ในตอนนี้ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์กำลังแสดงละครตบตาอย่างสุดชีวิต และคนตรงหน้าเหล่านี้ก็หลงเชื่อในคำหลอกลวงของนาง
“มู่หรงเฉียนเยี่ยบังอาจเกินไปแล้ว! แม้กระทั่งท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์กับท่านข่งชัวเขาก็กล้าลงมือทำร้าย”
“คิดจริง ๆ เหรอว่ามีนายน้อยอวิ๋นซิวคอยปกป้องแล้วจะทำเลวโดยไม่ยำเกรงต่อสิ่งใดอย่างไรก็ได้?”
“ไม่เห็นตำหนักตงจี๋อยู่ในสายตาซะเลย!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “องครักษ์! จับตัวมู่หรงเฉียนเยี่ยผู้ชั่วร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยผู้นี้เอาไว้!”
หลังจากที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์ได้ออกคำสั่งไป ยอดฝีมือของตำหนักตงจี๋หลายคนก็พุ่งเข้ามาห้อมล้อมมู่เฉียนซีเอาไว้
วันนี้ ต่อให้มู่หรงเฉียนเยี่ยจะมีปีกบินก็ไม่อาจหนีรอดไปได้!
และไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็มองไปที่คนอื่นพลางกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “พวกเจ้าถอยไปไกล ๆ หน่อย ประเดี๋ยวจะได้รับบาดเจ็บจากลูกหลงเอาได้”
มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังจะมีจิตใจเมตตาเป็นห่วงความปลอดภัยคนตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเขาอีก ทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ไป๋เหยียนเอ๋อร์มองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย ที่นี่มียอดฝีมือของตำหนักตงจี๋มากมายหลายคน ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้ หากเจ้ายอมไปคุกมืดของตำหนักตงจี๋กับข้าแต่โดยดี ข้าจะไม่ให้พวกเขาทำอันใดเจ้า แต่หากว่า…”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วพลางกล่าว “แล้วหากว่าข้าขัดขืนล่ะ พวกเจ้าก็จะฆ่าข้า?”
“ใช่ ข้าเองที่เป็นคนทำร้ายข่งชัว แต่ว่า…ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าความจำของเจ้ามันเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเจ้าเป็นคนลงมือกับข้าก่อน” มู่เฉียนซีมองไป๋เหยียนเอ๋อร์ด้วยสีหน้าถากถาง
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด ทว่า คนที่นับถือนางเหล่านั้นกลับโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา
“นี่เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้าจะกระทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
“เห็น ๆ กันอยู่ว่าท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ไม่คิดจะทำร้ายผู้ใด นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าใส่ร้ายป้ายสีนางเช่นนี้”
“อย่าคิดนะ ว่าเจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้วเจ้าจะพ้นผิดไปได้”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมรับกับสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปอีก ดูท่า คงต้องลงมือแล้วล่ะ”
มู่เฉียนซีชักกระบี่ออกมาและกล่าวว่า “ลงมือก็ลงมือสิ!”
ความลับในแผ่นเหล็กดำแผ่นนั้นไม่จำเป็นต้องไปหาผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักตงจี๋แล้ว เพราะว่านางไขความลับนั้นได้แล้ว ดังนั้นออกไปจากที่นี่ก็ไม่เป็นไรแล้ว
แต่ก่อนจะจากไปนั้น นางได้เตรียมของขวัญเอาไว้แล้ว และยังไม่ได้มอบให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์กับหมิงจีเลย นางจะมาตำหนักตงจี๋อย่างเสียเที่ยวไม่ได้
ทั้งสองฝ่ายได้ชักกระบี่ออกมาและพร้อมที่จะเริ่มต่อสู้ตลอดเวลา
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่ามู่เฉียนซีอ่อนแอ ระดับพลังวิญญาณก็ต่ำนัก ไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน
และในขณะที่พวกเขากำลังจะลงมือกับมู่เฉียนซี จู่ ๆ ร่างในชุดดำแดงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี พลังธาตุวายุก็ปิดกั้นพลังโดยรอบเอาไว้
เหล่าองครักษ์ซวนได้ห้อมล้อมยอดฝีมือของตำหนักตงจี๋ที่จะลงมือกับมู่เฉียนซีเหล่านี้ไว้
ข่งชัวกล่าวด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่า “นายน้อยอวิ๋นซิว นี่ท่านจะปกป้องคนชั่วผู้นี้อย่างนั้นเหรอ?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าเป็นคนพาเฉียนเยี่ยเข้ามาในตำหนักตงจี๋ และเขาก็เป็นสหายของข้า พวกเจ้าคิดจะลงมือกับเขาก็ต้องดูด้วยว่าข้าอนุญาตหรือไม่”
“มันทำร้ายข้าจนข้ากลายเป็นเช่นนี้ ต่อให้ท่านอยากจะปกป้องมัน พวกเราทุกคนในตำหนักตงจี๋ก็ไม่มีทางยอมแน่นอน” ข่งชัวกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฝีมืออ่อนด้อย สู้ผู้อื่นไม่ได้ พอได้รับบาดเจ็บก็กล่าวโทษผู้อื่น” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างเมินเฉย
“นี่เจ้า…”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นสงบกว่าข่งชัวมาก นางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “นายน้อยอวิ๋นซิว เขาทำร้ายผู้อื่นในขณะทำการทดสอบ จะยอมอ่อนข้อให้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นความน่าเกรงขามของตำหนักตงจี๋พวกเราจะอยู่ที่ใด”
“หากข้าเฟิงอวิ๋นซิว ผู้เป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ปกป้องสหายของตนเองไม่ได้ แล้วความน่าเกรงขามของตำหนักตงจี๋ จะอยู่ที่ใด?”
เขากล่าว “เฉียนเยี่ยทำร้ายคนเพียงไม่กี่คน ข้าเฟิงอวิ๋นซิวไม่มีทางยอมให้พวกเจ้าลงมือทำร้ายเขาเป็นอันขาด หากผู้ใดลงมือ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับข้าเฟิงอวิ๋นซิว”
“ข้าก็อยากจะรู้นัก ว่าระหว่างคำพูดของข้าผู้เป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ หรือคำพูดของธิดาศักดิ์สิทธิ์ คำพูดใครจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน”
เฟิงอวิ๋นซิวผู้สูงศักดิ์งดงามผู้นี้ ในตอนนี้ได้ชักกระบี่ออกมาจากฝักแล้ว
เหล่าองครักษ์ซวนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว รอเพียงแค่คำสั่งของนายน้อยเท่านั้น
สีหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์ซีดเผือด ในตำหนักตงจี๋ อิทธิพลและกำลังในมือนางนั้นยังห่างไกลกับเฟิงอวิ๋นซิวมาก
นางเป็นศัตรูกับเฟิงอวิ๋นซิวเพียงลำพังก็เปรียบเสมือนไข่กระทบหินก็มิปาน
“แต่ว่า…”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “หากเจ้ากล้าแตะต้องเฉียนเยี่ย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ลงมือ เพียงแค่มีคนกล้าลงมือกับเฉียนเยี่ย เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ไป๋เหยียนเอ๋อร์จะซวย แม้แต่ไป๋อู๋ห่ายก็ต้องซวยไปด้วย แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก็แล้วกัน!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กับข่งชัวตกใจสะดุ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเฟิงอวิ๋นซิวจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
เขาไม่มีทางกล่าววาจาขู่ขวัญอย่างไร้เหตุผลแน่นอน
คนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงขึ้นเช่นกัน สาเหตุที่มู่หรงเฉียนเยี่ยกำเริบสืบสานเช่นนี้ได้ ที่แท้ก็มีเบื้องหลังคอยให้ท้ายอย่างนายน้อยอวิ๋นซิวนี่เอง
หากเฟิงอวิ๋นได้ยินก็คงจะตอบพวกเขาไปว่า มี! มีแน่นอน!
เฉียนเยี่ย เป็นถึงศิษย์ของคนผู้นั้นแห่งตำหนักเป่ยหาน
มู่เฉียนซียืนอยู่ข้างกายเฟิงอวิ๋นซิวและกล่าวว่า “การทดสอบในครั้งนี้ข้าเล่นพอแล้ว เจ้าปกป้องข้าในการที่ข้าล่วงเกินพวกเขา มันจะไม่มีผลกระทบอันใดกับเจ้าเหรอ?”
“เจ้าปกป้องตัวเองให้ดีก็แล้วกัน เรื่องวุ่นวายเหล่านี้ข้าจัดการได้” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
เฟิงอวิ๋นซิวใช้อำนาจในฐานะที่ตนเองเป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ข่มขู่ทำให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ไร้ซึ่งหนทางที่จะจัดการ
สีหน้ากล้ำกลืนราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นของท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนที่เคารพนางเหล่านั้นรู้สึกปวดใจ จากนั้นก็ออกหน้าออกตาแทนนาง
“นายน้อยอวิ๋นซิว ไม่ว่าอย่างไรมู่หรงเฉียนเยี่ยก็ทำผิดกฎ นายน้อยอวิ๋นซิวจะกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจเพียงเพราะว่าตนเองเป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ไม่ได้”
ถึงแม้ว่าคำพูดนี้มันจะน่ากลัว ทว่า เฟิงอวิ๋นซิวกลับไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะพูดอีกครั้ง ผู้ที่ลงมือก่อนก็คือพวกเขาไม่ใช่ข้า ข้าตอบโต้ไปก็เพื่อที่จะปกป้องตัวเองก็เท่านั้น แต่มือข้าลื่นก็เลยทำให้เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปก็เท่านั้น”
มือลื่น! คนไร้ประโยชน์! ข่งชัวที่ใบหน้าทั้งหน้าเจ็บปวดทรมานในตอนนี้ก็แทบจะกระอักเลือดแล้ว!
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หากตำหนักตงจี๋ตัดสินให้ข้าต้องรับโทษโดยที่ไม่แยกแยะผิดถูก ข้าก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”
“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นแน่นอน!”
“ข้าเชื่อท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”
ผู้ที่ปกป้องไป๋เหยียนเอ๋อร์ยังคงเชื่อท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
มุมปากของมู่เฉียนซีแสยะยิ้มเล็กน้อย เชื่ออย่างนั้นเหรอ
รอดูเองก็แล้วกันว่าพวกเจ้ายังจะเชื่ออยู่หรือไม่!
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อพวกเจ้าต้องการจะจับข้าก็จับเลยสิ ข้าจะสู้กับพวกเจ้าสักตั้ง”
“หากพวกเจ้าอยากจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าก็มา!” เฟิงอวิ๋นซิวก็กล่าววาจาเช่นนี้ออกไปแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวอยู่ตรงนั้น คนเหล่านั้นก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย
และไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ออกคำสั่งว่า “ในเมื่อมู่หรงเฉียนเยี่ยไม่คิดจะกลับใจเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว สู้ก็สู้!”
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น! แต่ความจริงแล้วเป็นการปราบปรามของเหล่าองครักษ์ซวนฝ่ายเดียว ส่วนมู่เฉียนซีกับเฟิงอวิ๋นซิวนั้นกำลังพูดคุยกันอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเหล่าองครักษ์ซวน
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดี ต่อจากนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของข้า”
มู่เฉียนซีกล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่านายน้อยอวิ๋นซิวจะเป็นสหายที่ดีเช่นนี้”
ในตอนแรกเฟิงอวิ๋นซิวดีกับนางมาก แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนแต่เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของนาง
ก็แค่ถูกเขามองว่าเป็นตัวแทนของสตรีผู้เป็นที่รักของเขา เขาจึงเชื่อฟังคล้อยไปตามนาง อ่อนโยนกับนาง และสิ่งนี้ทำให้นางไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ทว่า ในตอนนี้ไม่เหมือนกัน การกระทำของเขาที่มีต่อนางในตอนนี้ ทำให้นางรู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก
เฟิงอวิ๋นซิวยิ้มพลางกล่าว “ก็ใครใช้ให้เจ้ามีอาจารย์ที่เก่งกาจเช่นนั้นกันเล่า แล้วนี่ไม่ใช่เพราะข้าต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าเหรอ?”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เพียงแค่เพราะว่าเสี่ยวไป๋อย่างนั้นเหรอ?”