอันหนาวเหน็บนั้นแสดงพลังอานุภาพออกมา มันช่างรวดเร็วจนพวกเขายากที่จะหลบหลีกได้
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
และไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันตกลงมาถึงสามครั้ง
พรวด พรวด พรวด!
ทั้งสามคนถูกกระบี่โจมตีไปในเวลาเดียวกัน เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมา และทำให้คนที่ห้อมล้อมจะโจมตีพวกเขาเหล่านั้นถึงกับต้องล่าถอย
นี่มันใช่จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าจริง ๆ หรือ เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! เจอผีเข้าแล้ว!
พวกเขาล่าถอยด้วยความขี้ขลาดและไม่กล้าเป็นศัตรูกับมู่เฉียนซีอีก ทว่า มู่เฉียนซีกลับไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน
ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และลงมืออีกครั้ง
“เงาจันทราคู่!”
ยอดฝีมือถูกเฟิงอวิ๋นซิว ซวนอีและพวกตรึงเอาไว้ จึงทำให้มู่เฉียนซีจัดการกับศัตรูผู้ที่มีพลังความแข็งแกร่งขั้นธรรมดาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายราวกับตัดฟางข้าวก็มิปาน
ตูม ปัง ปัง! ทางด้านของเฟิงอวิ๋นซิวและพวกก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ส่วนศัตรูที่อยู่รอบตัวมู่เฉียนซีเหล่านั้นต่างก็พ่ายแพ้ ร่างล้มลงไปกับพื้นทีละคน ๆ
ซวนอีที่กำลังอยู่ในการต่อสู้อยากจะไปดูมู่เฉียนซีว่าถูกศัตรูฆ่าตายไปแล้วหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้เห็นนั้นก็คือ…
ซวนอีได้เห็นว่าเขากำจัดศัตรูไปได้อย่างง่ายดาย นึกไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะฝึกทักษะกระบี่ได้อย่างชำนาญและเก่งกาจถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ด้วย
และแน่นอนว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ เฟิงอวิ๋นซิวก็เผยกำลังการต่อสู้อันน่าทึ่งออกมาแล้ว
แม้ว่านายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ผู้นี้จะอายุยังน้อย แต่เขามีความสามารถที่น่าทึ่งยิ่งนัก
หลังจากที่พลังธาตุวายุได้กักขัง และรัดคอมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าผู้หนึ่งเอาไว้ เสียงตะโกนว่า ‘ฆ่า’ ของคนเหล่านี้ก็เริ่มอ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ
ทั่วทั้งป่าดงพงไพรอบอวนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรง นายน้อยอวิ๋นซิวช่างเป็นคนกระดูกแข็งยิ่งนัก
ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ถึงความหวาดกลัวแล้ว และได้สติตื่นขึ้นมาจากความละโมบโลภมากนั้น
“นายน้อยอวิ๋นซิว พวกเราไม่ต้องการแผ่นเหล็กนั้นแล้ว”
“นายน้อยอวิ๋นซิว พวกเราถอยคนละก้าวเถอะ ปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
“……”
ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวตัดผ่านอากาศไปยืนข้างกายเฟิงอวิ๋นซิว กระบี่ยาวในมือของมู่เฉียนซียังมีเลือดสีแดงสดไหลหยดลงบนพื้นอยู่
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยดวงตาอันเย็นยะเยือกว่า “ในเมื่อรู้ว่าผลจะเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงได้กระทำเช่นนี้อีก ทิ้งชีวิตของพวกเจ้าเอาไว้ในที่แห่งนี้เถอะ!”
หากปล่อยพวกมันไป พวกมันไม่มีทางกลับใจเป็นแน่ มิสู้กำจัดพวกมันไปเสียให้สิ้นซากดีกว่า
คนตรงหน้าเหล่านี้โกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว “เจ้าหนู เจ้าไม่มีสิทธิ์มาออกเสียงตรงนี้ ข้ากำลังพูดอยู่กับนายน้อยอวิ๋นซิว ไม่ใช่เจ้า!”
มู่เฉียนซีมองเฟิงอวิ๋นซิวและกล่าวว่า “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าจะใจอ่อน”
เฟิงอวิ๋นซิวเป็นเป้าหมายใหญ่ แต่นางกลับไม่สนใจ อย่างไรเสียสถานะตัวตนกับรูปร่างหน้าตาก็นั้นก็เป็นของปลอม
ดวงตาสีอำพันอันสงบคู่นั้นกวาดมองไปที่พวกเขาก่อนจะกล่าวว่า “ข้าให้เวลาพวกเจ้าเพียงแค่สามลมหายใจ รีบไสหัวไปซะ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าอย่างไร้ความเมตตา!”
สีหน้าของพวกเขาเผยความดีอกดีใจออกมา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รีบหนีไปทันที
ไม่นานนัก คนเหล่านั้นก็ได้อันตรธานหายไป ไม่ไปตอนนี้ก็เกรงว่าต้องตายเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าว “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าจะปล่อยเสือเข้าป่าจริง ๆ เหรอ!”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าจดจำพวกมันเอาไว้แล้ว คนเหล่านี้ รอให้ข้ากลับไปยังตำหนักตงจี๋ก่อน ข้าจะส่งคนไปจัดการเอง ไม่จำเป็นต้องลงแรงเองหรอก ตราบใดที่พวกมันยังอยู่ในดินแดนสี่ทิศ พวกมันไม่มีทางหนีรอดแน่”
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววความเข้าใจออกมา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!
แปะ แปะ แปะ! ในตอนนี้เองเสียงปรบมือก็ดังขึ้น
“อุบายของนายน้อยอวิ๋นซิวช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก พวกคนที่หนีรอดไปเหล่านั้นคงจะคิดไม่ถึงว่าชะตากรรมอันน่าสังเวชกำลังรอพวกมันอยู่ข้างหน้า นายน้อยอวิ๋นซิวของพวกเรา ช่างไม่ธรรมดาเอาซะเลย”
ร่างหลายร่างเข้าใกล้มาอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง และสิ่งที่น่ากลัวไปมากกว่านั้นก็คือ มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของยอดฝีมือระดับสูงสุดผู้หนึ่ง
ผู้ที่ย่างกรายเข้ามาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีขั้นตอนการสวมใส่ซับซ้อน ผัดหน้าฉูดฉาดเพริศพริ้งราวกับนกยูงกำลังหาคู่ตัวหนึ่งก็มิปาน
“ข่งชัว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมา” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
“ได้ยินมาว่านายน้อยประมูลของที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งมาได้ ข้าก็เลยได้รับคำสั่งจากท่านหัวหน้าตำหนักมาต้อนรับนายน้อย หากนายน้อยถูกปล้นระหว่างทาง มันจะทำให้ตำหนักตงจี๋ของพวกเราอับอายขายหน้าได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามายุ่ง”
“นายน้อยอวิ๋นซิว ดูข้าสิ เดินทางมาตั้งไกลเพื่อที่จะมาช่วยท่าน แผ่นเหล็กที่เก็บซ่อนความลับของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แผ่นนั้น เอามาให้ข่งชัวเก็บรักษาเอาไว้เพื่อความปลอดภัยเถอะนะ”
ถึงแม้ปากเขาจะเรียกเฟิงอวิ๋นซิวว่านายน้อย แต่วาจาที่กล่าวมานั้นกลับบีบบังคับเป็นอย่างยิ่ง
“ของของข้า ไม่จำเป็นต้องมอบให้คนอย่างเจ้าเก็บรักษา” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ได้หรอกนะ ท่านหัวหน้าตำหนักสั่งข้ามา ข้าจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ หากนายน้อยอวิ๋นซิวยังดื้อรั้นไม่ยอมมอบให้แล้วละก็ ข้าก็ทำได้เพียงแค่…”
ข่งชัวยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกน้ำเสียงอันเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งกล่าวแทรกขึ้น
“ข้าว่า เจ้าเป็นบุรุษที่ผัดหน้าสีสันฉูดฉาดราวกับนกยูงแล้วยังไม่พอนะ แถมยังปากมากพูดจาจู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าท่านยายข้างบ้านข้าซะอีก เจ้าอยากฆ่าคนอื่นเพื่อชิงทรัพย์ชิงของล้ำค่าก็พูดมาตรง ๆ เถอะ ไม่ต้องมาพูดจาให้มากความเช่นนี้หรอกนะ ข้าฟังแล้วรู้สึกรำคาญจริง ๆ”
กระบี่ยาวของมู่เฉียนซีถูกชักออกมาจากฝักแล้ว และกวัดแกว่งตัดผ่านอากาศไปที่คนตรงหน้าผู้นี้อย่างไม่เกรงใจ
“ดวงตาของเจ้ามันช่างโหดร้ายยิ่งนักนะ ข้าอยากจะจับเจ้ามาฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ เสียจริง”
พลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าของข่งชัวแผ่ซ่านออกมา และเขายังเป็นจอมภูตพลังธาตุทองอีกด้วย! ใบมีดอันแหลมคมนับไม่ถ้วนในบริเวณรอบ ๆ ได้ก่อตัวเป็นเกลียวและพุ่งเข้าไปหมายจะห่อหุ้มร่างของมู่เฉียนซี