เพิ่งจะสิ้นเสียงนั้นลงไป กลิ่นหอมอ่อน ๆ กลิ่นหนึ่งก็ได้โชยมา หญิงสาวในชุดสีขาวได้เดินเข้ามาอย่างสง่างามใบหน้าของนางนั้นงดงามและอ่อนโยนจนทำให้รู้สึกช่างน่าสงสาร
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวกับนางอย่างเย็นชายิ่งนัก “เจ้ามาได้อย่างไร?”
มู่หรูเหยียนมองไปทางเฟิงอวิ๋นซิวแล้วกล่าว “ได้ยินมาว่านายน้อยอวิ๋นซิวพบเจออันตรายที่ด้านนอก ข้าก็เลยมาเยี่ยมนายน้อยอวิ๋นซิวเป็นการเฉพาะ เมื่อได้รู้ว่านายน้อยอวิ๋นซิวไม่เป็นอะไรข้าก็สบายใจแล้ว”
น้ำเสียงที่อ่อนโยน ในดวงตานั้นก็มีความห่วงใยอย่างจริงใจ
มู่เฉียนซีให้คะแนนเต็มกับทักษะการแสดงนี้ของมู่หรูเหยียน
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าทักษะการแสดงนี้จะต้องสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอนหากนางมิได้มาเห็นเข้าเสียก่อน แต่ทว่าทุกครั้งที่เจอหน้ากันการทำลายเปิดโปงมันก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าสบายดี มิต้องให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์มาเป็นห่วง! ส่งแขก!”
แต่ไหนแต่ไรมานายน้อยอวิ๋นซิวก็ไม่รู้จักที่จะทะนุถนอมอิสตรี ถึงแม้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ประหนึ่งเสมือนดอกไม้หรือแท่งหยกก็ตาม
เฟิงอวิ๋นซิวไล่ส่งแขกออกไปโดยไม่ไว้หน้าใด ๆ ทั้งสิ้น บนใบหน้าของมู่หรูเหยียนก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มเหมือนเช่นเก่า สายตาของนางทอดมายังตัวมู่เฉียนซี
“คุณชายผู้นี้ดูแปลกตานัก เขานั้นคงไม่ใช่คนตำหนักตงจี๋ของพวกเรา”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าเป้าหมายในการมาเยือนในครั้งนี้ของมู่หรูเหยียนนั้นมิใช่เฟิงอวิ๋นซิว แต่เกรงว่าจะเป็นตัวนาง
มู่เฉียนซีกล่าว “แน่นอนว่าข้าไม่ใช่”
มู่หรูเหยียนกล่าว “นายน้อยอวิ๋นซิว ตำหนักตงจี๋ของพวกเรานั้นไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเข้ามาได้ตามใจชอบ ถ้าหากว่าเป็นอุปนิกขิตจากตำหนักเป่ยหานเข้ามาละก็ เช่นนั้นก็แย่เสียแล้ว เจ้าเป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ จะทำอะไรมั่วซั่วไม่ได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าพาสหายของข้ามายังตำหนักตงจี๋ จะต้องให้เจ้ามายุ่งย่ามด้วยรึ?”
“ในฐานะที่เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แน่นอนว่าข้าจะต้องปกป้องรักษาตำหนักตงจี๋ คุณชายผู้นี้เป็นสหายของนายน้อยหากจะอาศัยอยู่สักวันสองวันก็ย่อมได้ แต่ถ้าหากอยู่ที่นี่นานเกินไปนักเกรงว่า…”
“ใครก็ได้! ส่งแขก!” มู่หรูเหยียนไม่ต้องการให้มู่เฉียนซีอยู่ในตำหนักตงจี๋ แต่ตัวนางเองก็ถูกขับไล่ออกจากตำหนักของเฟิงอวิ๋นซิวเสียก่อน
หลังจากที่มู่หรูเหยียนได้จากไปแล้ว นางก็ได้กำหมัดเอาไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นได้สาดแววอันล้ำลึกออกมา
“เฟิงอวิ๋นซิว นับวันเจ้าจะยิ่งน่ารังเกียจเข้าไปทุกทีจริง ๆ เจ้าอยากที่จะให้ไอ้หนูนั่นอยู่ที่ตำหนักตงจี๋ ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ทำดั่งที่หวังแน่นอน”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “อวิ๋นซิว จะทำเช่นไรดี? ดูเหมือนว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋จะไม่ต้อนรับข้านะ! นึกไม่ถึงเลยว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋ของพวกเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าจะให้เจ้าอยู่ต่อ พวกเขาทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก?”
เดิมทีพวกเขาคิดที่จะไปหาผู้อาวุโสสูงสุด แต่ก็ได้รู้มาว่าผู้อาวุโสสูงสุดได้ไปเก็บตัวฝึกบำเพ็ญแล้ว
ตำหนักตงจี๋มีขนาดที่ใหญ่มากนัก คนที่นี่ก็มีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่มู่เฉียนซีกลับรู้สึกว่าการอยู่ในที่แห่งนี้มันน่าเบื่อนัก
ตกกลางคืนเฟิงอวิ๋นซิวได้มาหามู่เฉียนซีเพื่อเล่นหมากรุก หลังจากที่ทั้งสองได้ผ่านกระบวนหมากที่น่าตื่นเต้นบนกระดานไปแล้ว
มู่เฉียนซีก็ได้ถามขึ้นว่า “ตำหนักตงจี๋นี้น่าเบื่อยิ่งนัก เจ้าตำหนักและธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นมิใช่คนดีอะไร ทำไมเจ้าถึงไม่คิดที่จะจัดการกับพวกเขาเสียละอวิ๋นซิว? เช่นนั้นก็จะสบายใจมากนัก”
“ข้าไม่ได้หมายจะแย่งชิงอำนาจ ข้าแค่เพียงอยากจะใช้กำลังของตำหนักตงจี๋หากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ให้พบก็เท่านั้น” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวตอบ
“ข้าฝึกระบี่ ดังนั้นก็เลยอยากได้มาซึ่งกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทำไมเจ้าถึงได้ดึงดันที่จะได้มาซึ่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เช่นนั้น?”
“ได้รับการไหว้วานจากคนผู้หนึ่ง เช่นนั้นแล้วก็จะต้องมิให้นางผิดหวัง”
มู่เฉียนซีเริ่มปากขวานผ่าซากขึ้นมา นางยิ้มแล้วถามขึ้น “นาง? หวานใจเจ้า?”
หวานใจ?
เฟิงอวิ๋นซิวตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา
เมื่อนึกถึงสตรีผู้นั้น ดวงตาสีเหลืองอำพันของเขาก็ลุ่มลึกไปด้วยความดื้อรั้น
“เฉียนเยี่ย อย่าได้ล้อเล่นกับข้า” เฟิงอวิ๋นซิวถลึงตาจ้องมู่เฉียนซีไปคราหนึ่ง
“นายน้อยอวิ๋นซิวมีผู้ที่ชอบอยู่แต่ไม่กล้าที่จะยอมรับ ถลึงตาใส่ข้าแล้วมีประโยชน์อะไร?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อ
“ถึงแม้ข้าจะนับถือการที่เจ้ามอบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นของแทนใจ แต่เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไม่ยอมปล่อยกระบี่ให้เจ้าแน่”
“ข้าก็ไม่ได้ขอให้เจ้าให้” ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นจ้องมองไปที่มู่เฉียนซี
ตำหนักตงจี๋เป็นสถานที่ที่ดีแก่การฝึกบำเพ็ญสถานที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกับผู้อาวุโสสูงสุด มู่เฉียนซีก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้ตำหนักตงจี๋ที่มีพลังวิญญาณอย่างเข้มข้นนี้ฝึกบำเพ็ญเสียให้ดี
แต่ไป๋อู๋ห่ายและมู่หรูเหยียนจะไม่ปล่อยให้นางได้ว่างสบายเช่นนั้นเป็นแน่
หลังจากที่ไป๋อู๋ห่ายกลับมาอย่างล้มเหลวเมื่อคราวที่แล้ว มู่หรูเหยียน ข่งชัวและไป๋อู๋ห่ายก็ได้บุกฝ่าเข้ามา
ปกติแล้วเหล่าผู้แข็งแกร่งของตำหนักตงจี๋นำพาคนเข้ามาก็ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอะไร แต่ปรากฏว่าเมื่อเฟิงอวิ๋นซิวพาคนผู้หนึ่งเข้ามามันกลับเหมือนราวกับว่าได้พานักโทษที่มีโทษประหารเข้ามาถึงสิบคนก็มิปาน
มู่เฉียนซีสังเกตเห็นถึงสีหน้าอันเคียดแค้นนั้นของข่งชัวและคาดว่าคงเป็นเจ้าหมอนี่ที่เป็นผู้เล่นลูกไม้ออกมา
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “อวิ๋นซิว เจ้ายังเด็กเกินไปไม่ระมัดระวังเลยสักนิด เจ้ามิได้ตรวจสอบตัวตนของเจ้าหนุ่มนี่ให้ดีก็ได้นำเขาเข้ามายังตำหนักตงจี๋เสียแล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นแล้วท่านเจ้าตำหนักสืบมาได้หรือยัง?”
“ข้าส่งคนไปสืบแล้วแต่ไม่สามารถสืบหาเรื่องอะไรของเจ้าเด็กนี่ได้เลย เจ้าเด็กนี่เหมือนกับปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เช่นนี้ไม่ปกติอย่างแน่นอน เขาจะอยู่ที่ตำหนักตงจี๋ไม่ได้เป็นอันขาด”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนเยี่ยอายุยังน้อย และคอยฝึกฝนอยู่กับผู้เป็นอาจารย์บนภูเขามาโดยตลอดจึงแน่นอนว่าพวกเจ้าจะสืบหาไม่พบ หรือว่าพวกเจ้าไม่เชื่อในสายตาของข้า?”
ไป๋อู๋ห่ายยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว “แน่นอนว่าข้านั้นเชื่อในสายตาของเจ้าอวิ๋นซิว แต่ว่ากฎนั้นจะแหกไม่ได้ ผู้ไร้ซึ่งที่มาที่ไปที่ชัดเจนจะอยู่ที่ตำหนักตงจี๋มิได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนเยี่ยเป็นสหายของข้า เขายังไม่อยากที่จะจากไปใครก็จะให้เขาจากไปไม่ได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกับไป๋อู๋ห่ายนั้นไม่ลงรอยกันเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ในตอนนี้เองเสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็กล่าวขึ้น “หรือไม่ก็เอาเช่นนี้!”
“อีกสามวันให้หลังการทดสอบเพื่อรับคนใหม่เข้าตำหนักตงจี๋จะเริ่มขึ้นแล้ว อายุไม่สามารถที่จะเกินไปกว่ายี่สิบปีได้ พลังความสามารถจะต้องไม่ต่ำกว่าจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สาม คาดว่าคุณชายผู้นี้คงผ่านคุณสมบัติกระมัง! ถ้าหากว่ามีคุณสมบัติละก็ ข้าจะลงชื่อให้เขาในครั้งนี้”
“ขอแค่เพียงผ่านการทดสอบเขาก็สามารถที่จะอยู่ในตำหนักตงจี๋ได้ นั่นนับว่าไม่เป็นการแหกกฏ!”
เฟิงอวิ๋นซิวมองไปยังมู่เฉียนซี ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าคนเหล่านี้จะต้องเล่นตุกติกในการทดสอบอย่างแน่นอน
มู่หรูเหยียนกล่าวถาม “นายน้อยอวิ๋นซิว คำแนะนำนี้ของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “การทดสอบ? ฟังดูท่าก็น่าสนใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียในตำหนักตงจี๋นี้ก็น่าเบื่อเป็นอย่างมาก ข้าตอบรับการเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ของพวกเจ้าเอาไว้ก็ได้แล้ว”
มู่หรูเหยียนกล่าว “นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำการแลกเปลี่ยนกับอัจฉริยะที่มีอายุเท่า ๆ กัน ข้ารู้ว่าคุณชายจะไม่พลาดมันไปอย่างแน่นอน”
และเรื่องนี้ก็ได้จบลงไปเช่นนี้ มู่หรูเหยียนและไป๋อู๋ห่ายล้วนแต่พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นพวกเขาก็ได้จากไป
แต่ทว่าเฟิงอวิ๋นซิวนั้นกลับไม่ค่อยที่จะเห็นด้วย เขากล่าวขึ้น “เจ้าแน่ใจรึว่าจะไปจริง? ผู้นำกลุ่มในครั้งนี้นั้นคือธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป๋เหยียนเอ๋อร์แล้วก็ยังมีข่งชัวอีก คนพวกนั้นจะต้องหาโอกาสลงมือกับเจ้าแน่”
“ไป๋เหยียนเอ๋อร์!” มู่หรูเหยียนได้กลายเป็นบุตรีของไป๋อู๋ห่าย สกุลของนางจึงได้เปลี่ยนไป
มู่เฉียนซีนั้นยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นไปอีก “อวิ๋นซิว ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าก็ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีกเสียแล้ว”
“เจ้า…เจ้านี่ก็ชอบการผจญอันตรายมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! ไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นไม่ง่ายดายนัก แม้แต่ผู้อาวุโสที่สี่ก็ยังรับมือได้ไม่ยากเท่านาง อย่างไรเสียอย่าเผชิญอันตรายให้มากจนเกินไปจะดีกว่า” เฟิงอวิ๋นซิวขมวดคิ้วเล็กน้อยและจนปัญญากับเขาผู้ที่กล้าดียิ่งนัก