มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “พวกเจ้ายังอยากได้ศิลาวิญญาณเพลิงของข้าหรือไม่?”
พวกเขาล้วนแต่ถูกกระทำเสียจนมึนงงไปหมดแล้ว ไฉนเลยที่จะกล้า? พวกเขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า
“พวกเจ้าอยากจะซัดข้าเสียจนให้ไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ใช่หรือไม่?”
พวกเขาทั้งหลายยังคงส่ายหน้าต่อไป
“ไม่อยาก! แต่เกรงว่าพวกเจ้าคงจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการทดสอบครั้งต่อไปเสียแล้ว”
ทันทีที่มู่เฉียนซีลงมือ พวกเขาก็ได้ถูกฟาดจนสลบไป และคาดว่าจะคงหลับใหลไปอีกนานนัก
หลังจากที่นายท่านจัดการกับพวกคนเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว เสี่ยวหงก็ได้ชิงศิลาวิญญาณเพลิงที่อยู่บนตัวพวกเขาไปอย่างไม่เหลือไว้แม้แต่เพียงชิ้นเดียว
ส่วนสิ่งของอื่น ๆ บนตัวพวกเขานั้น มันมิได้รู้สึกนึกเสียดายแต่อย่างใด
เสี่ยวหงที่ปล้นชิงผู้คนจนหมดตัวได้กลับไปยังอ้อมกอดของมู่เฉียนซีอย่างเชื่อฟัง
มู่เฉียนซีกล่าว “ไปต่อ!”
เสี่ยวหงกล่าว “นายท่าน ถึงแม้ว่าสิ่งล้ำค่าของโบราณสถานแห่งเพลิง
นี้จะช่วยในการเพิ่มระดับขั้นของข้า แต่ว่าที่ข้าต้องการนั้นมันก็ไม่น้อยเลย พวกเรามากวาดศิลาวิญญาณเพลิงในที่แห่งนี้ไปทั้งหมดให้สะอาดเอี่ยมกันเถอะ!”
“เจ้าไม่กลัวที่จะกินอิ่มเกินไปหรือ?”
“เจ้าแมวโง่นั่นกินแก่นวิญญาณยังมิเห็นจะกินจนแน่นท้องเลย แล้วข้าจะไปแน่นท้องได้อย่างไรเล่า! ในครั้งนี้ข้าจะต้องเพิ่มระดับขั้นให้ไวกว่ามัน เพิ่มระดับให้ไว!”
ทุกครั้งที่มีการเพิ่มระดับขึ้นล้วนแต่มักจะช้ากว่าอู๋ตี้ นั่นจึงทำให้เสี่ยวหงมีความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้อุ้มเจ้าหมูน้อยสีแดงตัวนี้แล้วเริ่มเก็บกวาดไปทั้วทั้งโบราณสถานแห่งเพลิงนี้ และแน่นอนว่าก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ในที่สุดนางก็ได้พบกับกลุ่มคนที่มีตาแต่หามีแววไม่เข้าอีกแล้ว
พวกเขามีจำนวนไม่น้อยและได้ให้ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟผู้หนึ่งเป็นศูนย์กลาง
“นั่นไม่ใช่มู่หรงเฉียนเยี่ยหรอกหรือ?”
“มู่หรงเฉียนเยี่ยที่ได้รับการยกเว้นในการทดสอบสองครั้งแรกไป”
“……”
“พวกข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้ามีดีอะไรกัน?”
เพราะว่าการชักจูงให้เริ่มเกิดความเกลียดชังครั้งหนึ่งของไป๋เหยียนเอ๋อร์ เมื่อคนเหล่านี้ได้พบมู่เฉียนซีเข้าก็ขบฟันกัดกรามราวกับว่ามู่เฉียนซีนั้นได้ไปแหย่ภรรยาของพวกเขามาก็มิปาน
ดังนั้นแล้วมู่เฉียนซีในตอนนี้จึงได้ถูกล้อมเอาไว้
“พี่หง พวกเราควรจะจัดการกับเจ้าหนูนี่อย่างไรดี?”
ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟที่พวกเขายกย่องนั้นเป็นบุรุษขนแดงผู้หนึ่ง เขามองไปทางมู่เฉียนซีอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าว “เพราะเจ้าเด็กนี่ ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์เลยต้องมาเข้าร่วมการทดสอบนี้ด้วยตนเอง ข้าจะทำให้มันพิการเสีย”
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องเป็นผู้ที่เคารพเชิดชูไป๋เหยียนเอ๋อร์อย่างบ้าคลั่งอย่างแน่นอน
“หากพี่หงลงมือจะต้องทำให้เจ้าเด็กนี่พิการไปในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่”
“นั่นยังต้องสงสัยอีกหรือ?”
“……”
มู่เฉียนซียิ้มตาหยีแล้วกล่าว “เจ้าหนูขนแดง ข้าขอแนะนำเจ้าอย่างหนึ่งว่า ให้พวกเจ้าเข้ามาพร้อม ๆ กันจะดีกว่า มิเช่นเมื่อถึงเวลาแล้วจะพ่ายแพ้รวดเร็วไปนัก หน้าของผู้เป็นลูกพี่เช่นเจ้าก็จะขายหน้าจนสิ้น”
เด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้กล้าที่จะดูแคลนเขา ซึ่งมันก็ทำให้บุรุษผมแดงโกรธเกรี้ยวในทันที
หงเหมาเป็นนักบำเพ็ญภูตธาตุไฟ แน่นอนว่าทันทีที่เขาเริ่มลงมือก็ได้ระเบิดพลังการโจมตีอันน่าหวั่นพรึงของธาตุไฟออกมา
สำหรับนายน้อยของสำนักนิกายระดับสองที่ขึ้นต่อตำหนักตงจี๋ที่เป็นสำนักนิกายระดับสามแล้ว การมีทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญที่ดีก็ทำให้พลังความสามารถของเขาก็เลยไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หนึ่งได้ และเขาก็คิดว่าการที่จะทำให้เจ้าเด็กนี่ตายนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายนัก
หลังจากที่เปลวเพลิงนั้นได้พุ่งออกไป มู่เฉียนซีก็สามารถหลบจากมันได้พ้น
“ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อมจากพลังวิญญาณธาตุใด ๆ”
“จักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่ห้า”
“ชิ! ยโสโอหังเช่นนั้น ข้ายังหลงคิดว่าคงจะร้ายกาจพอ ๆ กับนายน้อยอวิ๋นซิว! นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีความสามารถเพียงเท่านี้”
“ทั่วทั้งแดนตะวันออกยังจะมีผู้ใดสามารถเทียบกับนายน้อยอวิ๋นซิวได้หรือ?”
“หลบอีกสิ ข้าจะดูว่าเจ้าจะหลบไปที่ไหนได้!”
เมื่อถูกผู้ที่อ่อนแอกว่าเขาหลบการโจมตีของเขาได้ หงเหมาก็โกรธเกรี้ยวเข้าแล้ว
การโจมตีนั้นดุเดือดขึ้นไปเรื่อย ๆ อีกทั้งมู่เฉียนซีทำได้เพียงแต่นำกระบี่ของนางขึ้นมาและทำได้เพียงวาดฟันกระบี่ออกไปอย่างเบาบางเท่านั้น
“เงาจันทราคู่!”
ปราณกระบี่สีเงินพุ่งไปทางหงเหมาด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดอย่างฉับพลัน ไม่ทันให้ได้อุดหูป้องกันเสียงเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเจ้าขนแดงก็ได้ก้มตัวหลบพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหลบได้แล้วข้าจะหลบไม่ได้…”
ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ลูกน้องของหงเหมาก็ตะโกนขึ้น “พี่ใหญ่หงระวัง!”
กระบวนท่าที่มู่เฉียนซีใช้ก็คือเงาจันทราคู่ วงเดือนนั้นจึงมิได้มีแค่เพียงวงเดียว
วงเดือนสีเงินอีกวงหนึ่งได้หมุนอ้อมมาจากทางด้านหลังของเขา
“พรวด!” โลหิตสีสดได้พุ่งออกมาจากตรงหน้าของเขา
ทุกคนล้วนแต่มาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสู้กันให้ตายตกกันไปข้าง เช่นนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงทำการอย่างเหมาะสมพอดี
แม้ว่ากระบวนท่ากระบี่นี้จะเจ็บปวดนัก แต่ก็ไม่ถึงกับที่จะฆ่าสังหารจนถึงแก่ชีวิต!
“ลูกพี่!”
“ล้างแค้นให้ข้า!”
ก่อนที่หงเหมาจะหมดสติไป เขาก็ยังคงจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความไม่ยินยอมและหวังว่าลูกน้องของเขาผู้นั้นจะล้างแค้นมู่เฉียนซีให้
มู่เฉียนซีส่ายหัวแล้วกล่าว “บอกกับเจ้าแต่แรกแล้วว่าให้สู้แบบรถศึกเวียนรุม และนี่จึงทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส มาเสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว!”
“ไอ้หนู เจ้าตายแน่”
“แก้แค้นให้พี่หงเหมา!”
“……”
ปัก ปัก ปัก! จำนวนคนมากสู้แบบรถศึกวนเวียนไปก็ไร้ประโยชน์
ถึงแม้ว่าระดับของพวกเขาจะไม่ต่ำ แต่มู่เฉียนซีมองว่าประสบการณ์ในการต่อสู้สนามจริงของพวกเขานั้นแทบจะเป็นศูนย์
“ปัง ปัง ปัง!” จากนั้นคนเหล่านี้ก็ได้ร่วงลงไปบนพื้นทีละคน ๆ หลังจากที่พวกเขาลุกไม่ขึ้นแล้วเสี่ยวหงก็ได้ฉวยโอกาสนี้ทำการปล้นชิง
นี่เป็นของดีที่สามารถจะทำให้มันกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้เร็วกว่าเจ้าแมวโง่นั้นไปก้าวหนึ่ง มีมากมันไม่กลัวหากแต่กลัวจะมีน้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “ไปต่อ!”
มีเสี่ยวหงอยู่ มู่เฉียนซีก็เก็บเกี่ยวอย่างสมบูรณ์ไปตลอดทาง
เหล่าผู้ที่เข้ามาหาเรื่องนางได้ล้มกันไปทีละกลุ่ม ๆ นั่นทำให้เสี่ยวหงได้กำไรไปไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีประหลาดใจก็คือ นางได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายในการทดสอบนี้ไปไม่น้อย แต่ทางด้านไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นกลับเงียบเชียบไร้วี่แวว
เมื่อพวกไป๋เหยียนเอ๋อร์และข่งชัวเข้ามาในที่แห่งนี้ก็ได้หายไปในทันที สำหรับผู้ที่เป็นผู้คุมสอบแล้วมันค่อนข้างที่จะเป็นการละทิ้งหน้าที่อยู่บ้าง
หรือการที่พวกเขาเข้ามาในโบราณสถานแห่งเพลิงนี้ยังมีแผนการอื่นอยู่อีก?
หลังจากอยู่ที่โบราณสถานแห่งเพลิงมาเป็นระยะเวลายาวนาน เสี่ยวหงก็พลันบอกกับนางขึ้นมาว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่มีพลังวิญญาณของธาตุไฟอย่างเข้มข้นอยู่
“ทางนั้นจะต้องมีศิลาวิญญาณเพลิงอยู่มากมายเป็นแน่ พวกเรารีบไปกันเถอะนายท่าน!” เสี่ยวหงกล่าวอย่างไม่สามารถที่จะอดทนรอได้แล้ว
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ได้เข้าใจถึงคำว่าอยู่ใกล้สีแดงตัวแดง อยู่ใกล้หมึกตัวดำเสียแล้ว เสี่ยวหงได้ถูกอู๋ตี้พาให้เสียคนแล้วจริง ๆ
แม้ว่าจำนวนของศิลาวิญญาณเพลิงในตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดมีมากไปกว่านางแล้ว แต่ทว่าของดีเช่นนี้นางไม่รังเกียจที่จะมีเอาไว้เป็นจำนวนมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
ติดตามความรู้สึกของเสี่ยวหงเข้าไปใกล้สถานที่แห่งนั้น มู่เฉียนซีก็พบเข้ากับป้อมปราการที่ดูราวกับคบเพลิงเข้าแห่งหนึ่ง
“โบราณสถานแห่งเพลิงกลับมีของเช่นนี้อยู่ด้วย?” มู่เฉียนซีตะลึงค้าง
เสี่ยวหงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “นายท่าน ศิลาวิญญาณเพลิงมีเพียงพอแล้ว พวกเราอย่าเข้าไปกันเลย สถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกหนึ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมากกับข้า”
เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัยของคน เสี่ยวหงเองก็ไม่ละโมบโลภมากแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “มาก็มาแล้ว บุกเข้าไปดูสักหน่อยเถอะ!”
เสี่ยวหงกล่าว “เช่นนั้นข้าจะปกป้องนายท่านให้ดีอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีพุ่งไปยังป้อมปราการทรงคบเพลิงแห่งนั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญยิ่งนัก หนทางที่คับแคบนั้นทำให้นางได้พบกับผู้คนกลุ่มหนึ่งเข้า
คนกลุ่มนี้ก็คือพวกไป๋เหยียนเอ๋อร์ที่ได้หายตัวไปเป็นเวลานาน
สีหน้าของข่งชัวที่มองเห็นมู่เฉียนซีนั้นไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมาก “พวกเราหามาอย่างยาวนานถึงพบกับสถานที่แห่งนี้ แต่เจ้าเด็กนี่กลับหาได้พบไวกว่า รึว่าเฟิงอวิ๋นซิวให้เบาะแสอะไรกับเจ้า?”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ข่งชัว ถ้าหากว่านายน้อยอวิ๋นซิวรู้ละก็ คงจะไม่ปล่อยเขามาคนเดียวหรอก คงเป็นเพราะคุณชายมู่หรงบังเอิญมาพบสถานที่แห่งนี้เข้าเป็นแน่ ใช่หรือไม่?”
เป้าหมายของพวกเขากลับเป็นป้อมปราการแห่งนี้
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “บังเอิญจังเลยนะท่านผู้คุมสอบทุกท่าน!”